คุณเคยสงสัยไหมว่า…หลังจากโรมานอฟล่มสลาย รัสเซียหรือสหภาพโซเวียตหลังจากนี้มีสภาพเป็นอย่างไร ทำไมรัสเซียถึงยังคงเป็นประเทศชั้นนำของโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หน้าประวัติศาสตร์โลกแทบทุกหน้ามักมีชื่อรัสเซียอยู่เสมอ...อย่างเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันภายใต้ผู้นำอย่างฮิตเลอร์ที่ว่าแน่ ก็ต้องพ่ายแพ้แก่รัสเซียที่สตราลินกราดหรือแม้กระทั่งที่เบอร์ลิน บ้านของเค้าเอง หรือ ช่วงที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญถึงขีดสุด ประเทศใดเล่าที่ส่งนักบินอวกาศขึ้นไปเป็นคนแรก (นี่ยังไม่นับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆเข้าไปด้วยนะ) หรือ แม้แต่การสะสมอาวุธนิวเคลียร์มากพอที่จะสามารถสร้างความวิตกแก่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาได้ เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าขาดผู้นำ คนที่จะนำพารัสเซียก้าวสู่อภิมหาอำนาจและยิ่งใหญ่มากกว่าที่เราคิด!!
ก่อนที่จะไปพูดถึงผู้นำเหล่านั้นมาทำความรู้จักรัสเซียให้มากขึ้นเสียก่อนค่ะ
เกริ่นนำ
รัสเซีย นั้นมีชื่อย่างเป็นทางการว่า “สหพันธรัฐรัสเซีย” แต่ชาวรัสเซียชอบเรียกตัวเองว่า รัสซิย่า ประชากรชาวรัสเซียมีจำนวนมากเป็นอันดับ 9 ของโลกด้วยจำนวนประชากร 143 ล้านคน ในพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า 17,000,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นอัตราส่วนพื้นที่ นับเป็น 1 ใน 8 ของโลก รัสเซียนั้นปกครองด้วยระบอบสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี ประกอบด้วย 83 เขตการปกครอง 21 สาธารณรัฐ 9 เขตและร่วมด้วยอีก 46 มณฑล โอ้ย!!จะเยอะไปไหน ส่วนรูปแบบการปกครอง จะมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้ารัฐบาล และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารรัฐธรรมนูญ...คำถามคือ แล้วจะแบ่งส่วนการบริหารงานยังไงล่ะ มีทั้งประธานาธิบดีและนายก? ให้มองว่านายกรัฐมนตรีเป็นสับเซตของประธานาธิบดีค่ะ ประธานาธิบดีมีหน้าที่หรืออำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศอย่างสมบูรณ์ เป็นทั้งผู้นำกองทัพและคณะมนตรีความมั่นของชาติ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่นายกรัฐมนตรีจะถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ทั้งสองตำแหน่งจะต้องอยู่ในวาระ 4 ปีและไม่เกิน 2 สมัย (ปัจจุบัน นายวาดิเมียร์ ปูติน กับนายดมิทรี เมดเวเดฟต่างผลัดกันเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งทั้งสองคนนี้เกรี้ยวกราดไม่เบา ฮ่าๆ)
ปฐมบท หากกล่าวความย้อนไปในสมัยเลนินขึ้นครองอำนาจหลังจากโรมานอฟล่มสลาย...ผู้นำในสมัยนั้นจะยังไม่ถูกเรียกว่าเป็นประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด แต่จะถูกเรียกว่าประธานสภารัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียต หรือเลขาธิการคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งหน้าที่ก็ไม่ต่างอะไรกับประธานาธิบดี ที่เรารู้จักหรอกค่ะ ทีนี้เราพอจะ รู้จักข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองรัสเซียแล้ว ตอนนี้พร้อมกันรึยังคะที่จะไปทำความรู้จักบุคคลเหล่านั้น ที่ทำหน้าที่บริหารประเทศพร้อมกับควบตำแหน่งประธานสภาและเลขาธิการไปพร้อมๆกัน...
ปล. ข้อมูลดังต่อไปนี้เป็นแค่ข้อมูลย่อๆเท่านั้น หากท่านเป็นผู้ชื่นชอบรัสเซียขนานแท้ ท่านสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปหาข้อมูลต่อยอดได้ จขกท.เป็นได้แค่ไกด์นำท่านแค่นั้นค่ะ (จริงๆแล้ว จขกท.ขี้เกียจเองค่ะ หากร่ายยาวกลัวว่าจะเขียนจบปีหน้า ฮ่าๆ)
1.เลนิน
-เลนิน เป็นชื่อที่ไม่ได้มาแต่กำเนิด ชื่อจริงๆคือ วลาดีมีร์ อิลลิช อุลยานอฟ
-เลนิน มีพี่ชายนามว่า alexander ผู้มีส่วนร่วมในการลอบปลงพระชนม์พระเจ้า Alexander II พี่ชายถูกจับแขวนคอ ทำให้เลนินแค้นฝังใจและหาทางปฏิวัติรัสเซียให้ได้
-เลนินเป็น หัวหน้าพรรคบอลเชวิก เป็นผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิส และเป็นคนแรกของสหภาพโซเวียตที่ก้าวมาสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศที่ไม่ได้มาจากราชวงศ์
-เลนินเป็นผู้ล้มล้างระบอบกษัตริย์และเป็นผู้บงการสังหารโรมานอฟองค์สุดท้าย
-เขาเคยถูกจำคุกและเป็นนักโทษการเมือง จนถูกเนรเทศไปไซบีเรียก่อนที่จะเข้าขบวนการปฏิวัติใต้ดิน จนผันตัวเองเป็นผู้นำรัสเซียในที่สุด
-โนสนโนแคร์กับสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ เขาถึงขั้นทำการเจรจาสงบศึกกับฝ่ายเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 และหันมาปราบปรามฝ่ายต่อต้านในสงครามกลางเมืองของรัสเซียอย่างจริงจังแทน
- ยึดเอาหลักการของคาร์ล มาร์ก (ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว) มาใช้ในเรื่องของความเสมอภาคในรัสเซีย
- วิบากกรรมของเลนนินคือถูกลอบยิงหลายครั้ง ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก และไม่สามารถพูดได้ จึงไม่สามารถบริหารงานการเมืองได้อีกและเสียชีวิตในที่สุด
- การเสียชีวิตของเลนินในครั้งนั้น เมือง st.petersburg ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น leningrad เพื่อเป็นเกียรติแก่เลนิน จนกระทั่งเหตุล่มสลายของสหภาพโซเวียต (ปี 1991) จึงกลับมาเป็นชื่อเดิมอีกครั้ง
2.สตาลิน
-หากใครนึกภาพไม่ออกให้นึกภาพชายแก่ผมดก ผู้มากับหนวดยาวเฟิ้มและเครื่องแบบทหารคู่ใจ
-ทุกคนขนานนามว่าเป็นผู้นำจอมโหด และ เป็นอาชญากรที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศสาสตร์ โหดถึงขั้นส่งสายลับไปลอบทำร้ายคู่อริทางการเมืองด้วยการเอาขวานจามหัวตายอย่างอนาถ
-เป็นบุคคลที่เห็นความตายเป็นของเล่น เป็นยุคที่คนตายเป็นล้านคน โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สูญเสียประชากรชาวรัสเซียไปทั้งสิ้น 30 ล้านคน (ขุ่นพระ!!)
-ใครเป็นปรปักษ์กับสตาลินจะถูกส่งไปค่ายกักกันและถูกทรมานจนเสียชีวิต มีคนเล่าว่าจำนวนตัวเลขราว 10 ล้านคนได้ ( หมอนี่มันฮิตเลอร์ชัดๆ)
-เป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงสำหรับการปกป้องประเทศอันเป็นที่รักจากนาซีผู้ร้าวรานในปี 1941 (เหตุการณ์ที่สตราลินกราด*)
-อย่าคาดหวังกับการบริหารงานที่เป็นรูปแบบ หรือแบบเดิมๆที่เลนนินทิ้งไว้ เพราะเฮียแกรจะมาพร้อมกับนโยบายสุดแปลกอย่าง ห้ามทุกคนนับถือศาสนา เพราะ ศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย พระเจ้าเป็นปฎิปักษ์กับตน หรือ ห้ามทุกคนมีทรัพย์สินส่วนตัว
ผลงานอันน่าภาคภูมิใจ
*1.เหตุการณ์ที่สตราลินกราด
คำนิยาม “สงครามที่สตราลินกราดครั้งนั้น เป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างทุลักทุเล และสูญเสียประชากรไปเกือบครึ่ง แต่สงครามครั้งนั้นทำให้โลกได้ประจักษ์แล้วว่า ข้าคือรัสเซีย อย่าได้ลองดี”
ขยายความ
1) กองทัพเยอรมนีและฝ่ายอักษะ เดินทัพหน่วยทหารและยานเกราะบกเข้าสหภาพโซเวียตโดยมีเครื่องบินรบสนับสนุน เพื่อหวังยึดเมือง
สตาลินกราดให้ได้
2) แต่กองทัพเยอมนีพ่ายแพ้ โดยเสียรู้ให้แก่รัสเซีย โดนรัสเซียปิดล้อม และต้านทานการบุกยึดไว้ได้
3) เป็นสงครามที่ทำให้รู้จักความโหดในแบบฉบับรัสเซีย!!
- ผู้นำและทหารทุกคนจะไม่ยอมถอยกลับแม้แต่ก้าวเดียว ใครคิดถอยหลังกลับจะถูกมิสซาร์ทันที (หมายยิงหัว)
- จงใช้ร่างตัวเองให้เหมือนเสื้อหุ้มเกราะ ถึงแม้ศัตรูจะมีรถถังขวางทางคอยยิงอยู่ อย่าได้กลัว
- อาวุธไม่เพียงพอ ก็จงใช้ใจต่อสู้ หากมีกระสุนแต่ไม่มีปืน ก็ไปเอาจากศพคนที่มีปืนซะ
- ขอยอมตายดีกว่า ตกเป็นเชลยของเยอรมัน
2.เหตุการณ์ยึดกรุงเบอร์ลิน- จุดจบของนาซีและสงครามครั้งสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
นับเป็นสงครามที่ทำให้ทุกคนเข้าใจแล้วว่า คุณภาพกับปริมาณ คุณภาพหรือจะสู้ปริมาณ!! ด้วยที่กองทัพแดงของโซเวียตจำนวนมหาศาลเข้าไปบุกขยี้กรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับ ทหารอเมริกาและอังกฤษ ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งเมืองนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส การรบในครั้งนี้ทำให้อดอฟ ฮิตเลอร์ต้องยอมจำนวนแก่ฝ่ายพันธมิตรแต่โดยดี
ลำดับเหตุการณ์ (ย่อ)
- เริ่มต้นที่โซเวียตยึดกรุงวอร์ซอของประเทศโปแลนด์ เพื่อบุกข้ามพรมแดนเข้าสู่เยอรมันในปี คศ.1945
- เมื่อกองทัพแดงเข้าสู่เบอร์ลินได้ ก็ไม่ได้รอรีใดๆทั้งสิ้น ทหารนับล้านคนของโซเวียตเดินหน้าถล่ม และทำลายเบอร์ลิน ศูนย์กลางของพวกนาซีย่อยยับ
- เยอรมนีอ่อนกำลังและเริ่มถดถอย ทำให้เสีย ฮังการี โรมาเนีย และ บัลแกเรีย ให้แก่โซเวียต (เค้าว่ากันว่า เพราะประเทศเหล่านี้ จากที่เคยเป็นพันธมิตรเยอรมันกลับประกาศสงครามและช่วยโซเวียตไล่เยอรมันจนไม่สามารถทำการต่อต้านหรือรุกรานได้อีก)
- เยอรมนีพ่ายแพ้และถูกแยกออกเป็นเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก ในส่วนของเยอรมันตะวันออกอยู่ในความดูแลของโซเวียต ในขณะที่เยอรมันตะวันตกอยู่ในความดูแลของสหรัฐอเมริกา
สหภาพ so weird …มองรัสเซียผ่านผู้นำ
คุณเคยสงสัยไหมว่า…หลังจากโรมานอฟล่มสลาย รัสเซียหรือสหภาพโซเวียตหลังจากนี้มีสภาพเป็นอย่างไร ทำไมรัสเซียถึงยังคงเป็นประเทศชั้นนำของโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หน้าประวัติศาสตร์โลกแทบทุกหน้ามักมีชื่อรัสเซียอยู่เสมอ...อย่างเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันภายใต้ผู้นำอย่างฮิตเลอร์ที่ว่าแน่ ก็ต้องพ่ายแพ้แก่รัสเซียที่สตราลินกราดหรือแม้กระทั่งที่เบอร์ลิน บ้านของเค้าเอง หรือ ช่วงที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญถึงขีดสุด ประเทศใดเล่าที่ส่งนักบินอวกาศขึ้นไปเป็นคนแรก (นี่ยังไม่นับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆเข้าไปด้วยนะ) หรือ แม้แต่การสะสมอาวุธนิวเคลียร์มากพอที่จะสามารถสร้างความวิตกแก่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาได้ เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าขาดผู้นำ คนที่จะนำพารัสเซียก้าวสู่อภิมหาอำนาจและยิ่งใหญ่มากกว่าที่เราคิด!!
ก่อนที่จะไปพูดถึงผู้นำเหล่านั้นมาทำความรู้จักรัสเซียให้มากขึ้นเสียก่อนค่ะ
เกริ่นนำ
รัสเซีย นั้นมีชื่อย่างเป็นทางการว่า “สหพันธรัฐรัสเซีย” แต่ชาวรัสเซียชอบเรียกตัวเองว่า รัสซิย่า ประชากรชาวรัสเซียมีจำนวนมากเป็นอันดับ 9 ของโลกด้วยจำนวนประชากร 143 ล้านคน ในพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า 17,000,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นอัตราส่วนพื้นที่ นับเป็น 1 ใน 8 ของโลก รัสเซียนั้นปกครองด้วยระบอบสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี ประกอบด้วย 83 เขตการปกครอง 21 สาธารณรัฐ 9 เขตและร่วมด้วยอีก 46 มณฑล โอ้ย!!จะเยอะไปไหน ส่วนรูปแบบการปกครอง จะมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้ารัฐบาล และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารรัฐธรรมนูญ...คำถามคือ แล้วจะแบ่งส่วนการบริหารงานยังไงล่ะ มีทั้งประธานาธิบดีและนายก? ให้มองว่านายกรัฐมนตรีเป็นสับเซตของประธานาธิบดีค่ะ ประธานาธิบดีมีหน้าที่หรืออำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศอย่างสมบูรณ์ เป็นทั้งผู้นำกองทัพและคณะมนตรีความมั่นของชาติ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่นายกรัฐมนตรีจะถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ทั้งสองตำแหน่งจะต้องอยู่ในวาระ 4 ปีและไม่เกิน 2 สมัย (ปัจจุบัน นายวาดิเมียร์ ปูติน กับนายดมิทรี เมดเวเดฟต่างผลัดกันเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งทั้งสองคนนี้เกรี้ยวกราดไม่เบา ฮ่าๆ)
ปฐมบท หากกล่าวความย้อนไปในสมัยเลนินขึ้นครองอำนาจหลังจากโรมานอฟล่มสลาย...ผู้นำในสมัยนั้นจะยังไม่ถูกเรียกว่าเป็นประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด แต่จะถูกเรียกว่าประธานสภารัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียต หรือเลขาธิการคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งหน้าที่ก็ไม่ต่างอะไรกับประธานาธิบดี ที่เรารู้จักหรอกค่ะ ทีนี้เราพอจะ รู้จักข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองรัสเซียแล้ว ตอนนี้พร้อมกันรึยังคะที่จะไปทำความรู้จักบุคคลเหล่านั้น ที่ทำหน้าที่บริหารประเทศพร้อมกับควบตำแหน่งประธานสภาและเลขาธิการไปพร้อมๆกัน...
ปล. ข้อมูลดังต่อไปนี้เป็นแค่ข้อมูลย่อๆเท่านั้น หากท่านเป็นผู้ชื่นชอบรัสเซียขนานแท้ ท่านสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปหาข้อมูลต่อยอดได้ จขกท.เป็นได้แค่ไกด์นำท่านแค่นั้นค่ะ (จริงๆแล้ว จขกท.ขี้เกียจเองค่ะ หากร่ายยาวกลัวว่าจะเขียนจบปีหน้า ฮ่าๆ)
1.เลนิน
-เลนิน เป็นชื่อที่ไม่ได้มาแต่กำเนิด ชื่อจริงๆคือ วลาดีมีร์ อิลลิช อุลยานอฟ
-เลนิน มีพี่ชายนามว่า alexander ผู้มีส่วนร่วมในการลอบปลงพระชนม์พระเจ้า Alexander II พี่ชายถูกจับแขวนคอ ทำให้เลนินแค้นฝังใจและหาทางปฏิวัติรัสเซียให้ได้
-เลนินเป็น หัวหน้าพรรคบอลเชวิก เป็นผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิส และเป็นคนแรกของสหภาพโซเวียตที่ก้าวมาสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศที่ไม่ได้มาจากราชวงศ์
-เลนินเป็นผู้ล้มล้างระบอบกษัตริย์และเป็นผู้บงการสังหารโรมานอฟองค์สุดท้าย
-เขาเคยถูกจำคุกและเป็นนักโทษการเมือง จนถูกเนรเทศไปไซบีเรียก่อนที่จะเข้าขบวนการปฏิวัติใต้ดิน จนผันตัวเองเป็นผู้นำรัสเซียในที่สุด
-โนสนโนแคร์กับสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ เขาถึงขั้นทำการเจรจาสงบศึกกับฝ่ายเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 และหันมาปราบปรามฝ่ายต่อต้านในสงครามกลางเมืองของรัสเซียอย่างจริงจังแทน
- ยึดเอาหลักการของคาร์ล มาร์ก (ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว) มาใช้ในเรื่องของความเสมอภาคในรัสเซีย
- วิบากกรรมของเลนนินคือถูกลอบยิงหลายครั้ง ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก และไม่สามารถพูดได้ จึงไม่สามารถบริหารงานการเมืองได้อีกและเสียชีวิตในที่สุด
- การเสียชีวิตของเลนินในครั้งนั้น เมือง st.petersburg ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น leningrad เพื่อเป็นเกียรติแก่เลนิน จนกระทั่งเหตุล่มสลายของสหภาพโซเวียต (ปี 1991) จึงกลับมาเป็นชื่อเดิมอีกครั้ง
2.สตาลิน
-หากใครนึกภาพไม่ออกให้นึกภาพชายแก่ผมดก ผู้มากับหนวดยาวเฟิ้มและเครื่องแบบทหารคู่ใจ
-ทุกคนขนานนามว่าเป็นผู้นำจอมโหด และ เป็นอาชญากรที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศสาสตร์ โหดถึงขั้นส่งสายลับไปลอบทำร้ายคู่อริทางการเมืองด้วยการเอาขวานจามหัวตายอย่างอนาถ
-เป็นบุคคลที่เห็นความตายเป็นของเล่น เป็นยุคที่คนตายเป็นล้านคน โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สูญเสียประชากรชาวรัสเซียไปทั้งสิ้น 30 ล้านคน (ขุ่นพระ!!)
-ใครเป็นปรปักษ์กับสตาลินจะถูกส่งไปค่ายกักกันและถูกทรมานจนเสียชีวิต มีคนเล่าว่าจำนวนตัวเลขราว 10 ล้านคนได้ ( หมอนี่มันฮิตเลอร์ชัดๆ)
-เป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงสำหรับการปกป้องประเทศอันเป็นที่รักจากนาซีผู้ร้าวรานในปี 1941 (เหตุการณ์ที่สตราลินกราด*)
-อย่าคาดหวังกับการบริหารงานที่เป็นรูปแบบ หรือแบบเดิมๆที่เลนนินทิ้งไว้ เพราะเฮียแกรจะมาพร้อมกับนโยบายสุดแปลกอย่าง ห้ามทุกคนนับถือศาสนา เพราะ ศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย พระเจ้าเป็นปฎิปักษ์กับตน หรือ ห้ามทุกคนมีทรัพย์สินส่วนตัว
ผลงานอันน่าภาคภูมิใจ
*1.เหตุการณ์ที่สตราลินกราด
คำนิยาม “สงครามที่สตราลินกราดครั้งนั้น เป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างทุลักทุเล และสูญเสียประชากรไปเกือบครึ่ง แต่สงครามครั้งนั้นทำให้โลกได้ประจักษ์แล้วว่า ข้าคือรัสเซีย อย่าได้ลองดี”
ขยายความ
1) กองทัพเยอรมนีและฝ่ายอักษะ เดินทัพหน่วยทหารและยานเกราะบกเข้าสหภาพโซเวียตโดยมีเครื่องบินรบสนับสนุน เพื่อหวังยึดเมือง
สตาลินกราดให้ได้
2) แต่กองทัพเยอมนีพ่ายแพ้ โดยเสียรู้ให้แก่รัสเซีย โดนรัสเซียปิดล้อม และต้านทานการบุกยึดไว้ได้
3) เป็นสงครามที่ทำให้รู้จักความโหดในแบบฉบับรัสเซีย!!
- ผู้นำและทหารทุกคนจะไม่ยอมถอยกลับแม้แต่ก้าวเดียว ใครคิดถอยหลังกลับจะถูกมิสซาร์ทันที (หมายยิงหัว)
- จงใช้ร่างตัวเองให้เหมือนเสื้อหุ้มเกราะ ถึงแม้ศัตรูจะมีรถถังขวางทางคอยยิงอยู่ อย่าได้กลัว
- อาวุธไม่เพียงพอ ก็จงใช้ใจต่อสู้ หากมีกระสุนแต่ไม่มีปืน ก็ไปเอาจากศพคนที่มีปืนซะ
- ขอยอมตายดีกว่า ตกเป็นเชลยของเยอรมัน
2.เหตุการณ์ยึดกรุงเบอร์ลิน- จุดจบของนาซีและสงครามครั้งสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
นับเป็นสงครามที่ทำให้ทุกคนเข้าใจแล้วว่า คุณภาพกับปริมาณ คุณภาพหรือจะสู้ปริมาณ!! ด้วยที่กองทัพแดงของโซเวียตจำนวนมหาศาลเข้าไปบุกขยี้กรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับ ทหารอเมริกาและอังกฤษ ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งเมืองนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส การรบในครั้งนี้ทำให้อดอฟ ฮิตเลอร์ต้องยอมจำนวนแก่ฝ่ายพันธมิตรแต่โดยดี
ลำดับเหตุการณ์ (ย่อ)
- เริ่มต้นที่โซเวียตยึดกรุงวอร์ซอของประเทศโปแลนด์ เพื่อบุกข้ามพรมแดนเข้าสู่เยอรมันในปี คศ.1945
- เมื่อกองทัพแดงเข้าสู่เบอร์ลินได้ ก็ไม่ได้รอรีใดๆทั้งสิ้น ทหารนับล้านคนของโซเวียตเดินหน้าถล่ม และทำลายเบอร์ลิน ศูนย์กลางของพวกนาซีย่อยยับ
- เยอรมนีอ่อนกำลังและเริ่มถดถอย ทำให้เสีย ฮังการี โรมาเนีย และ บัลแกเรีย ให้แก่โซเวียต (เค้าว่ากันว่า เพราะประเทศเหล่านี้ จากที่เคยเป็นพันธมิตรเยอรมันกลับประกาศสงครามและช่วยโซเวียตไล่เยอรมันจนไม่สามารถทำการต่อต้านหรือรุกรานได้อีก)
- เยอรมนีพ่ายแพ้และถูกแยกออกเป็นเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก ในส่วนของเยอรมันตะวันออกอยู่ในความดูแลของโซเวียต ในขณะที่เยอรมันตะวันตกอยู่ในความดูแลของสหรัฐอเมริกา