"มาม่า" ยันไตรมาส 3 ยอดขายพลิกกลับมาบวก หลังต้นปีถูกแบรนด์ต่างประเทศทุบตลาด ชิงแชร์ไปกว่า 10% พร้อมปรับกลยุทธ์การตลาดส่งผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเสริมทัพต่อเนื่อง
นาย
พจน์ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตรา “มาม่า” เปิดเผยว่า การแข่งขันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วงที่เหลือยังรุนแรง เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ เช่น มาม่าเกาหลี และมาม่าญี่ปุ่นเข้ามาตีตลาดในไทยเป็นจำนวนมาก โดยที่ผ่านมาบะหมี่ต่างประเทศเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในไทยแล้ว 10% โดยบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ทั้งนี้ยอมรับว่า
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ยอดขาย “มาม่า” ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงบ้างประมาณ 2-3% และในไตรมาส 3 น่าจะกลับมาพ้นวิกฤติและเป็นบวกได้จากไตรมาส 2 ติดลบ นอกจากนี้มีได้รุกตลาดข้าวต้มมาม่าคาดว่าจะเติบโต 3 เท่า โดยปีนี้คาดว่ามีรายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท และอีก 10 ปีข้างหน้ายอดขายแตะ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 10,000 ล้านบาท บริษัทร่วมและบริษัทย่อย 10,000 ล้านบาท และต่างประเทศ 10,000 ล้านบาท ส่วนการทำตลาดต่างประเทศก็ได้ขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง
"ไม่เน้นจัดแคมเปญ แต่เน้นคุณภาพสินค้า และการทำตลาดสินค้าใหม่ โดยยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเงินในมือผู้บริโภคไม่มาก และการแข่งขันตลาดบะหมี่ต่างประเทศทำให้ยอดขายไม่ได้ตามเป้า ทำให้บริษัทฯต้องออกผลิตภัณฑ์มีเทียบเคียงหรือมากกว่า เพื่อเป็นทางเลือกผู้บริโภค นอกจากนี้เราเน้นพัฒนาและวิจัยหรืออาร์แอนด์ดี 0.5% ของยอดขายหรือประมาณ 50 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ไม่ให้เกิน 45% เชื่อว่าหากมีผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาทำตลาดจะช่วยให้ยอดขายปรับตัวดีขึ้น"
JJNY : เสดตะกิดดี๊ดี...ซี้จุกสูญ มาม่าครวญยอดขายหดถูกแบรนด์นอกตีตลาด(คลิป)
นายพจน์ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตรา “มาม่า” เปิดเผยว่า การแข่งขันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วงที่เหลือยังรุนแรง เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ เช่น มาม่าเกาหลี และมาม่าญี่ปุ่นเข้ามาตีตลาดในไทยเป็นจำนวนมาก โดยที่ผ่านมาบะหมี่ต่างประเทศเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในไทยแล้ว 10% โดยบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ทั้งนี้ยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ยอดขาย “มาม่า” ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงบ้างประมาณ 2-3% และในไตรมาส 3 น่าจะกลับมาพ้นวิกฤติและเป็นบวกได้จากไตรมาส 2 ติดลบ นอกจากนี้มีได้รุกตลาดข้าวต้มมาม่าคาดว่าจะเติบโต 3 เท่า โดยปีนี้คาดว่ามีรายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท และอีก 10 ปีข้างหน้ายอดขายแตะ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 10,000 ล้านบาท บริษัทร่วมและบริษัทย่อย 10,000 ล้านบาท และต่างประเทศ 10,000 ล้านบาท ส่วนการทำตลาดต่างประเทศก็ได้ขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง
"ไม่เน้นจัดแคมเปญ แต่เน้นคุณภาพสินค้า และการทำตลาดสินค้าใหม่ โดยยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเงินในมือผู้บริโภคไม่มาก และการแข่งขันตลาดบะหมี่ต่างประเทศทำให้ยอดขายไม่ได้ตามเป้า ทำให้บริษัทฯต้องออกผลิตภัณฑ์มีเทียบเคียงหรือมากกว่า เพื่อเป็นทางเลือกผู้บริโภค นอกจากนี้เราเน้นพัฒนาและวิจัยหรืออาร์แอนด์ดี 0.5% ของยอดขายหรือประมาณ 50 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ไม่ให้เกิน 45% เชื่อว่าหากมีผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาทำตลาดจะช่วยให้ยอดขายปรับตัวดีขึ้น"