เล่าเรื่องไปเรียนขับรถที่โรงเรียนสอนขับรถในญี่ปุ่นค่ะ

เกริ่นก่อนว่าเจ้าของกระทู้มาอยู่ญี่ปุ่นได้เกือบ 18 ปีแล้วตั้งแต่สมัยมาเรียนจนกระทั่งแต่งงานและมีลูก (ระหว่างนั้นมีกลับไปอยู่ไทย 2 ปี) ตอนสมัยเรียนคิดมาตลอดว่าจะไม่มีทางขับรถที่นี่แน่ๆ คือมีจักรยาน นั่งรถไฟ รถบัส ชีวิตก็รอดแล้ว แต่พอมีลูก และเมืองที่อยู่ก็เป็นบ้านนอกของเมืองนอก (ญี่ปุ่น) พอไม่มีรถมันก็ไม่สะดวกจริงๆ (แม้จะมีสถานีรถไฟใกล้บ้าน มีรถไฟทุก 20 นาทีก็ตาม) กะจะไปเรียนขับรถหลายครั้งแล้ว แต่เวลาก็ไม่อำนวย จนกระทั่งลูกชายคนเล็ก (มีลูกสองคนค่ะ) เข้าอนุบาลกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา พอเดือนพ.ค. ก็เลยไปสมัครเรียนขับรถเสียเลย

ปกติแล้วถ้ามาเที่ยวญี่ปุ่นก็สามารถใช้ใบขับขี่สากลขับรถที่ญี่ปุ่นได้ค่ะ แต่ถ้ามาด้วยวีซ่าอยู่อาศัยหรือวีซ่าทำงานต้องมีใบขับขี่ของที่นี่ค่ะ โดยสามารถเอาใบขับขี่สากลและใบขับขี่ไทยไปสอบเปลี่ยนเป็นใบขับขี่ญี่ปุ่นได้ (แต่ต้องอยู่ประเทศที่ออกใบขับขี่แล้วอย่างน้อย 6 เดือนนะคะ อยู่แบบยาว 6 เดือน หรือว่าอยู่รวมๆ 6 เดือนก็ได้ ต้องมีหลักฐานมายื่นให้เขาดูค่ะ) ซึ่งจะเอามาเปลี่ยนก็ต้องสอบข้อเขียนและปฏิบัติค่ะ (สอบข้อเขียนแค่ 10 ข้อค่ะ ต้องผ่านที่ 80% และมีภาษาไทยด้วย <- อันนี้ถามเพื่อนที่ไปสอบมา เพื่อนบอกข้อเขียนง่ายมาก เป็นคำถามทั่วไป แต่ปฏิบัติยากมากเพราะข้อระวังจุกจิกเยอะมาก ส่วนใหญ่รอบแรกจะไม่ผ่านต้องสอบกันสองรอบขึ้นไป) และถ้าเป็นวีซ่านักเรียน เห็นปัจจุบันรุ่นน้องสามารถใช้ใบขับขี่สากลเช่ารถขับได้นะคะ แต่อาจจะต้องเช็กรายละเอียดอีกที เพราะตอนสมัยเรียนเขาเคยเปลี่ยนกฎว่าคนที่มีวีซ่านักเรียนก็ต้องเปลี่ยนเป็นใบขับขี่ญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะ

ส่วนตัวเลยคือเคยมีใบขับขี่ที่ไทยก่อนมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ก็คือ 18-19 ปีที่ผ่านมา ขับรถได้เพราะพ่อสอน แต่ไม่เคยขับออกถนนใหญ่จริงจังเลย พอมาที่นี่ไม่ได้แตะอีกทุกอย่างก็กลับไปเป็นศูนย์ ใบขับขี่ก็หมดอายุ แถมยังลืมวิธีไปแล้วด้วย พอมาคราวนี้ก็เลยตัดสินใจลงเรียนขับรถไปเลย โดยเลือกโรงเรียนสอนขับรถใกล้บ้าน มีให้เลือกสองแบบสำหรับเรียนขับรถยนต์ธรรมดาคือแบบเกียร์กระปุกและเกียร์ออโต้ฯ เราเลือกเรียนเกียร์ออโต้ฯ ซึ่งราคาจะถูกกว่าเกียร์กระปุกเล็กน้อย

ราคาค่าเรียนเกียร์ออโต้ฯ อยู่ที่ 25x,xxx เยน ค่ะ (ตีเป็นเงินไทยก็ราวๆ 75,000 บาท) ซึ่งจะมีแบบคอร์สเร่งรัดด้วย 18 วัน 30 วัน ราคาก็บวกเพิ่มไป แต่เราเลือกแบบธรรมดา เพราะมีข้อจำกัดคือจะเรียนได้เฉพาะลูกไปโรงเรียนเท่านั้น ช่วงเดือนพ.ค. เรียนได้วันละ 1-2 ชั่วโมง พอเข้าเดือนมิ.ย. ก็เรียนได้วันละ 2-3 ชั่วโมง เพราะลูกเลิกตามเวลาปกติแล้ว (อนุบาลของญี่ปุ่นเดือนแรกที่เปิดเทอม จะเลิกเร็วกว่าเด็กทั่วไปค่ะ)

ตอนจ่ายเงินนี่ซีดมาก และคิดว่ามันแพงมาก แต่พอได้เรียนแล้วพบว่าไม่แพงเลย เพราะเรียนกันเต็มที่จริงๆ โดยการเรียนจะแบ่งออกเป็นภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด เพราะอย่างที่บอกว่าอยู่บ้านนอกอ่ะค่ะ เลยไม่มีคลาสภาษาอังกฤษ แต่เห็นว่าในเมืองใหญ่ๆ จะมีคลาสภาษาอังกฤษนะคะ ซึ่งราคาก็จะแพงกว่าปกติทั่วไป

การเรียนการสอนจะแบ่งออกเป็นสองพาร์ท

พาร์ทแรก

- ภาคทฤษฎี 10 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที เรียนท้ังหมด 14 บท ในหนึ่งครั้งอาจารย์จะเปิดวิดีโอให้ดู 20 นาที อาจารย์สอนเนื้อหา 30 นาที คลาสหนึ่งมีนักเรียนไม่ถึงสิบคนค่ะ อาจารย์วนกันสอน แต่อาจารย์ตั้งใจสอนมาก คือมีคนหลับ อาจารย์เรียกให้ตื่นและบอกให้ตั้งใจเรียน อาจารย์บางคนก็เรียกถามตอบรายตัวเลย ทฤษฎีของพาร์ทนี้จะเป็นพวกกฎต่างๆ ที่ต้องจำ ป้ายบอกทาง สัญลักษณ์ ความหมาย ฯลฯ

นี่คือหนังสือทฤษฎีที่ต้องเรียน (ภาษาญี่ปุ่นทั้งเล่มนะคะ) มีความหนาที่ 345 หน้า



ตัวอย่างเนื้อหา



อาจารย์ก็จะมีบอกบ้างว่าข้อสอบจะออกตรงไหน แต่บอกตามตรงมันเยอะมาก ข้อสอบเองก็เยอะมาก พอถึงเวลาสอบจริงมึนค่ะ คุ้นๆ แต่นึกไม่ออก ทำเจ็บปวดมาแล้ว ถ้าใครเข้าคลาสสายเกิน 10 นาที ต้องมาเรียนซ้ำใหม่ในคลาสนั้นๆ ค่ะ


- ภาคปฏิบัติ 12 ครั้งสำหรับเกียร์ออโต้ และ 15 ครั้งสำหรับเกียร์กระปุก เรียนครั้งละ 50 นาทีเหมือนภาคทฤษฎีค่ะ อาจารย์สอนกับตัวต่อตัว ซึ่งภาคปฏิบัติในพาร์ทนี้จะขับแต่ในลานขับรถของโรงเรียนเท่านั้นไม่สามารถขับออกไปบนถนนได้ และจะมีให้เราขับเองคนเดียวโดยอาจารย์ดูอยู่ที่หอสังเกตการณ์ 3 ครั้ง

ภาพในห้องโดยสารของรถที่ขับเองคนเดียว จะมีลำโพงใช้สื่อสารกับอาจารย์ แต่เราไม่สามารถติดต่อไปก่อนได้ ต้องให้อาจารย์ติดต่อมาแล้วเราค่อยตอบโต้


รถที่ใช้เรียนคือ Nisson Bluebird เครื่อง 1,800 cc ค่ะ


เมื่อเรียนทฤษฎีครบ 10 ชั่วโมงแล้ว ก็จะต้องมีสอบค่ะ สอบแรกคือเป็นข้อสอบของทางโรงเรียนขับรถ เป็นข้อสอบในคอมพิวเตอร์ มีภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นให้เลือก ข้อสอบทั้งหมด 50 ข้อ (มีเวลาสอบ 30 นาที) ต้องผ่าน 45 ข้อ ทำไปสามรอบกว่าจะผ่านค่ะ (บอกอย่างไม่อาย ฮา) ข้อสอบมีทั้งหมด 3 ชุด จะเปลี่ยนไปทุกรอบค่ะ รอบแรกได้ 43 ข้อ รอบสองได้ 38 ข้อ รอบสามได้ 45 ข้อ คาบเส้นพอดี (สอบรอบแรกไม่ต้องเสียค่าสอบ แต่ถ้าไม่ผ่านสอบใหม่ต้องเสียอีกครั้งละ 500 เยนค่ะ)

เมื่อสอบทฤษฎีของโรงเรียนผ่านแล้ว และเรียนปฏิบัติครบเวลา ก็สอบขับรถในลานขับรถของโรงเรียนค่ะ โดยจะมีคะแนนเต็ม 100 ถ้าต่ำกว่า 70 ก็จะตกต้องสอบใหม่ ซึ่งถ้าใครเรียนกับโรงเรียนจะไม่ตกค่ะ ยกเว้นว่าขับแย่จริงๆ คือทำตามที่อาจารย์สอนก็จะทำได้ เช่น เวลาเราจะเลี้ยวซ้าย เราต้องเช็กกระจกมองหลังมองข้างชัวร์ว่าไม่มีรถก็เปิดไฟเลี้ยวก่อนจะถึงจุดเลี้ยว 30 เมตร เช็กกระจกข้างอีกทีแล้วเหลียวกลับไปมองด้วยเผื่อมีรถในจุดบอดที่กระจกมองไม่เห็น แล้วจึงค่อยพารถเข้าวิ่งชิดซ้าย ก่อนจะเลี้ยวซ้ายก็เหลียวมองด้านหลังอีกรอบแล้วค่อยเลี้ยว เป็นต้น

เมื่อสอบภาคปฎิบัติผ่านแล้ว ก็จะมาทำข้อสอบของทางการ (ศูนย์ใบขับขี่ของจังหวัด) อีกรอบ (สอบที่โรงเรียนสอนขับรถ) เพื่อให้ได้ใบขับขี่ชั่วคราวสำหรับการเรียนขับรถบนถนนจริง (ข้อเขียนจะมีข้อสอบ 50 ข้อผ่าน 45 คะแนน ทำแบบกระดาษข้อสอบ) ซึ่งครั้งนี้เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ไม่มีภาษาอังกฤษ ถ้าอยากทำแบบข้อสอบภาษาอังกฤษ ต้องไปที่ศูนย์ทำใบขับขี่ของจังหวัด ทุกอย่างจะยุ่งยากมาก เพราะทางโรงเรียนต้องออกเอกสารให้ เสียเงินต่างหาก และเวลาสอบก็ไม่ได้เปิดทุกวัน เราก็เลยตัดสินใจสอบด้วยภาษาญี่ปุ่นไปเลย ลองเสี่ยงดู แต่ก่อนเสี่ยงนั่นคือนั่งอ่านหนังสือตลอดเวลา ลองทำแบบฝึกหัดภาษาญี่ปุ่นไปร่วม 600 ข้อได้ ซึ่งผลออกมาดีมาก...คือผ่านตั้งแต่ครั้งแรกเลย (ดีใจมากจริงๆ) คือต้องออกตัวก่อนว่าข้อสอบของเขาจะไม่ถามตรงๆ อ่ะค่ะ จะถามแบบเล่นคำ ขนาดคนญี่ปุ่นเองยังยาก เพราะเหมือนวางหมากเอาไว้ให้ต้องตอบผิด เพราะงั้นสอบไม่ผ่านนี่เป็นเรื่องปกติมาก (คือคนที่สอบด้วยอีกคนก็ตกค่ะ)

หลังจากผ่านทั้งข้อสอบทั้งทฤษฎีและปฏิบัติในพาร์ทแรกจนได้ใบขับขี่ชั่วคราวเพื่อซ้อมขับรถบนถนนได้แล้ว ก็จะเข้าสู่การเรียนในพาร์ท 2 ค่ะ

อธิบายเรื่องประเภทใบขับขี่ของญี่ปุ่นนิดหนึ่งนะคะ ใบขับขี่ญี่ปุ่นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

- ใบขับขี่ทั่วไป (ซึ่งถ้าขับรถยนต์ธรรมดา, มอเตอร์ไซด์, รถบรรทุกไม่ว่าขนาดไหน ต้องสอบเอาใบขับขี่ประเภทนี้ค่ะ)

- ใบขับขี่รถสาธารณะ เช่น ขับรถบัส (ขนาด 11 คนนั่งขึ้นไป), รถแท็กซี่ ต้องใช้ใบขับขี่ประเภทนี้

- ใบขับขี่ชั่วคราว (เรียกว่า คาริเม็งเคียว หรือเรียกสั้นๆ สไตล์ญี่ปุ่นว่าคาริเม็ง) สำหรับคนที่จะใช้เรียนขับรถบนถนนจริง เมื่อมีใบขับขี่ประเภทนี้สามารถขับรถบนถนนจริงได้ โดยต้องมีคนที่มีใบขับขี่ทั้งสองประเภทข้างบนอย่างน้อยๆ 3 ปีมาแล้วนั่งไปด้วย และต้องติดป้ายว่าอยู่ระหว่างเรียนขับรถไว้ที่ด้านหน้าและด้านหลังรถด้วยค่ะ ใบขับขี่ประเภทนี้จะมีอายุ 6 เดือนหลังจากได้รับมา

นอกจากสามประเภทหลักข้างบนแล้ว ยังมีใบขับขี่พิเศษอีกหนึ่งคือ ใบขับขี่รถพ่วง ค่ะ ถ้าจะขับรถพ่วงต้องมีใบขับขี่นี้เพิ่มมาจากใบขับขี่ทั่วไปอีกใบหนึ่งค่ะ

* พาร์ทสองเขียนเอาไว้ที่ความคิดเห็นที่ 3 นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่