ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนเลย นี่เป็นกระทู้รีวิวกระทู้แรกของผมครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัย
หลังจากที่คอยอ่านรีวิวการสัมภาษณ์ VISA จากกระทู้ อื่นๆ มามากมายก่อนที่จะไปสัมภาษณ์ (คืออ่านเยอะมาก กลัวพลาด)
ผมเตรียมตัว เตรียมเอกสารทุกอย่างเองนะครับ ไม่ผ่าน Agency
หลังจากที่ผ่านวีซ่าแล้ว ผมก็อยากจะแชร์กระทู้รีวิวของตัวเองบ้าง เพื่อนเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจคนต่อไป
เพราะผมเอง ก็ถือว่าผ่านวีซ่ามาด้วยการอ่านรีวิวกระทู้จากคนอื่นๆครับ (ขอบคุณทุกคนจริงๆครับ)
เนื่องจากตัวผมเอง มีความสนใจที่จะไปศึกษาภาษาอังกฤษที่อเมริกาอยู่แล้วครับ ทางบ้านก็โอเคกับเรื่องนี้ด้วย
จากนั้นก็เริ่มให้ทางบ้านเตรียม Statement และก็เอกสารต่างๆครับ
(ผมให้ที่บ้านเป็นสปอนเซอร์ครับ ชื่อคุณแม่)
ก่อนอื่นขอเล่าก่อนว่าผมพึ่งจบมหาลัย เมื่อปีที่แล้วครับ ปัจจุบันทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ (เรียนจบปั๊บทำงานเลย)
นี่คือตัวอย่างกระทู้ที่ผมเข้าไปอ่านและทำความเข้าใจในเรื่องขั้นตอนเตรียมเอกสารต่าง ๆ จนถึงการนัดสัมภาษณ์ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/31869158 << ขอขอบคุณ คุณ andeally เจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ สำหรับข้อมูลการเตรียมเอกสาร
https://ppantip.com/topic/35021980 << ขอขอบคุณ คุณ ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงในนิยายของใคร สำหรับขั้นตอนการกรอก DS-160 ครับ
**เรื่องเอกสาร หลังจากอ่านรีวิวมาจากหลายกระทู้ ผมก็เตรียมเอกสารไว้ดังนี้ครับ **
1. Passport - ตัวจริง และ เล่มปัจจุบัน
2. บัตรประชาชนตัวจริง (ใครเคยเปลี่ยนชื่อให้นำเอกสารมาด้วยนะครับ)
3. I-20 จากทางมหาลัย
4. ใบเสร็จค่าธรรมเนียม SEVIS
5. แบบฟอร์ม DS-160 (ขั้นตอนการกรอกอยู่ในกระทู้ด้านบน)
6. รูปถ่าย 2*2 นิ้ว แจ้งที่ร้านถ่ายรูปเลยครับ ว่าจะนำรูปไปใช้ในการสัมภาษณ์
- ขอให้ทางร้านส่งทางอีเมลล์ด้วยนะครับ เพราะต้องนำไปอัพโหลดตอนจะกรอก DS-160
7. Statement ย้อนหลัง 6 เดือน บัญชื่อชื่อแม่ - ออกโดยธนาคาร (ย้ำอีกรอบว่าผมให้แม่เป็นสปอนเซอร์ครับ)
Certificate of Finance (หรือ Bank Guarantee ว่าเรามี ทรัพย์สินที่จะใช้สปอนเซอร์ตัวเราว่ามีเท่าไหร่ ออกโดยธนาคาร)
Statement of Financial Sponsorship (ใบแจ้งที่บอกว่าใครจะเป็นคนสปอนเซอร์เรา ปริ๊นจากเว็บมหาลัย)
8. สำเนาบัตร และทะเบียนบ้านของแม่
9. ทะเบียนการค้าตัวจริง - ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัวครับ
10. ใบนัดสัมภาษณ์ ที่จะระบุ วัน และ เวลาที่เราเลือกไว้
11. ใบรับรองการทำงาน (Certificate of employment) ที่ผมได้มาระบุแค่ชื่อตำแหน่ง เงินเดือน และวันที่เริ่มทำงาน
12. ใบรับรองจากมหาลัยว่าเราจบหลักสูตรอะไร คณะอะไร
13. Transcript จากมหาลัย <<< เพราะ Transcript นี่แล่ะ ทำให้เกิดการสัมภาษณ์รอบที่สอง
พอถึงวันสัมภาษณ์จริง ผมก็สรุปหลักการที่ผมเรียนรู้มาจากกระทู้ก่อนๆ ที่รีวิวการสัมภาษณ์วีซ่าไว้ดังนี้
1. ผมต้องตอบตามความเป็นจริง ตามที่ได้ระบุใน DS-160
(ตัวอย่างเช่น มี Specific Plan จะไปตอนไหน กลับตอนไหน ไปนานมั้ย พักกับใคร ทำไมต้องไปประเทศนี้ ฯลฯ)
ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้กงสุลได้เห็นว่า เราไปแล้วจะกลับมา
2. คำตอบของผมต้องสอดคล้องกับ DS-160 ในกรณีของผมคือ ต้องการพัฒนาภาษาอังกฤษ
เพื่อใช้ในสายงาน (ร้อยละ 90 ของสายงานผมต้องติดต่อกับคนต่างชาติครับ)
3. จำนวนเงินต้องสอดคล้องกับช่วงระยะเวลาที่ไป หรือให้กงสุลมั่นใจว่า ไปแล้วเอาชีวิตรอดได้
4. ถามแค่ไหน ตอบแค่นั้น อย่าเยอะ
5. คาดหวัง 100% ก็ผิดหวัง 100% ครับ ไม่ต้องคาดหวังเยอะ ไม่ผ่านก็ไปเรียนที่อื่นแทนสิ
เอาละครับพอถึงวันจริง (ตอนนั้นภาพในหัวผม การสัมภาษณ์วีซ่าคือการ นั่งคุยกันตัวต่อตัว เช็คเอกสารทุกอย่าง ถามละเอียดยิบ)
แต่สำหรับคนที่เคยไปสัมภาษณ์แล้ว จะรู้เลยว่าผมคิดผิด
**สัมภาษณ์ครั้งแรก**
โอเคพอถึงวันก็ลุยเลย ลง BTS สถานี เพลินจิต จากนั้นต่อ พี่วิน 20 บาทไปลงสถานทูต
1. ด่านเช็คเอกสาร เช็คชื่อ ตรงนี้ก็เรียงคิว ต่อแถวเข้าไปด้านในสถานทูต สแกนร่างกาย และก็ฝากของครับ
ขั้นตอนนี้ก็ทั่วไป ตามระเบียบการของสถานที่อยู่แล้ว เพื่อรักษาความปลอดภัยครับ
2. พอเสร็จแล้วก็เข้าไปข้างใน นั่งรอด้านหน้าห้องกงสุล จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเรียก เพื่อเช็คเอกสารเบื้องต้นก่อน
(ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะสอบถามว่าเคยมีวีซ่ามาก่อนมั้ย หรือเคยมีวีซ่าที่หมดอายุหรือเปล่า)
จากนั้นเข้าห้องสัมภาษณ์ครับ
- ด่านเจ้าหน้าที่คนไทย
จนท : สวัสดีค่ะ
- สวัสดีครับ
จนท : ไปทำอะไรที่อเมริกาคะ ?
- ไปเรียนภาษาอังกฤษครับ
จนท : ไปกี่เดือนคะ ?
- XX เดือนครับ
จนท : มีญาติหรือครอบครัวอยู่ที่นั่นมั้ยคะ ?
- ไม่มีครับ มีแต่เพื่อน
จนท : ขอดูทรานสคริปต์ค่ะ
- ผมไม่ได้เอามาครับ มีแค่ใบจบ จะเป็นไรมั้ยครับ (รอบแรกผมพลาดจริงๆครับ ไม่เอา Transcript ไป)
จนท : อืมมมมมมมมมมมมม ไม่เป็นไรค่ะ เชิญเข้าคิวสัมภาษณ์กับกงสุลค่ะ (พร้อมคืนเอกสาร)
- ครับ .... (ซวยแล้วกุ ลางสังหรณ์เริ่มไม่ดีละ)
- ด่านกงสุล
ณ จุดนี้ผมเจอเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติที่เป็นผู้หญิง ผิวสี นะครับ
(แน่นอนครับว่าต้องสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษครับ ณ ส่วนนี้ ส่วนตัวผมคิดว่า ในเมื่อเราจะไปเรียนต่อที่ประเทศเค้า เราก็ต้องสื่อสารภาษาบ้านเค้าได้บ้าง)
กงสุล : ไปทำอะไรที่ USA
- ไปเรียนภาษาอังกฤษครับ
กงสุล : ไปนานแค่ไหน
- ไปเรียน XX เดือนครับ (ตอบตามข้อมูลที่กรอกไว้ใน DS-160 ครับ)
จุดนี้ผมระบุ Specific Plan ไว้เรียบร้อยครับ ว่าไปตอนไหน กลับตอนไหน
กงสุล : สาเหตุที่ไปเรียน
- ตามหน้าที่การงาน คือผมเป็น XXX ของบริษัทเอกชนแห่งนึง และส่วนใหญ่ 90 % ของลูกค้าคือ ชาวต่างประเทศ
และมันส่งผลโดยตรงต่อ Performance ของผมในตำแหน่งนี้ (เหมือนเดิมครับ ตอบตามความจริง)
กงสุล : ใครเป็นคนสนับสุนค่าใช้จ่าย
- My mother
กงสุล : ขอดู Transcript และ Financial Document
- ผมสะดุดตรงนี้เลยครับ เพราะ ไม่ได้เอา Transcript มา ผมเอามาแค่ใบจบที่บอกว่าเราจบหลักสูตรอะไร จากมหาลัยไหนมา
แล้วก็แจ้ง กลสุล ไปตามตรงว่า ไม่ได้เอามา
เท่านั้นแล่ะครับ วีซ่าไม่ผ่าน !!!!! เดินคอตกออกมาจากสถานทูต พร้อมกับกระดาษใบเล็กๆ - SECTION 214(B)
(มาพลาดเพราะไม่เอา Transcript มา มันน่าเขกหัวตัวเองจริงๆ)
ภาพกระดาษที่ผมได้มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นผมก็เฟลอยู่ช่วงนึง และก็ นัดสัมภาษณ์ใหม่อีกรอบครับ - อ้อ ค่านัดสัมภาษณ์ครั้งละ ห้าพันกว่าบาทนะครับ
และที่สำคัญเลย *** ผมกรอกใน DS-160 รอบที่สองด้วยว่า โดนปฏิเสธการขอ Visa ครั้งแรกครับ
ผมระบุในช่องไปเลยว่าไม่ผ่านเพราะ ไม่เอา Transcript มา (ตอบตามความจริงครับ ตามหลักที่ผมเชื่อไว้ด้านบน)
**สัมภาษณ์รอบสอง
ก็เหมือนเดิมทุกอย่างครับ ตามขั้นตอน เตรียมเอกสาร นัดสัมภาษณ์
สำหรับการณ์สัมภาษณ์ Visa F1 รอบที่สอง ที่ยังไม่ถึงเวลาเรียน ก็ใช้ เลข SEVIS ตัวเดิมได้ครับ
- ด่านเจ้าหน้าที่คนไทย
จนท : สวัสดีค่ะ
- สวัสดีครับ
จนท : ไปทำอะไรที่อเมริกาคะ ?
- ไปเรียนภาษาอังกฤษครับ
จนท : ไปกี่เดือนคะ ?
- XX เดือนครับ
จนท : มีญาติหรือครอบครัวอยู่ที่นั่นมั้ยคะ ?
- ไม่มีครับ มีแต่เพื่อน
จนท : พิมนั่นพิมพ์นี่ แล้วก็ดูในจอคอม (ผมเชื่อว่า ข้อมูลของเราในรอบแรกยังอยู่ในระบบครับ รวมทั้งคำตอบที่เราเคยตอบ)
- ใจคอไม่ดีละ ผมเลยบอกไปเลยว่า พี่ครับ ผมเคยมาสัมภาษณ์แล้วครับ ครั้งนึง
จนท : ครั้งที่แล้วมาสัมภาษณ์ตอนไหนคะ
- เดือนที่แล้วครับ ช่วงวันที่ XXX - ผมก็จำได้แค่คร่าวๆ
จนท : รอบนี้เอา Transcript มามั้ยคะ
- เอามาสิครับ !!! (ณ จุดนี้ผมมั่นใจเลยว่า เค้าดูจาก DS-160 ที่เรากรอกเป็นหลักครับ ซึ่งผมก็กรอกคำตอบที่เหมือนกับรอบที่แล้วครับ)
จนท : คนที่สัมภาษณ์เรา ครั้งที่แล้ววันนี้เค้ามาหรือเปล่า อยู่ช่องไหน ?
- ก็มองดูครับ ก็เจอเจ้าหน้าที่ ผู้หญิง ผิวสี อยู่ เลยบอก จนท ว่า อยู่ครับ อยู่ช่อง 9 ครับ
จนท : ถ้าคิวว่างต้องเจอ กงสุล คนเดิม ให้บอก คนที่อยู่ด้านหลัง เดินเข้าไปก่อนนะคะ เชิญต่อคิวเลยค่ะ
- ครับ
จากนั้นผมก็เข้าแถวรอ สัมภาษณ์กับกงสุลครับ ก็ได้บอกกับคนด้านหลังว่าถ้าเจอเจ้าหน้าที่(คนเดิมที่สัมภาษณ์ผมรอบแรก)ว่าง ให้พี่ที่อยู่ด้านหลังเข้าไปก่อน - ซึ่งผมต้องเจอเขาจริงๆ !!!! แต่ก่อนหน้านั้นได้คุยกับพี่ที่อยู่ด้านหลังไว้แล้วครับ พี่เขาก็เข้าใจ
(ขอขอบคุณพี่คนนั้นอีกครั้งมากนะครับที่เข้าใจ พี่เขา เป็นทอม ตัวเล็กๆ ขาว ๆ ฟันแหลมๆ รู้สึกจะมาขอ Visa ไปเที่ยวครับ ถ้าผมเดาไม่ผิดนะ
ยังไงก็ขอ ขอบคุณอีกครั้งผ่านกระทู้นี้ครับพี่ ที่เข้าใจกันครับ ขอบคุณจริงๆครับ)
จากนั้นก็ได้เข้าคิวสัมภาษณ์ครับ - เจอกงสุลผู้ชายที่เป็นคน Asia นะครับ ผมไม่แน่ใจว่า เป็นคนเกาหลี หรือ จีน ครับ
ผมก็ตอบทุกอย่าง เหมือนที่เคยตอบไปรอบแรกเลยครับ
กงสุล : ไปทำอะไรที่ USA
- ไปเรียนภาษาอังกฤษครับ
กงสุล : ไปนานแค่ไหน
- ไปเรียน XX เดือนครับ (ตอบตามข้อมูลที่กรอกไว้ใน DS-160 ครับ)
จุดนี้ผมระบุ Specific Plan ไว้เรียบร้อยครับ ว่าไปตอนไหน กลับตอนไหน
กงสุล : สาเหตุที่ไปเรียน
- ตามหน้าที่การงาน คือผมเป็น XXX ของบริษัทเอกชนแห่งนึง และส่วนใหญ่ 90 % ของลูกค้าคือ ชาวต่างประเทศ
และมันส่งผลโดยตรงต่อ Performance ของผมในตำแหน่งนี้ (เหมือนเดิมครับ ตอบตามความจริง)
กงสุล : ใครเป็นคนสนับสุนค่าใช้จ่าย
- My mother (ตอบเหมือนเดิมครับ)
กงสุล : ขอดู Transcript และ Financial Document
- ยื่นให้อย่างไวเลยครับ !!!!
กงสุล : คุณมีครอบครัว หรือคนรู้จักที่นั่นมั้ย
- ไม่มีครับ ผมมีแค่เพื่อนที่อยู่ที่นั่น
กงสุล : พูดเร็วๆ เกี่ยวกับเรื่องงานครับ ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับอาชีพก่อนหน้า ซึ่งผมไม่ได้กรอก (ก็ผมพึ่งทำงานที่นี่ที่แรก)
- ผมพึ่งเรียนจบปริญญาตรี เมื่อปีที่แล้วครับ และนี่ก็เป็นงานแรกของผม เลยไม่ได้กรอก อาชีพก่อนหน้านี้ครับ
กงสุล : เงียบ แล้วก็พิมพ์ๆๆๆๆ นานมากครับ นานมาก
- คุณต้องการเอกสารอะไรเพิ่มเติมไหม ผมมี ใบรับรองการทำงานมาด้วยนะครับ (ยื่นให้ด้วยนะ)
กงสุง : No, I have everything I need
- ผมได้แค่เงียบและก็รอครับ
เป็นเวลานานมากในการรอ, เตรียมเอกสารมาหลายเดือน สุดท้าย ....
VISA F1 ผ่านครับ !!!!!!!!!! ดีใจมากๆ
ท่านกงสุลก็เก็บ Passport ไป จากนั้นผมก็รอครับ
สุดท้ายได้ Visa F1 มา 5 ปีครับ
ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านครับ ผมหวังว่า กระทู้ของผมจะทำให้คนที่สนใจจะสัมภาษณ์ VISA อเมริกา
ได้ข้อมูล และความรู้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ
เพราะผมเองก็ ผ่าน VISA ได้เพราะผมอ่าน จากกระทู้ก่อนๆ เกี่ยวกับ VISA ที่หลายๆคนได้เขียนไว้ครับ
ขอขอบคุณ จขกท ทุกท่าน อีกครั้ง สำหรับข้อมูลทุกอย่าง ที่ทำให้ผมมีวันนี้ครับ
ผมขอให้ คนที่มีความประสงค์ที่ีจะสัมภาษณ์ VISA อเมริกา ผ่านทุกคนนะครับบบบ
รีวิว สัมภาษณ์ VISA F1 อเมริกา 2018 - ต้องสัมภาษณ์ 2 รอบ ถึงจะผ่าน !!!!!
หลังจากที่คอยอ่านรีวิวการสัมภาษณ์ VISA จากกระทู้ อื่นๆ มามากมายก่อนที่จะไปสัมภาษณ์ (คืออ่านเยอะมาก กลัวพลาด)
ผมเตรียมตัว เตรียมเอกสารทุกอย่างเองนะครับ ไม่ผ่าน Agency
หลังจากที่ผ่านวีซ่าแล้ว ผมก็อยากจะแชร์กระทู้รีวิวของตัวเองบ้าง เพื่อนเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจคนต่อไป
เพราะผมเอง ก็ถือว่าผ่านวีซ่ามาด้วยการอ่านรีวิวกระทู้จากคนอื่นๆครับ (ขอบคุณทุกคนจริงๆครับ)
เนื่องจากตัวผมเอง มีความสนใจที่จะไปศึกษาภาษาอังกฤษที่อเมริกาอยู่แล้วครับ ทางบ้านก็โอเคกับเรื่องนี้ด้วย
จากนั้นก็เริ่มให้ทางบ้านเตรียม Statement และก็เอกสารต่างๆครับ (ผมให้ที่บ้านเป็นสปอนเซอร์ครับ ชื่อคุณแม่)
ก่อนอื่นขอเล่าก่อนว่าผมพึ่งจบมหาลัย เมื่อปีที่แล้วครับ ปัจจุบันทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ (เรียนจบปั๊บทำงานเลย)
นี่คือตัวอย่างกระทู้ที่ผมเข้าไปอ่านและทำความเข้าใจในเรื่องขั้นตอนเตรียมเอกสารต่าง ๆ จนถึงการนัดสัมภาษณ์ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
**เรื่องเอกสาร หลังจากอ่านรีวิวมาจากหลายกระทู้ ผมก็เตรียมเอกสารไว้ดังนี้ครับ **
1. Passport - ตัวจริง และ เล่มปัจจุบัน
2. บัตรประชาชนตัวจริง (ใครเคยเปลี่ยนชื่อให้นำเอกสารมาด้วยนะครับ)
3. I-20 จากทางมหาลัย
4. ใบเสร็จค่าธรรมเนียม SEVIS
5. แบบฟอร์ม DS-160 (ขั้นตอนการกรอกอยู่ในกระทู้ด้านบน)
6. รูปถ่าย 2*2 นิ้ว แจ้งที่ร้านถ่ายรูปเลยครับ ว่าจะนำรูปไปใช้ในการสัมภาษณ์
- ขอให้ทางร้านส่งทางอีเมลล์ด้วยนะครับ เพราะต้องนำไปอัพโหลดตอนจะกรอก DS-160
7. Statement ย้อนหลัง 6 เดือน บัญชื่อชื่อแม่ - ออกโดยธนาคาร (ย้ำอีกรอบว่าผมให้แม่เป็นสปอนเซอร์ครับ)
Certificate of Finance (หรือ Bank Guarantee ว่าเรามี ทรัพย์สินที่จะใช้สปอนเซอร์ตัวเราว่ามีเท่าไหร่ ออกโดยธนาคาร)
Statement of Financial Sponsorship (ใบแจ้งที่บอกว่าใครจะเป็นคนสปอนเซอร์เรา ปริ๊นจากเว็บมหาลัย)
8. สำเนาบัตร และทะเบียนบ้านของแม่
9. ทะเบียนการค้าตัวจริง - ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัวครับ
10. ใบนัดสัมภาษณ์ ที่จะระบุ วัน และ เวลาที่เราเลือกไว้
11. ใบรับรองการทำงาน (Certificate of employment) ที่ผมได้มาระบุแค่ชื่อตำแหน่ง เงินเดือน และวันที่เริ่มทำงาน
12. ใบรับรองจากมหาลัยว่าเราจบหลักสูตรอะไร คณะอะไร
13. Transcript จากมหาลัย <<< เพราะ Transcript นี่แล่ะ ทำให้เกิดการสัมภาษณ์รอบที่สอง
พอถึงวันสัมภาษณ์จริง ผมก็สรุปหลักการที่ผมเรียนรู้มาจากกระทู้ก่อนๆ ที่รีวิวการสัมภาษณ์วีซ่าไว้ดังนี้
1. ผมต้องตอบตามความเป็นจริง ตามที่ได้ระบุใน DS-160
(ตัวอย่างเช่น มี Specific Plan จะไปตอนไหน กลับตอนไหน ไปนานมั้ย พักกับใคร ทำไมต้องไปประเทศนี้ ฯลฯ)
ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้กงสุลได้เห็นว่า เราไปแล้วจะกลับมา
2. คำตอบของผมต้องสอดคล้องกับ DS-160 ในกรณีของผมคือ ต้องการพัฒนาภาษาอังกฤษ
เพื่อใช้ในสายงาน (ร้อยละ 90 ของสายงานผมต้องติดต่อกับคนต่างชาติครับ)
3. จำนวนเงินต้องสอดคล้องกับช่วงระยะเวลาที่ไป หรือให้กงสุลมั่นใจว่า ไปแล้วเอาชีวิตรอดได้
4. ถามแค่ไหน ตอบแค่นั้น อย่าเยอะ
5. คาดหวัง 100% ก็ผิดหวัง 100% ครับ ไม่ต้องคาดหวังเยอะ ไม่ผ่านก็ไปเรียนที่อื่นแทนสิ
เอาละครับพอถึงวันจริง (ตอนนั้นภาพในหัวผม การสัมภาษณ์วีซ่าคือการ นั่งคุยกันตัวต่อตัว เช็คเอกสารทุกอย่าง ถามละเอียดยิบ)
แต่สำหรับคนที่เคยไปสัมภาษณ์แล้ว จะรู้เลยว่าผมคิดผิด
**สัมภาษณ์ครั้งแรก**
โอเคพอถึงวันก็ลุยเลย ลง BTS สถานี เพลินจิต จากนั้นต่อ พี่วิน 20 บาทไปลงสถานทูต
1. ด่านเช็คเอกสาร เช็คชื่อ ตรงนี้ก็เรียงคิว ต่อแถวเข้าไปด้านในสถานทูต สแกนร่างกาย และก็ฝากของครับ
ขั้นตอนนี้ก็ทั่วไป ตามระเบียบการของสถานที่อยู่แล้ว เพื่อรักษาความปลอดภัยครับ
2. พอเสร็จแล้วก็เข้าไปข้างใน นั่งรอด้านหน้าห้องกงสุล จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเรียก เพื่อเช็คเอกสารเบื้องต้นก่อน
(ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะสอบถามว่าเคยมีวีซ่ามาก่อนมั้ย หรือเคยมีวีซ่าที่หมดอายุหรือเปล่า)
จากนั้นเข้าห้องสัมภาษณ์ครับ
- ด่านเจ้าหน้าที่คนไทย
จนท : สวัสดีค่ะ
- สวัสดีครับ
จนท : ไปทำอะไรที่อเมริกาคะ ?
- ไปเรียนภาษาอังกฤษครับ
จนท : ไปกี่เดือนคะ ?
- XX เดือนครับ
จนท : มีญาติหรือครอบครัวอยู่ที่นั่นมั้ยคะ ?
- ไม่มีครับ มีแต่เพื่อน
จนท : ขอดูทรานสคริปต์ค่ะ
- ผมไม่ได้เอามาครับ มีแค่ใบจบ จะเป็นไรมั้ยครับ (รอบแรกผมพลาดจริงๆครับ ไม่เอา Transcript ไป)
จนท : อืมมมมมมมมมมมมม ไม่เป็นไรค่ะ เชิญเข้าคิวสัมภาษณ์กับกงสุลค่ะ (พร้อมคืนเอกสาร)
- ครับ .... (ซวยแล้วกุ ลางสังหรณ์เริ่มไม่ดีละ)
- ด่านกงสุล
ณ จุดนี้ผมเจอเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติที่เป็นผู้หญิง ผิวสี นะครับ
(แน่นอนครับว่าต้องสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษครับ ณ ส่วนนี้ ส่วนตัวผมคิดว่า ในเมื่อเราจะไปเรียนต่อที่ประเทศเค้า เราก็ต้องสื่อสารภาษาบ้านเค้าได้บ้าง)
กงสุล : ไปทำอะไรที่ USA
- ไปเรียนภาษาอังกฤษครับ
กงสุล : ไปนานแค่ไหน
- ไปเรียน XX เดือนครับ (ตอบตามข้อมูลที่กรอกไว้ใน DS-160 ครับ)
จุดนี้ผมระบุ Specific Plan ไว้เรียบร้อยครับ ว่าไปตอนไหน กลับตอนไหน
กงสุล : สาเหตุที่ไปเรียน
- ตามหน้าที่การงาน คือผมเป็น XXX ของบริษัทเอกชนแห่งนึง และส่วนใหญ่ 90 % ของลูกค้าคือ ชาวต่างประเทศ
และมันส่งผลโดยตรงต่อ Performance ของผมในตำแหน่งนี้ (เหมือนเดิมครับ ตอบตามความจริง)
กงสุล : ใครเป็นคนสนับสุนค่าใช้จ่าย
- My mother
กงสุล : ขอดู Transcript และ Financial Document
- ผมสะดุดตรงนี้เลยครับ เพราะ ไม่ได้เอา Transcript มา ผมเอามาแค่ใบจบที่บอกว่าเราจบหลักสูตรอะไร จากมหาลัยไหนมา
แล้วก็แจ้ง กลสุล ไปตามตรงว่า ไม่ได้เอามา
เท่านั้นแล่ะครับ วีซ่าไม่ผ่าน !!!!! เดินคอตกออกมาจากสถานทูต พร้อมกับกระดาษใบเล็กๆ - SECTION 214(B)
(มาพลาดเพราะไม่เอา Transcript มา มันน่าเขกหัวตัวเองจริงๆ)
ภาพกระดาษที่ผมได้มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นผมก็เฟลอยู่ช่วงนึง และก็ นัดสัมภาษณ์ใหม่อีกรอบครับ - อ้อ ค่านัดสัมภาษณ์ครั้งละ ห้าพันกว่าบาทนะครับ
และที่สำคัญเลย *** ผมกรอกใน DS-160 รอบที่สองด้วยว่า โดนปฏิเสธการขอ Visa ครั้งแรกครับ
ผมระบุในช่องไปเลยว่าไม่ผ่านเพราะ ไม่เอา Transcript มา (ตอบตามความจริงครับ ตามหลักที่ผมเชื่อไว้ด้านบน)
**สัมภาษณ์รอบสอง
ก็เหมือนเดิมทุกอย่างครับ ตามขั้นตอน เตรียมเอกสาร นัดสัมภาษณ์
สำหรับการณ์สัมภาษณ์ Visa F1 รอบที่สอง ที่ยังไม่ถึงเวลาเรียน ก็ใช้ เลข SEVIS ตัวเดิมได้ครับ
- ด่านเจ้าหน้าที่คนไทย
จนท : สวัสดีค่ะ
- สวัสดีครับ
จนท : ไปทำอะไรที่อเมริกาคะ ?
- ไปเรียนภาษาอังกฤษครับ
จนท : ไปกี่เดือนคะ ?
- XX เดือนครับ
จนท : มีญาติหรือครอบครัวอยู่ที่นั่นมั้ยคะ ?
- ไม่มีครับ มีแต่เพื่อน
จนท : พิมนั่นพิมพ์นี่ แล้วก็ดูในจอคอม (ผมเชื่อว่า ข้อมูลของเราในรอบแรกยังอยู่ในระบบครับ รวมทั้งคำตอบที่เราเคยตอบ)
- ใจคอไม่ดีละ ผมเลยบอกไปเลยว่า พี่ครับ ผมเคยมาสัมภาษณ์แล้วครับ ครั้งนึง
จนท : ครั้งที่แล้วมาสัมภาษณ์ตอนไหนคะ
- เดือนที่แล้วครับ ช่วงวันที่ XXX - ผมก็จำได้แค่คร่าวๆ
จนท : รอบนี้เอา Transcript มามั้ยคะ
- เอามาสิครับ !!! (ณ จุดนี้ผมมั่นใจเลยว่า เค้าดูจาก DS-160 ที่เรากรอกเป็นหลักครับ ซึ่งผมก็กรอกคำตอบที่เหมือนกับรอบที่แล้วครับ)
จนท : คนที่สัมภาษณ์เรา ครั้งที่แล้ววันนี้เค้ามาหรือเปล่า อยู่ช่องไหน ?
- ก็มองดูครับ ก็เจอเจ้าหน้าที่ ผู้หญิง ผิวสี อยู่ เลยบอก จนท ว่า อยู่ครับ อยู่ช่อง 9 ครับ
จนท : ถ้าคิวว่างต้องเจอ กงสุล คนเดิม ให้บอก คนที่อยู่ด้านหลัง เดินเข้าไปก่อนนะคะ เชิญต่อคิวเลยค่ะ
- ครับ
จากนั้นผมก็เข้าแถวรอ สัมภาษณ์กับกงสุลครับ ก็ได้บอกกับคนด้านหลังว่าถ้าเจอเจ้าหน้าที่(คนเดิมที่สัมภาษณ์ผมรอบแรก)ว่าง ให้พี่ที่อยู่ด้านหลังเข้าไปก่อน - ซึ่งผมต้องเจอเขาจริงๆ !!!! แต่ก่อนหน้านั้นได้คุยกับพี่ที่อยู่ด้านหลังไว้แล้วครับ พี่เขาก็เข้าใจ (ขอขอบคุณพี่คนนั้นอีกครั้งมากนะครับที่เข้าใจ พี่เขา เป็นทอม ตัวเล็กๆ ขาว ๆ ฟันแหลมๆ รู้สึกจะมาขอ Visa ไปเที่ยวครับ ถ้าผมเดาไม่ผิดนะ
ยังไงก็ขอ ขอบคุณอีกครั้งผ่านกระทู้นี้ครับพี่ ที่เข้าใจกันครับ ขอบคุณจริงๆครับ)
จากนั้นก็ได้เข้าคิวสัมภาษณ์ครับ - เจอกงสุลผู้ชายที่เป็นคน Asia นะครับ ผมไม่แน่ใจว่า เป็นคนเกาหลี หรือ จีน ครับ
ผมก็ตอบทุกอย่าง เหมือนที่เคยตอบไปรอบแรกเลยครับ
กงสุล : ไปทำอะไรที่ USA
- ไปเรียนภาษาอังกฤษครับ
กงสุล : ไปนานแค่ไหน
- ไปเรียน XX เดือนครับ (ตอบตามข้อมูลที่กรอกไว้ใน DS-160 ครับ)
จุดนี้ผมระบุ Specific Plan ไว้เรียบร้อยครับ ว่าไปตอนไหน กลับตอนไหน
กงสุล : สาเหตุที่ไปเรียน
- ตามหน้าที่การงาน คือผมเป็น XXX ของบริษัทเอกชนแห่งนึง และส่วนใหญ่ 90 % ของลูกค้าคือ ชาวต่างประเทศ
และมันส่งผลโดยตรงต่อ Performance ของผมในตำแหน่งนี้ (เหมือนเดิมครับ ตอบตามความจริง)
กงสุล : ใครเป็นคนสนับสุนค่าใช้จ่าย
- My mother (ตอบเหมือนเดิมครับ)
กงสุล : ขอดู Transcript และ Financial Document
- ยื่นให้อย่างไวเลยครับ !!!!
กงสุล : คุณมีครอบครัว หรือคนรู้จักที่นั่นมั้ย
- ไม่มีครับ ผมมีแค่เพื่อนที่อยู่ที่นั่น
กงสุล : พูดเร็วๆ เกี่ยวกับเรื่องงานครับ ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับอาชีพก่อนหน้า ซึ่งผมไม่ได้กรอก (ก็ผมพึ่งทำงานที่นี่ที่แรก)
- ผมพึ่งเรียนจบปริญญาตรี เมื่อปีที่แล้วครับ และนี่ก็เป็นงานแรกของผม เลยไม่ได้กรอก อาชีพก่อนหน้านี้ครับ
กงสุล : เงียบ แล้วก็พิมพ์ๆๆๆๆ นานมากครับ นานมาก
- คุณต้องการเอกสารอะไรเพิ่มเติมไหม ผมมี ใบรับรองการทำงานมาด้วยนะครับ (ยื่นให้ด้วยนะ)
กงสุง : No, I have everything I need
- ผมได้แค่เงียบและก็รอครับ
เป็นเวลานานมากในการรอ, เตรียมเอกสารมาหลายเดือน สุดท้าย ....
VISA F1 ผ่านครับ !!!!!!!!!! ดีใจมากๆ
ท่านกงสุลก็เก็บ Passport ไป จากนั้นผมก็รอครับ
สุดท้ายได้ Visa F1 มา 5 ปีครับ
ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านครับ ผมหวังว่า กระทู้ของผมจะทำให้คนที่สนใจจะสัมภาษณ์ VISA อเมริกา
ได้ข้อมูล และความรู้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ
เพราะผมเองก็ ผ่าน VISA ได้เพราะผมอ่าน จากกระทู้ก่อนๆ เกี่ยวกับ VISA ที่หลายๆคนได้เขียนไว้ครับ
ขอขอบคุณ จขกท ทุกท่าน อีกครั้ง สำหรับข้อมูลทุกอย่าง ที่ทำให้ผมมีวันนี้ครับ
ผมขอให้ คนที่มีความประสงค์ที่ีจะสัมภาษณ์ VISA อเมริกา ผ่านทุกคนนะครับบบบ