เมื่อวานติดไว้ วันนี้มาแล้วครับตามที่สมาชิกมะม่วงจำบ่มยกมากล่าวอ้าง แต่ก็ไม่ยอมอธิบายเหตุผลว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงตรัสอย่างนั้น
วันนี้ก็ขอยกมาทั้งหมดก็แล้วกันจะได้พิจารณาพร้อมๆกันอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามนั้น..
.....ครั้งนั้น วัจฉโคตรปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ
พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ท่านพระโคดม อัตตามีอยู่หรือ”
เมื่อวัจฉโคตรปริพาชกทูลถามอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ วัจฉโคตรปริพาชกจึงทูลถามอีกว่า
“ท่านพระโคดม อัตตาไม่มีหรือ”
แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงนิ่งอยู่ ลำดับนั้น วัจฉโคตรปริพาชก
จึงลุกจากที่นั่งแล้วจากไป
ครั้นเมื่อวัจฉโคตรปริพาชกจากไปไม่นาน ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์ถูกวัจฉโคตรปริพาชกทูลถามปัญหาแล้วจึงไม่ทรงพยากรณ์”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ เราถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า
‘อัตตามีอยู่หรือ’ ถ้าตอบว่า ‘อัตตามีอยู่’ คำตอบนั้นก็จักไปตรงกับลัทธิของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง)
และเราถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า ‘อัตตาไม่มีหรือ’ ถ้าตอบว่า ‘อัตตาไม่มี’ คำตอบนั้นก็จักไปตรงกับลัทธิ
ของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ)
อนึ่ง เราถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า ‘อัตตามีอยู่หรือ’ ถ้าตอบว่า ‘อัตตามีอยู่’
คำตอบนั้นก็จักอนุโลมแก่ความเกิดขึ้นแห่งญาณของเราว่า ‘ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา’ บ้างหรือ”
“ไม่อนุโลม พระพุทธเจ้าข้า”
“อานนท์ อนึ่ง เราถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า ‘อัตตาไม่มีหรือ’ ถ้าตอบว่า
‘อัตตาไม่มี’ คำตอบนั้นก็จักมีเพื่อความงมงายยิ่งขึ้นแก่วัจฉโคตรปริพาชกผู้งมงาย
อยู่แล้วว่า ‘เมื่อก่อนอัตตาของเราได้มีแล้วแน่นอน บัดนี้อัตตานั้นไม่มี”
..................................................................................................................................
ความจริงมันก็ไม่มีอะไรมาก เข้าใจได้ก็ไม่ยากเมื่ออ่านและพิจารณาตามแล้ว
....ประเด็นแรกที่สังเกตุได้ คือ พระพุทธเจ้าไม่ยอมตอบถึง 2 ครั้ง
....ประเด็นที่ 2 พระพุทธเจ้าทราบแล้วว่าวัจฉโคตรปริพาชกเป็นคนหัวแข็ง โง่ งมงาย คอยจับผิด
....ประเด็นที่ 3 ถ้าตอบว่า อัตตามี คำตอบนั้นก็จักไปตรงกับลัทธิของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นสัสสตทิฏฐิ (พระพุทธเจ้าต้องโดนตำหริ)
....ประเด็นที่ 4 ถ้าตอบว่า อัตตาไม่มี คำตอบนั้นก็จักไปตรงกับลัทธิของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นอุจเฉททิฏฐิ (พระพุทธเจ้าก็โดนตำหนิอีก)
....ประเด็นที่ 5 ถ้าตอบไปจริงๆว่า อัตตามีอยู่ คำตอบนั้นก็จักอนุโลมแก่ความเกิดขึ้นแห่งญาณของเราว่า ‘ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา’ บ้างหรือ”
พระอานนท์ตอบว่า
“ไม่อนุโลม พระพุทธเจ้าข้า”
อันนี้หมายความว่า วัจฉโคตรปริพาชกคงไม่ยอมรับแน่ว่าอัตตามี เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
และเพราะวัจฉโคตรปริพาชกเป็นคนงมงายคิดแบบเหมารวมไม่รู้จักแยะแยะว่าอะไรเป็นอะไร
ทั้งที่ความเป็นจริงมันมีธรรมทั้งที่เป็นอัตตา และอนัตตา
สรูป...
ถ้าทั้งหมดทั้งปวงมันนมีแต่สิ่งที่เป็นอนัตตาอย่างเดียว พระสูตรนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่แท้..
หวังว่าคงจะเกิดประโยชน์จากการอ่านบ้างไม่มากก็น้อย และต้องขออภัยในบางลีลา
การตีความพระสูตรในเรื่องว่าอัตตามี หรือไม่มี
วันนี้ก็ขอยกมาทั้งหมดก็แล้วกันจะได้พิจารณาพร้อมๆกันอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามนั้น..
.....ครั้งนั้น วัจฉโคตรปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ
พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ท่านพระโคดม อัตตามีอยู่หรือ”
เมื่อวัจฉโคตรปริพาชกทูลถามอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ วัจฉโคตรปริพาชกจึงทูลถามอีกว่า
“ท่านพระโคดม อัตตาไม่มีหรือ”
แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงนิ่งอยู่ ลำดับนั้น วัจฉโคตรปริพาชก
จึงลุกจากที่นั่งแล้วจากไป
ครั้นเมื่อวัจฉโคตรปริพาชกจากไปไม่นาน ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์ถูกวัจฉโคตรปริพาชกทูลถามปัญหาแล้วจึงไม่ทรงพยากรณ์”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ เราถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า
‘อัตตามีอยู่หรือ’ ถ้าตอบว่า ‘อัตตามีอยู่’ คำตอบนั้นก็จักไปตรงกับลัทธิของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง)
และเราถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า ‘อัตตาไม่มีหรือ’ ถ้าตอบว่า ‘อัตตาไม่มี’ คำตอบนั้นก็จักไปตรงกับลัทธิ
ของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ)
อนึ่ง เราถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า ‘อัตตามีอยู่หรือ’ ถ้าตอบว่า ‘อัตตามีอยู่’
คำตอบนั้นก็จักอนุโลมแก่ความเกิดขึ้นแห่งญาณของเราว่า ‘ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา’ บ้างหรือ”
“ไม่อนุโลม พระพุทธเจ้าข้า”
“อานนท์ อนึ่ง เราถูกวัจฉโคตรปริพาชกถามว่า ‘อัตตาไม่มีหรือ’ ถ้าตอบว่า
‘อัตตาไม่มี’ คำตอบนั้นก็จักมีเพื่อความงมงายยิ่งขึ้นแก่วัจฉโคตรปริพาชกผู้งมงาย
อยู่แล้วว่า ‘เมื่อก่อนอัตตาของเราได้มีแล้วแน่นอน บัดนี้อัตตานั้นไม่มี”
..................................................................................................................................
ความจริงมันก็ไม่มีอะไรมาก เข้าใจได้ก็ไม่ยากเมื่ออ่านและพิจารณาตามแล้ว
....ประเด็นแรกที่สังเกตุได้ คือ พระพุทธเจ้าไม่ยอมตอบถึง 2 ครั้ง
....ประเด็นที่ 2 พระพุทธเจ้าทราบแล้วว่าวัจฉโคตรปริพาชกเป็นคนหัวแข็ง โง่ งมงาย คอยจับผิด
....ประเด็นที่ 3 ถ้าตอบว่า อัตตามี คำตอบนั้นก็จักไปตรงกับลัทธิของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นสัสสตทิฏฐิ (พระพุทธเจ้าต้องโดนตำหริ)
....ประเด็นที่ 4 ถ้าตอบว่า อัตตาไม่มี คำตอบนั้นก็จักไปตรงกับลัทธิของพวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นอุจเฉททิฏฐิ (พระพุทธเจ้าก็โดนตำหนิอีก)
....ประเด็นที่ 5 ถ้าตอบไปจริงๆว่า อัตตามีอยู่ คำตอบนั้นก็จักอนุโลมแก่ความเกิดขึ้นแห่งญาณของเราว่า ‘ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา’ บ้างหรือ”
พระอานนท์ตอบว่า
“ไม่อนุโลม พระพุทธเจ้าข้า”
อันนี้หมายความว่า วัจฉโคตรปริพาชกคงไม่ยอมรับแน่ว่าอัตตามี เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
และเพราะวัจฉโคตรปริพาชกเป็นคนงมงายคิดแบบเหมารวมไม่รู้จักแยะแยะว่าอะไรเป็นอะไร
ทั้งที่ความเป็นจริงมันมีธรรมทั้งที่เป็นอัตตา และอนัตตา
สรูป...
ถ้าทั้งหมดทั้งปวงมันนมีแต่สิ่งที่เป็นอนัตตาอย่างเดียว พระสูตรนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่แท้..
หวังว่าคงจะเกิดประโยชน์จากการอ่านบ้างไม่มากก็น้อย และต้องขออภัยในบางลีลา