สวัสดีค่ะ
เราจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ได้เผชิญกับโรคซึมเศร้า
เริ่มแรกเลยนะคะ จุดเริ่มต้นของการเป็นโรคซึมเศร้าเกิดจากการที่เราเลิกกับแฟนที่คบกันมา 7 ปี เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา เราเล่าเรื่องทุกเรื่องให้เขาฟังคนเดียว จนเมื่อไม่มีเขาเราก็เหมือนแขนขาขาดไม่มีใครรับฟังเรา
เรารู้สึกหดหู่ เสียใจที่เรากับเขาไม่เป็นเหมือนเดิมแล้ว เราไม่ไว้ใจใครแม้แต่ครอบครัว เพื่อน เวลามีเรื่องอะไรเราก็เล่าให้แฟนฟังตลอด ถึงวันนี้เราเลิกกันมาก็ปีกว่าแล้ว พอเลิกกันเราปล่อยตัวเองจนน้ำหนักลดลง มีอาการนอนไม่หลับ นอนเช้าทุกคืน จนเราเริ่มผิดสังเกตเลยไปปรึกษากับอาจารย์จิตวิทยาท่านนึง เพื่อเข้าไปขอรับคำปรึกษา
ระยะแรกอาจารย์ให้เราเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมโดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำ ให้เขียนความสุขออกมาให้ได้ในแต่ละวัน วันละ 5 ความสุข เรารู้สึกว่าฝืนเขียนเรื่องที่มีความสุขมาก ๆ ทำให้เกิดการต่อต้านไม่อยากทำ แต่ก็ยังไปพบอาจารย์อยู่ถึง 4 เดือน จนอาจารย์บอกว่าให้ไปพบจิตแพทย์ เราหาข้อมูลแต่ละโรงพยาบาลจนมาเจอโรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้ทำการโทรไปเพื่อนัดหมายสามเดือนถึงจะได้ตรวจ
ระหว่างช่วงที่รอเราทรมานมาก รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว เบื่อโลก เบื่อทุกอย่าง มีความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดว่าตัวเองไม่มีค่า กลัวแบบไม่มีสาเหตุ อยากร้องไห้ตลอดเวลา เราโทษทุกอย่าง โทษแฟนเก่าว่าทำไมทำให้เราเป็นแบบนี้ ถ้าไม่เลิกกันเราคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้
เมื่อรอสามเดือนแล้วครั้งแรกที่มาถึงโรงพยาบาลเรารู้สึกประหม่า รู้สึกกลัว ถามตัวเองว่านี่เราพาตัวเองมาถึงจุด ๆ นี้แล้วหรอ เราเป็นถึงต้องขั้นมาพบหมอเลยหรอ แล้วคำถามนั้นก็ดับลงเมื่อพยาบาลเรียกไปซักประวัติ เราเล่าเรื่องเดิม ๆ เกี่ยวกับปัญหาระหว่างแฟนเก่า เล่าไปก็ร้องไห้ แม้ช่วงเวลานั้นจะผ่านมา 7 เดือนแล้วก็ตาม เรารู้สึกละอายใจตัวเองที่ต้องมาเล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้คนอื่นฟัง เพราะมันดูเป็นเรื่องเล็กมาก ๆ แต่เราไม่สามารถรับไหวได้
จากนั้นพยาบาลอีกคนก็เรียกเราไปซักประวัติอีกรอบ คราวนี้เล่ายาวกว่าเดิม มีความคิดอยากตายอยู่ตลอดเวลา จนพยาบาลให้ไปนั่งอยู่ในสายตา รอเวลาสักพักจิตแพทย์ก็เรียกเราเข้าไปพบ ครั้งแรกที่เจอกับคุณหมอรู้สึกกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่คุณหมอก็พูดให้เราผ่อนคลาย แล้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คุณหมอฟังเราคุยกับคุณหมอเกือบชั่วโมงหนึ่ง ครั้งแรกนั้นเราเกือบได้นอนโรงพยาบาลแต่เราปฏิเสธไปเพราะยังควบคุมตัวเองได้ จนนัดครั้งต่อไปคืออีกหนึ่งสัปดาห์ ยาที่คุณหมอจ่ายให้ครั้งแรกเป็น Fluoxetine ขนาด 20 mg และ Clonazepam ขนาด 0.5 mg ค่ายาครั้งแรกเราเสียไป 87 บาท
นัดครั้งที่ 2 ครอบครัวเรารู้ว่าเป็นซึมเศร้า ก่อนที่จะรู้เราไม่กล้าบอกที่บ้านกลัวเขาไม่เข้าใจ เรามีความกังวล กว่าจะบอกได้ใช้เวลานานมากกว่าที่จะพูดออกไป พอบอกแม่ก็ทำอึ้ง ๆ พูดไม่ออก แม่ถามสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรเราได้แต่บอกว่าเครียดเรื่องที่บ้าน เรื่องเรียน มาถึงวันนี้แม่เราไปพบหมอด้วย คุณหมอก็ถามอาการ ความรู้สึกว่าเป็นยังไง เราก็เล่า ๆ ไป แล้วก็อธิบายให้แม่ฟังเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าว่าเป็นอย่างไร ครั้งนี้คุณหมอจ่ายยาเพิ่มจากตัวที่แล้วเป็น Mianserin 10 mg ยาตัวนี้ทำให้เราอยากอาหารมากขึ้น ครั้งนี้เสียค่ายา 136 บาท
ครั้งที่ 3 คุณหมอเพิ่มขนาดยานอนหลับเป็น 1 mg เพราะเรากินขนาด 0.5 แล้วยังนอนไม่หลับ พร้อมทั้งคุณหมอก็เพิ่มตัวยาอีกหนึ่งตัวเป็น Olanzapine ขนาด 5 mg ค่ายาครั้งนี้ 428 บาท
คุณหมอนัดเราทุกสองอาทิตย์เพื่อมาดูอาการ บางครั้งก็ 1 อาทิตย์เมื่อเปลี่ยนยาตัวใหม่หรือเพิ่มตัวยาใหม่
ครั้งที่สี่ยาเหมือนกับครั้งที่สาม
4 ครั้งเรากินยาไม่รู้สึกอะไรเลย รู้สึกเฉย ๆ คุณหมอเลยเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้
ครั้งที่ 5 เราเปลี่ยนยาตัวใหม่หมดเนื่องจากอาการไม่ดีขึ้น
เป็นยา Remeron ขนาด 30 mg Venlafaxine 75 mg ตัวนี้เรากินแล้วใจสั่นมาก มือสั่น สั่นทั้งตัว กิจวัตรประจำวันทำไม่ได้เลย จับปากกาก็เขียนไม่ได้
และยา Perphenazine 2 mg ครั้งนี้เสียค่ายาแพงขึ้นเป็น 1,717 บาท
ครั้งที่ 6 เปลี่ยนจาก Venlafaxine 75 mg เป็น sertraline ขนาด 50 mg ค่ายา 1,235 บาท
ครั้งที่ 7 เหมือนกับครั้งที่ 6
ครั้งที่ 8 เหมือนกับครั้งที่ 7
ครั้งที่ 9 เปลี่ยนจาก sertraline เป็น fluoxetine ค่ายา 2,630 สำหรับ 1 เดือน
ครั้งที่ 10 เหมือนกับครั้งที่ 9 ค่ายา 1,254 บาท
ครั้งที่ 11 เปลี่ยนยาเป็น sertraline 50 mg remeron 30 mg aripiprazole 10 mg
ครั้งที่ 12 เหมือนกับครั้งที่ 11
ครั้งที่ 13 sertraline 50 mg wellutrin 150 mg lorazepam 0.5 mg propranolol 10 mg ค่ายา 1,430 บาท
เราไม่เชื่อเลยว่าโรคซึมเศร้าจะเกิดจากการที่สารเคมีในสมองไม่เท่ากัน เราไม่เชื่อว่ายาจะรักษาให้หายได้ เรารู้สึกต่อต้านทุกครั้งที่กินยา แต่ก็ยังกินอยู่และพบคุณหมอทุกครั้งตามนัดหมาย ถึงวันนี้แล้วถ้าเรามีความรู้สึกอยากตายคุณหมอจะให้เรานอนโรงพยาบาล แต่เราก็ไม่ยอมอีก
ทุกครั้งที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย เรารู้สึกอึดอัด แค่อยากหนีไปไหนก็ได้ที่ไม่มีคนเห็น อยากนอนแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมา อยากหนีความจริง ความเจ็บปวดที่มันบั่นทอนจิตใจเรา เราพยายามปล่อยวางแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เหมือนมือเรากำมีดอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่เราตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ก็ชะงักขึ้นมาได้ทุกอย่าง เราเห็นแก่ตัวมาก ๆ แม้แต่พ่อแม่เราก็บอกไปว่าเราเห็นแก่ตัวนะ ไม่อยากทรมานแบบนี้ ไม่อยากให้ร่างกายและจิตใจแย่แบบนี้ มันเศร้าจนไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
ในวันนี้เรารู้สึกเหมือนฝืนตัวเองในการมีชีวิตอยู่ เราแค่อยากได้ความสงบไม่ต้องคิดอะไรเลย อยากลืมทุกสิ่งอย่างที่ทำให้เราเจ็บปวด กิจกรรมที่เราชอบทำมันก็ไม่เหมือนเดิม มันไม่มีความสุข ไม่มีกระจิตกระใจจะทำ ออกกำลังกายก็เหนื่อยแต่ก็กลับมาอยู่กับตัวเองเหมือนเดิม เรารู้สึกแย่มาก ๆ ที่ตัวเองเป็นแบบนี้ รู้สึกสมเพชตัวเอง ไม่คิดว่าจะพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้
ทุกครั้งที่คุยกับคุณหมอบางครั้งก็เป็นชั่วโมง บางครั้งก็เกือบหนึ่งชั่วโมง เราอยากขอบคุณคุณหมอที่คอยรับฟังเราในวันที่เราไม่มีใคร เพราะไม่กล้าแม้แต่ที่เล่าให้ครอบครัวฟัง แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่หายแต่เราก็ยังที่จะรักษาต่อไปเพื่อวันหนึ่งเราจะกลับมาเป็นคนเดิมที่เคยร่าเริงและมีความสุข
ปล. ตั้งแต่หาหมอมาน้ำหนักเราเพิ่มขึ้นมา 7 กิโล เรากินทุกอย่าง กินจนน้ำหนักขึ้น ตัวยาบางตัวก็ทำให้อยากอาหารมากขึ้น ทุกวันนี้ดีอย่างหนึ่งเลยคือเรานอนหลับได้ทุกวัน นี่คือข้อดีของยา ถ้าไม่มียาป่านนี้เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราจะเป็นอย่างไร
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ใกล้ตัวมาก ๆ คอยดูแล สอดส่องคนรอบข้างของทุกคนนะคะ อย่ามาเป็นเลยโรคนี้มันทรมานเหลือเกิน ทรมานจนไม่ไหว ต้องไปหาหมอ กินยาตลอด และต้องรักษาอย่างต่อเนื่องด้วยนะคะ
เมื่อฉันเป็นโรคซึมเศร้า
เราจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ได้เผชิญกับโรคซึมเศร้า
เริ่มแรกเลยนะคะ จุดเริ่มต้นของการเป็นโรคซึมเศร้าเกิดจากการที่เราเลิกกับแฟนที่คบกันมา 7 ปี เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา เราเล่าเรื่องทุกเรื่องให้เขาฟังคนเดียว จนเมื่อไม่มีเขาเราก็เหมือนแขนขาขาดไม่มีใครรับฟังเรา
เรารู้สึกหดหู่ เสียใจที่เรากับเขาไม่เป็นเหมือนเดิมแล้ว เราไม่ไว้ใจใครแม้แต่ครอบครัว เพื่อน เวลามีเรื่องอะไรเราก็เล่าให้แฟนฟังตลอด ถึงวันนี้เราเลิกกันมาก็ปีกว่าแล้ว พอเลิกกันเราปล่อยตัวเองจนน้ำหนักลดลง มีอาการนอนไม่หลับ นอนเช้าทุกคืน จนเราเริ่มผิดสังเกตเลยไปปรึกษากับอาจารย์จิตวิทยาท่านนึง เพื่อเข้าไปขอรับคำปรึกษา
ระยะแรกอาจารย์ให้เราเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมโดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำ ให้เขียนความสุขออกมาให้ได้ในแต่ละวัน วันละ 5 ความสุข เรารู้สึกว่าฝืนเขียนเรื่องที่มีความสุขมาก ๆ ทำให้เกิดการต่อต้านไม่อยากทำ แต่ก็ยังไปพบอาจารย์อยู่ถึง 4 เดือน จนอาจารย์บอกว่าให้ไปพบจิตแพทย์ เราหาข้อมูลแต่ละโรงพยาบาลจนมาเจอโรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้ทำการโทรไปเพื่อนัดหมายสามเดือนถึงจะได้ตรวจ
ระหว่างช่วงที่รอเราทรมานมาก รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว เบื่อโลก เบื่อทุกอย่าง มีความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดว่าตัวเองไม่มีค่า กลัวแบบไม่มีสาเหตุ อยากร้องไห้ตลอดเวลา เราโทษทุกอย่าง โทษแฟนเก่าว่าทำไมทำให้เราเป็นแบบนี้ ถ้าไม่เลิกกันเราคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้
เมื่อรอสามเดือนแล้วครั้งแรกที่มาถึงโรงพยาบาลเรารู้สึกประหม่า รู้สึกกลัว ถามตัวเองว่านี่เราพาตัวเองมาถึงจุด ๆ นี้แล้วหรอ เราเป็นถึงต้องขั้นมาพบหมอเลยหรอ แล้วคำถามนั้นก็ดับลงเมื่อพยาบาลเรียกไปซักประวัติ เราเล่าเรื่องเดิม ๆ เกี่ยวกับปัญหาระหว่างแฟนเก่า เล่าไปก็ร้องไห้ แม้ช่วงเวลานั้นจะผ่านมา 7 เดือนแล้วก็ตาม เรารู้สึกละอายใจตัวเองที่ต้องมาเล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้คนอื่นฟัง เพราะมันดูเป็นเรื่องเล็กมาก ๆ แต่เราไม่สามารถรับไหวได้
จากนั้นพยาบาลอีกคนก็เรียกเราไปซักประวัติอีกรอบ คราวนี้เล่ายาวกว่าเดิม มีความคิดอยากตายอยู่ตลอดเวลา จนพยาบาลให้ไปนั่งอยู่ในสายตา รอเวลาสักพักจิตแพทย์ก็เรียกเราเข้าไปพบ ครั้งแรกที่เจอกับคุณหมอรู้สึกกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่คุณหมอก็พูดให้เราผ่อนคลาย แล้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คุณหมอฟังเราคุยกับคุณหมอเกือบชั่วโมงหนึ่ง ครั้งแรกนั้นเราเกือบได้นอนโรงพยาบาลแต่เราปฏิเสธไปเพราะยังควบคุมตัวเองได้ จนนัดครั้งต่อไปคืออีกหนึ่งสัปดาห์ ยาที่คุณหมอจ่ายให้ครั้งแรกเป็น Fluoxetine ขนาด 20 mg และ Clonazepam ขนาด 0.5 mg ค่ายาครั้งแรกเราเสียไป 87 บาท
นัดครั้งที่ 2 ครอบครัวเรารู้ว่าเป็นซึมเศร้า ก่อนที่จะรู้เราไม่กล้าบอกที่บ้านกลัวเขาไม่เข้าใจ เรามีความกังวล กว่าจะบอกได้ใช้เวลานานมากกว่าที่จะพูดออกไป พอบอกแม่ก็ทำอึ้ง ๆ พูดไม่ออก แม่ถามสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรเราได้แต่บอกว่าเครียดเรื่องที่บ้าน เรื่องเรียน มาถึงวันนี้แม่เราไปพบหมอด้วย คุณหมอก็ถามอาการ ความรู้สึกว่าเป็นยังไง เราก็เล่า ๆ ไป แล้วก็อธิบายให้แม่ฟังเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าว่าเป็นอย่างไร ครั้งนี้คุณหมอจ่ายยาเพิ่มจากตัวที่แล้วเป็น Mianserin 10 mg ยาตัวนี้ทำให้เราอยากอาหารมากขึ้น ครั้งนี้เสียค่ายา 136 บาท
ครั้งที่ 3 คุณหมอเพิ่มขนาดยานอนหลับเป็น 1 mg เพราะเรากินขนาด 0.5 แล้วยังนอนไม่หลับ พร้อมทั้งคุณหมอก็เพิ่มตัวยาอีกหนึ่งตัวเป็น Olanzapine ขนาด 5 mg ค่ายาครั้งนี้ 428 บาท
คุณหมอนัดเราทุกสองอาทิตย์เพื่อมาดูอาการ บางครั้งก็ 1 อาทิตย์เมื่อเปลี่ยนยาตัวใหม่หรือเพิ่มตัวยาใหม่
ครั้งที่สี่ยาเหมือนกับครั้งที่สาม
4 ครั้งเรากินยาไม่รู้สึกอะไรเลย รู้สึกเฉย ๆ คุณหมอเลยเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้
ครั้งที่ 5 เราเปลี่ยนยาตัวใหม่หมดเนื่องจากอาการไม่ดีขึ้น
เป็นยา Remeron ขนาด 30 mg Venlafaxine 75 mg ตัวนี้เรากินแล้วใจสั่นมาก มือสั่น สั่นทั้งตัว กิจวัตรประจำวันทำไม่ได้เลย จับปากกาก็เขียนไม่ได้
และยา Perphenazine 2 mg ครั้งนี้เสียค่ายาแพงขึ้นเป็น 1,717 บาท
ครั้งที่ 6 เปลี่ยนจาก Venlafaxine 75 mg เป็น sertraline ขนาด 50 mg ค่ายา 1,235 บาท
ครั้งที่ 7 เหมือนกับครั้งที่ 6
ครั้งที่ 8 เหมือนกับครั้งที่ 7
ครั้งที่ 9 เปลี่ยนจาก sertraline เป็น fluoxetine ค่ายา 2,630 สำหรับ 1 เดือน
ครั้งที่ 10 เหมือนกับครั้งที่ 9 ค่ายา 1,254 บาท
ครั้งที่ 11 เปลี่ยนยาเป็น sertraline 50 mg remeron 30 mg aripiprazole 10 mg
ครั้งที่ 12 เหมือนกับครั้งที่ 11
ครั้งที่ 13 sertraline 50 mg wellutrin 150 mg lorazepam 0.5 mg propranolol 10 mg ค่ายา 1,430 บาท
เราไม่เชื่อเลยว่าโรคซึมเศร้าจะเกิดจากการที่สารเคมีในสมองไม่เท่ากัน เราไม่เชื่อว่ายาจะรักษาให้หายได้ เรารู้สึกต่อต้านทุกครั้งที่กินยา แต่ก็ยังกินอยู่และพบคุณหมอทุกครั้งตามนัดหมาย ถึงวันนี้แล้วถ้าเรามีความรู้สึกอยากตายคุณหมอจะให้เรานอนโรงพยาบาล แต่เราก็ไม่ยอมอีก
ทุกครั้งที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย เรารู้สึกอึดอัด แค่อยากหนีไปไหนก็ได้ที่ไม่มีคนเห็น อยากนอนแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมา อยากหนีความจริง ความเจ็บปวดที่มันบั่นทอนจิตใจเรา เราพยายามปล่อยวางแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เหมือนมือเรากำมีดอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่เราตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ก็ชะงักขึ้นมาได้ทุกอย่าง เราเห็นแก่ตัวมาก ๆ แม้แต่พ่อแม่เราก็บอกไปว่าเราเห็นแก่ตัวนะ ไม่อยากทรมานแบบนี้ ไม่อยากให้ร่างกายและจิตใจแย่แบบนี้ มันเศร้าจนไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
ในวันนี้เรารู้สึกเหมือนฝืนตัวเองในการมีชีวิตอยู่ เราแค่อยากได้ความสงบไม่ต้องคิดอะไรเลย อยากลืมทุกสิ่งอย่างที่ทำให้เราเจ็บปวด กิจกรรมที่เราชอบทำมันก็ไม่เหมือนเดิม มันไม่มีความสุข ไม่มีกระจิตกระใจจะทำ ออกกำลังกายก็เหนื่อยแต่ก็กลับมาอยู่กับตัวเองเหมือนเดิม เรารู้สึกแย่มาก ๆ ที่ตัวเองเป็นแบบนี้ รู้สึกสมเพชตัวเอง ไม่คิดว่าจะพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้
ทุกครั้งที่คุยกับคุณหมอบางครั้งก็เป็นชั่วโมง บางครั้งก็เกือบหนึ่งชั่วโมง เราอยากขอบคุณคุณหมอที่คอยรับฟังเราในวันที่เราไม่มีใคร เพราะไม่กล้าแม้แต่ที่เล่าให้ครอบครัวฟัง แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่หายแต่เราก็ยังที่จะรักษาต่อไปเพื่อวันหนึ่งเราจะกลับมาเป็นคนเดิมที่เคยร่าเริงและมีความสุข
ปล. ตั้งแต่หาหมอมาน้ำหนักเราเพิ่มขึ้นมา 7 กิโล เรากินทุกอย่าง กินจนน้ำหนักขึ้น ตัวยาบางตัวก็ทำให้อยากอาหารมากขึ้น ทุกวันนี้ดีอย่างหนึ่งเลยคือเรานอนหลับได้ทุกวัน นี่คือข้อดีของยา ถ้าไม่มียาป่านนี้เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราจะเป็นอย่างไร
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ใกล้ตัวมาก ๆ คอยดูแล สอดส่องคนรอบข้างของทุกคนนะคะ อย่ามาเป็นเลยโรคนี้มันทรมานเหลือเกิน ทรมานจนไม่ไหว ต้องไปหาหมอ กินยาตลอด และต้องรักษาอย่างต่อเนื่องด้วยนะคะ