Disobedience (2018) - Sebastián Lelio
Cast : Rachel Weisz, Rachel McAdams, Alessandro Nivola
"I want you to give me my freedom."
.
หลังจากทิ้งชีวิตวัยเด็กที่ผ่านมาจนเติบใหญ่อยู่ใจกลางเมืองหลวงอย่างนิวยอร์ก Ronit (Rachel Weisz) ก็ได้รับข่าวร้ายถึงการจากไปของพ่อเธอ (Anton Lesser) หรือที่หลายคนรู้จักกันในนามของสาธุคุณ Rav ผู้เป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชนที่ถูกตีกรอบไปด้วยแนวคิดทางศาสนายิวนิกายออร์โธดอกซ์อย่างเคร่งครัด ร้อนให้เธอต้องตีตั๋วกลับบ้านเกิดที่ลอนดอนเพื่อมาร่ำลาพ่อผู้ให้กำเนิดเป็นครั้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนการกลับมาของเธอนั้นจะไปย้ำเตือนความทรงจำเก่าๆในวัยเด็กที่เคยมีร่วมกันกับเพื่อนรักที่เป็นมากกว่าเพื่อนอย่าง Esti (Rachel McAdams) ที่ตอนนี้ได้แต่งงานมีสามีตามที่สังคมคาดหวังเอาไว้แล้ว
.
แน่นอนว่าความรักสำหรับเพศเดียวกันมักถูกปรามาสว่าขัดต่อหลักคำสอนทางศาสนาอยู่เสมอ เมื่อความเชื่อบางอย่างยังคงฝังรากลึกลงไปในทัศนคติของผู้คน กับการที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาในรูปแบบของชายและหญิงเพียงเท่านั้น จึงไม่แปลกที่การกลับมาเพียงเพื่อจะร่ำลา 'พ่อ' ของ Ronit ดูจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีสมเกียรติลูกสาวเสียเท่าไหร่เมื่อฐานะของคนเป็นพ่อที่ว่าก็คือ 'สาธุคุณ' ผู้เป็นดั่งตัวแทนของศาสนาที่ย้อนแย้งต่อรสนิยมส่วนตัวของลูกสาวเขาเหลือเกิน รวมไปถึงเรื่องราวความรักในวัยเด็กของสองสาวอย่าง Esti และ Ronit ที่คนรอบข้างหวั่นเกรงจะปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวนั้นเป็นสาวโสดที่ยังไม่แต่งงานตามแบบแผนของสังคม
.
การดำเนินเรื่องอาจจะดูหม่นทึบเกือบตลอดเวลาเนื่องด้วยโทนสีที่อึมครึม บรรยากาศอันหนาวเหน็บ และสังคมที่เคร่งครัด ยิ่งทำให้เรารู้สึกอึดอัดที่ได้เฝ้ามองตัวละครอาศัยอยู่ในสังคมเช่นนี้ แต่หนังก็ได้ผ่อนคลายอารมณ์เราด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเคมีของ 2 Rachel ที่เป็นเหมือน comfort zone เดียวท่ามกลางความหม่นหมองของหนังทั้งเรื่อง อย่างไรก็ตาม แม้หนังจะนำเสนอประเด็นความรักของเพศเดียวกันท่ามกลางสังคมที่ปิดกั้น แต่แก่นแท้ของมันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการถูกกดทับในเรื่องเพศเพียงอย่างเดียว หากแต่มันได้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่ามนุษย์นั้นสูญเสีย 'อิสระ' ที่แท้จริงในการใช้ชีวิตไปเนื่องจากถูกพันธนาการด้วยทัศนคติและความเชื่อที่สังคมตีกรอบไว้ เห็นได้จากการที่ตัวละคร Esti จำต้องแต่งงานกับเพื่อนชายคนสนิทอย่าง Dovid (Alessandro Nivola) เพียงเพราะสังคมบีบคั้นให้ทำ และการทิ้งบ้านเกิดไปต่างแดนของ Ronit ที่ชี้ชัดให้เห็นว่าสังคมที่ตีบตันและฝังรากด้วยความเชื่อเก่าแก่นั้นยากเกินกว่าที่พวกเธอจะพบเจอ 'อิสระ' ที่แท้จริงได้
.
ซึ่งบทสรุปของเรื่องที่ย้อนถึงการจากไปของสาธุคุณ Rav ก็ทำให้เราตีความได้ว่าบางความเชื่ออาจถูกขุดหลุมฝังให้ 'ตาย' จากไปเหมือนชีวิตของใครคนหนึ่ง และอาจนำมาซึ่งความหวังใหม่ที่จะ 'เกิดขึ้น' ได้ในสักวัน ดังนั้นเราคงบอกไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้มีบทสรุปที่เศร้าหรือสมหวังหากมองในมุมของความสัมพันธ์ของคนสองคน แต่หากพูดถึง 'อิสระ' ที่ตัวละครโหยหามาตลอด เราเชื่อว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบที่งดงามและหวานปนขมไม่น้อยเลยทีเดียว
#Disobedience
ภวังค์หนัง
https://www.facebook.com/iLostinfilms/
[CR] [Review] Disobedience (2018) - อิสระที่แท้จริงถูกพันธนาการด้วยศรัทธา
Cast : Rachel Weisz, Rachel McAdams, Alessandro Nivola
"I want you to give me my freedom."
.
หลังจากทิ้งชีวิตวัยเด็กที่ผ่านมาจนเติบใหญ่อยู่ใจกลางเมืองหลวงอย่างนิวยอร์ก Ronit (Rachel Weisz) ก็ได้รับข่าวร้ายถึงการจากไปของพ่อเธอ (Anton Lesser) หรือที่หลายคนรู้จักกันในนามของสาธุคุณ Rav ผู้เป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชนที่ถูกตีกรอบไปด้วยแนวคิดทางศาสนายิวนิกายออร์โธดอกซ์อย่างเคร่งครัด ร้อนให้เธอต้องตีตั๋วกลับบ้านเกิดที่ลอนดอนเพื่อมาร่ำลาพ่อผู้ให้กำเนิดเป็นครั้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนการกลับมาของเธอนั้นจะไปย้ำเตือนความทรงจำเก่าๆในวัยเด็กที่เคยมีร่วมกันกับเพื่อนรักที่เป็นมากกว่าเพื่อนอย่าง Esti (Rachel McAdams) ที่ตอนนี้ได้แต่งงานมีสามีตามที่สังคมคาดหวังเอาไว้แล้ว
.
แน่นอนว่าความรักสำหรับเพศเดียวกันมักถูกปรามาสว่าขัดต่อหลักคำสอนทางศาสนาอยู่เสมอ เมื่อความเชื่อบางอย่างยังคงฝังรากลึกลงไปในทัศนคติของผู้คน กับการที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาในรูปแบบของชายและหญิงเพียงเท่านั้น จึงไม่แปลกที่การกลับมาเพียงเพื่อจะร่ำลา 'พ่อ' ของ Ronit ดูจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีสมเกียรติลูกสาวเสียเท่าไหร่เมื่อฐานะของคนเป็นพ่อที่ว่าก็คือ 'สาธุคุณ' ผู้เป็นดั่งตัวแทนของศาสนาที่ย้อนแย้งต่อรสนิยมส่วนตัวของลูกสาวเขาเหลือเกิน รวมไปถึงเรื่องราวความรักในวัยเด็กของสองสาวอย่าง Esti และ Ronit ที่คนรอบข้างหวั่นเกรงจะปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวนั้นเป็นสาวโสดที่ยังไม่แต่งงานตามแบบแผนของสังคม
.
การดำเนินเรื่องอาจจะดูหม่นทึบเกือบตลอดเวลาเนื่องด้วยโทนสีที่อึมครึม บรรยากาศอันหนาวเหน็บ และสังคมที่เคร่งครัด ยิ่งทำให้เรารู้สึกอึดอัดที่ได้เฝ้ามองตัวละครอาศัยอยู่ในสังคมเช่นนี้ แต่หนังก็ได้ผ่อนคลายอารมณ์เราด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเคมีของ 2 Rachel ที่เป็นเหมือน comfort zone เดียวท่ามกลางความหม่นหมองของหนังทั้งเรื่อง อย่างไรก็ตาม แม้หนังจะนำเสนอประเด็นความรักของเพศเดียวกันท่ามกลางสังคมที่ปิดกั้น แต่แก่นแท้ของมันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการถูกกดทับในเรื่องเพศเพียงอย่างเดียว หากแต่มันได้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่ามนุษย์นั้นสูญเสีย 'อิสระ' ที่แท้จริงในการใช้ชีวิตไปเนื่องจากถูกพันธนาการด้วยทัศนคติและความเชื่อที่สังคมตีกรอบไว้ เห็นได้จากการที่ตัวละคร Esti จำต้องแต่งงานกับเพื่อนชายคนสนิทอย่าง Dovid (Alessandro Nivola) เพียงเพราะสังคมบีบคั้นให้ทำ และการทิ้งบ้านเกิดไปต่างแดนของ Ronit ที่ชี้ชัดให้เห็นว่าสังคมที่ตีบตันและฝังรากด้วยความเชื่อเก่าแก่นั้นยากเกินกว่าที่พวกเธอจะพบเจอ 'อิสระ' ที่แท้จริงได้
.
ซึ่งบทสรุปของเรื่องที่ย้อนถึงการจากไปของสาธุคุณ Rav ก็ทำให้เราตีความได้ว่าบางความเชื่ออาจถูกขุดหลุมฝังให้ 'ตาย' จากไปเหมือนชีวิตของใครคนหนึ่ง และอาจนำมาซึ่งความหวังใหม่ที่จะ 'เกิดขึ้น' ได้ในสักวัน ดังนั้นเราคงบอกไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้มีบทสรุปที่เศร้าหรือสมหวังหากมองในมุมของความสัมพันธ์ของคนสองคน แต่หากพูดถึง 'อิสระ' ที่ตัวละครโหยหามาตลอด เราเชื่อว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบที่งดงามและหวานปนขมไม่น้อยเลยทีเดียว
#Disobedience
ภวังค์หนัง https://www.facebook.com/iLostinfilms/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้