บราซิลอกหัก (อีกหน)

กระทู้ข่าว



และแล้วอดีตแชมป์โลก 5 สมัยอย่างบราซิลซึ่งเป็นเต็งหนึ่งของรายการ ก็ไปไม่ถึงดวงดาว มีอันต้องจอดป้ายแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว หลังโดนทีมม้ามืดตัวจริงประจำทัวร์นาเมนต์อย่าง เบลเยียม น็อกสลบเหมือดคาสังเวียนแบบล็อกถล่ม 2–1 ทำให้บราซิลยังต้องร้องเพลงรอที่จะคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 6 ของพวกเขาต่อไป ส่วนเบลเยียมทะยานเข้ารอบตัดเชือกฟุตบอลโลกได้เป็นหนแรกในรอบ 32 ปี

ชัยชนะเหนือบราซิลนัดนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การทะลุเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศของ “ปิศาจแดงแห่งยุโรป” เบลเยียม ไม่ใช่เรื่องฟลุกแต่อย่างใด ทีมเบลเยียมชุดนี้เป็นทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดในโลกตอนนี้เลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขากะซวกตาข่ายคู่แข่งไปแล้วถึง 14 ประตู มากที่สุดในศึกเวิลด์คัพ 2018

เบลเยียม ทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ หลังจากที่พวกเขาเคยแพ้ให้กับ “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา ซึ่งมี ดีเอโก มาราโดนา เป็นดาราชูโรงในตอนนั้น 0-2 ในรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก ปี 1986 ที่เม็กซิโก หรือเมื่อ 32 ปีก่อน

มีการนำทีมชาติเบลเยียมชุดนี้ ไปเปรียบเทียบกับ เบลเยียม “ยุคทอง” ชุดทำศึกฟุตบอลโลก 1986 ซึ่งมี ฌอง มารี พัฟฟ์ เป็นผู้รักษาประตู ร่วมด้วยเอริก เกเรตส์ เป็นปราการเหล็กในแผงหลัง และ เอ็นโซ ชีโฟ เป็นจอมทัพในแดนกลางว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย

ขณะที่ บราซิล ยังไม่สามารถลบล้างอาถรรพณ์ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกบนแผ่นดินทวีปยุโรปได้ นับตั้งแต่ปี 1958 ที่สวีเดน และนี่เป็นการตกรอบน็อกเอาต์สมัยที่ 4 ติดต่อกันของขุนพลทีมแซมบ้า แถมยังโดนน็อกตกรอบด้วยฝีมือของทีมจากยุโรปล้วนๆ อีกด้วย

ไล่ตั้งแต่ แพ้ ฝรั่งเศส 0-1 (รอบก่อนรองชนะเลิศ) ปี 2006, แพ้ ฮอลแลนด์ (รอบก่อนรองชนะเลิศ) ปี 2010, แพ้ เยอรมนี 1-7 (รอบรองชนะเลิศ) ปี 2014 และล่าสุด แพ้ เบลเยียม 1-2 (รอบก่อนรองชนะเลิศ) ปี 2018

ถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้บราซิลพ่ายแพ้ต่อเบลเยียมในนัดนี้ อย่างแรกน่าจะมาจากการที่บราซิลเสียประตูเร็วตั้งแต่นาทีที่ 13 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ แฟร์นันดินโญ กองกลางจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ บราซิล เอาชนะคู่แข่งใน 3 เกมหลังสุดด้วยสกอร์ 2-0 ทั้งหมด แถมไม่เสียประตูเลย ทำให้เกมของบราซิลรวนกันไปหมด ผิดแผนจากที่กุนซือติเต้ได้วางเอาไว้

เกมนี้ บราซิล มีโอกาสลุ้นทำประตูมากถึง 27 ครั้ง แต่ยิงเข้ากรอบแค่ 9 ครั้งเท่านั้น นั่นหมาย ความว่า บราซิล ปิดสกอร์ไม่คม ผิดกับ เบลเยียม ที่ใช้โอกาสไม่เปลือง มีโอกาสทำประตูแค่ 9 ครั้ง แต่ได้มาถึง 2 ประตู

การขาดกาเซมิโรไปถือเป็นเรื่องเสียหายอย่างยิ่งสำหรับบราซิล หลังจากกองกลางตัวตัดเกมจากเรอัล มาดริด รายนี้ ติดโทษแบนลงเล่นนัดนี้ไม่ได้ เนื่องจากสะสมใบเหลืองครบสองใบ ส่วน แฟร์นัน–ดินโญ ที่ได้ลงมาเล่นแทนกาเซมิโร ไม่สามารถหยุดเกมรุกของเบลเยียมได้เลย ทำให้แดนกลางของบราซิลเป็นรองเบลเยียมชัดเจน

ขณะที่เนย์มาร์โชว์ฟอร์มไม่ออก มีหลายครั้งที่เขาพยายามจะเลี้ยงบอลเข้าไปทำประตู แต่ก็ไม่ผ่านบรรดากองหลังเบลเยียมที่ตัวสูงใหญ่ไปได้ ทำให้เนย์มาร์แทบจะไร้พิษสงในเกมนี้ไปเลย แถมแผนพุ่งล้มของเขาก็ไม่ได้ผล ตบตากรรมการอีกไม่ได้

นอกจากนี้ บราซิลยังโชคร้ายที่ไม่ได้ลูกจุดโทษ ตอนสกอร์ตามหลัง 0-2 ในครึ่งหลัง โดยเป็นจังหวะที่ กาเบรียล เชซุส โดน แวงซองต์ กอมปานี กองหลังเบลเยียม สกัดล้มในเขตโทษ ซึ่งจากภาพช้าเห็นชัดเจนเลยว่า เชซุสโดนกอมปานีเสียบเข้าที่ข้อเท้าจนล้มในเขตโทษ แต่พอผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์แล้ว กลับริบจุดโทษคืนและให้เล่นกันต่อไป

ทางฝั่งเบลเยียมนั้น ต้องขอชม โรแบร์โต มาร์ติเนซ กุนซือชาวสแปนิชว่า ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการส่ง “พี่ฟู” มารูยาน เฟลไลนี ลงมาเป็นตัวปะทะในแดนกลาง ซึ่งช่วยทีมได้มากทีเดียว ทำให้ เควิน เดอ บรอยน์ และ เอเด็น อาซาร์ มีอิสระในการเล่นเกมรุกได้มากขึ้น

ส่วนอีกคนที่เล่นได้เด่นไม่แพ้กันก็คือ โรเมลู ลูกากู ศูนย์หน้าร่างใหญ่ แม้เกมนี้เขาจะไม่มีชื่อเป็น ผู้ทำสกอร์ แต่ก็เป็นคนปิดทองหลังพระที่มีส่วนกับประตู 2-0 ของเบลเยียม เมื่อเขากระชากบอลลุยขึ้นมาจากแดนตัวเอง และใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งเบียดเอาชนะนักเตะบราซิล ก่อนจ่ายต่อให้ เดอ บรอยน์ ตะบันเต็มข้อเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม

นักเตะเบลเยียมอีกคนที่ไม่ชมไม่ได้ ก็คือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารมือกาวจากเชลซี เกมนี้

กูร์กตัวส์โชว์ฟอร์มซุปเปอร์เซฟช่วยหยุดลูกยิงอันตรายของบราซิลไว้ได้หลายต่อหลายครั้ง ไม่เช่นนั้นเกมอาจจะไม่จบลงด้วยชัยชนะของเบลเยียมก็ได้

เป็นอันว่าฟุตบอลโลก 2018 จะไม่มีทีมจากอเมริกาใต้ในรอบรองชนะเลิศอย่างแน่นอน เพราะสูญพันธุ์หมดเกลี้ยง ทั้งบราซิลและอุรุกวัยกระเด็นตกรอบไปหมดแล้ว ทำให้แชมป์โลกปีนี้จะเป็นทีมจากทวีปยุโรปร้อยเปอร์เซ็นต์

ขณะที่ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ต้องบอกว่าเล่นแบบนี้ มันฟอร์มแชมป์ชัดๆ โดยเกมสยบ “จอมโหด” อุรุกวัย 2-0 นั้น ฝรั่งเศสแสดงให้เห็นถึงความเขี้ยว ความเก๋าเกม และมีเกมรุกที่หลากหลาย ที่สำคัญฝรั่งเศสชุดนี้เล่นได้อย่างสมดุลทั้งเกมรุกและเกมรับ

เชื่อว่าเกมตัดเชือกระหว่างฝรั่งเศสกับเบลเยียม ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในวันที่ 10 ก.ค.นี้ จะเป็นแมตช์หยุดโลกที่คอบอลพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดแน่นอน.

หมวดแซม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่