การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 5

การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 1 https://ppantip.com/topic/37061562
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 2 (part 1) https://ppantip.com/topic/37062561
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 2 (part 2) https://ppantip.com/topic/37066188
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 1) https://ppantip.com/topic/37106353
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 2) https://ppantip.com/topic/37400761
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 3) https://ppantip.com/topic/37418945
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 4 , จบตอนที่ 3) https://ppantip.com/topic/37487076
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 4 https://ppantip.com/topic/37762775

การเดินทางของความรู้สึก


ตอนที่ 5




14 พฤศจิกายน 2005, 10.06 น.
    
          หลังจากค่ำคืนที่ผ่านไปด้วยการหลับอย่างยาวนานโดยไม่ได้ตั้งใจ ในยามสายของวันนี้ ธเนศฟื้นขึ้นมาจากฤทธิ์ของยาสลบ เขาขยับตัวลำบากเพราะอาการบาดเจ็บตรงกลางหลัง แขนและขาซึ่งมีรอยแผลถลอกถูปิดด้วยพลาสเตอร์ เขาลืมตาโพลง กวาดสายตามองรอบ ธเนศไม่ได้อยู่บนเตียงในโรงพยาบาล โคมไฟสีเหลืองอมส้มกลางบ้าน กลิ่นของเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้โอ๊คโชยแตะจมูก มีอุปกรณ์ต่าง ๆ รายล้อมกับเปียโนหลังใหญ่กลางห้อง บ่งชี้ว่านี่คือห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขก เขากำลังอาศัยอยู่ในบ้านของใครสักคนหนึ่ง
    
          หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกายธเนศ เธอสวมชุดกระโปรงสีดำลายจุดสีแดง การแต่งกายเช่นนี้คล้ายกับหญิงสาวในยุคเจ็ดศูนย์ ธเนศแว่วเสียงดนตรี เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยดี เพราะนั่นเป็นเพลง “I love you for sentimental reasons” ของแนท คิง โคล เขาจำได้ว่านี่คือหนึ่งในเพลงโปรดของพ่อ เมื่อตอนที่เขายังเด็ก พ่อมักเปิดแผ่นเสียงของศิลปินในยุคหกศูนย์เสมอ
    
          แต่นั่นไม่ใช่เวลาเพลิดเพลินหรือย้อนวันวาน ทันทีที่เขาเหลือบเห็นเธอซึ่งถักโครเชต์ผ้าพันคออยู่ข้าง ๆ เขา ธเนศสะดุ้งโหยง แม้ว่าร่างกายของเขาจะชอกช้ำขนาดไหน
    
          “คุณเป็นใคร” ธเนศถามด้วยถ้อยคำฟังชัด ปนความหวาดกลัว
    
          “โอ้” เธอมองเห็นเขาซึ่งนั่งหลังพิงหัวเตียงพร้อมกับวางโครเชต์ลงกับเก้าอี้ข้างกาย “คุณฟื้นแล้วสิ”
    
          “อย่า อย่าเข้ามาใกล้ผม”
    
          “ฉันช่วยคุณไว้เมื่อคืน”
    
          “ห๊ะ” ธเนศอุทานด้วยความงุนงง
    
          “คุณสลบไปเมื่อคืน ฉันช่วยเหลือคุณจากไอนั่น” เมื่อเธอพูดจบ
    
          “บ้าน่ะ” ธเนศอุทานอีกครั้ง สายตาของเขาสอดส่องไปรอบบ้าน มองออกไปยังนอกหน้าต่าง เขาจดจำได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ฆาตกรผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคน
    
          “มันอยู่ไหน คุณรู้หรือเปล่า”
    
          “ฉันไม่รู้หรอก” เธอว่า “หลังจากที่ฉันเอาไม้ท่อนใหญ่ ตีไปที่ท้ายทอย มันก็สลบ ฉันเลยพยุงตัวของคุณมา โบกแท็กซี่มาที่บ้านนี้”
    
          “คุณกำลังเดือดร้อน” ธเนศรีบฉุดตัวเองจากที่นอน “กระเป๋าของผมอยู่ไหน ผมต้องรีบไปจากนี่”
    
          “อ๊ะ” เธอยืนขึ้นทักท้วง “คุณยังไม่หายดีเลยนะ”
    
          “ผมอยากถามคุณสักข้อ” ธเนศซึ่งกำลังลนลาน เก็บสัมภาระ “ไอบ้านั่นมันเห็นหน้าคุณหรือเปล่า”
    
          “ไม่เห็น เขาไม่เห็นหน้าฉันหรอกค่ะ ตอนที่ฉันตีไปที่ท้ายทอย เขาก็สลบลงแล้ว” ธเนศได้ฟังดังนั้นก็โล่งใจ เขาหยุดชะงักลงไปครู่ใหญ่ กระนั้นเขาก็ยังตั้งใจจะออกจากที่นี่โดยเร็ว เขาไม่อยากให้หญิงสาวต้องพลอยเดือดร้อนด้วย อันที่จริง ธเนศไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร เพราะเขาไม่อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องตกเป็นเป้าสังหารของฆาตกรรายนั้น เขาไม่รู้ว่าฆาตกรต้องการสิ่งใดจากเขา หรือจากรินะ หรือกระทั่งจากผู้คนรอบข้าง หนทางที่ดีที่สุดคือการไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้คนผู้ใด
    
          หญิงสาวจับแขนของธเนศไว้มั่น เธอร้องขอ
    
          “อยู่ต่ออีกสักวันหนึ่งได้ไหมคะ ฉันเป็นห่วงคุณ ฉันไม่รู้ว่าคุณกับเขามีปัญหาอะไรกันก่อนหน้า แต่ฉันเวทนาคุณ ในแรกเริ่มที่ฉันพบ ฉันได้ยินเสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือของคุณ คุณกำลังตกอยู่ในอันตราย”
    
          ธเนศตระหนักอย่างชัดเจนว่า เขาเองที่เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน เขาเริ่มหวั่นไหวและสำนึกบุญคุณของหญิงสาวคนนี้ยิ่งนัก หากไม่ใช่เธอซึ่งยื่นมือมาช่วยให้เขารอดพ้นจากฆาตกร ป่านนี้เขาคงเผชิญกับยมทูตเสียแล้ว เขานั่งลงบนขอบเตียงนั้นเอง ความสำนึกนั้นกลั่นออกมาเป็นน้ำตาของความขอบคุณ ธเนศนั่งลงตรงปลายเตียงนั้น เขากล่าวขอบคุณเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า หญิงสาวได้ยินดังนั้น เธอก็อดซาบซึ้งกับความรู้สึกขอบคุณนั้นไม่ได้
    
          “มันเป็นความภูมิใจของฉันครั้งหนึ่งเช่นกัน ที่ได้ช่วยเหลือชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง” หลังจากที่เธอกล่าว เสียงเพลงก็แทรกบทสนทนา แผ่นเสียงที่หมุนไปตามเข็มอ่านเปลี่ยนเป็นเพลง “L-O-V-E”
    
          “ฉันว่า เราควรจะแนะนำตัวกันหน่อย ฉันชื่อเยรินค่ะ ซอง-เย-ริน” ธเนศไม่ประหลาดใจนัก เพราะใบหน้าของเธอนั้นบ่งชี้ว่าเธอมีเชื้อสายเอเชียตะวันออก เขาแยกแยะใบหน้าระหว่างคนจีน เกาหลี และญี่ปุ่นได้ เยรินมีดวงตาที่เรียวเล็ก คล้ายกับคนจีน แต่ไม่เล็กเท่าคนจีน สีผิวนั้นขาวล่องลอยมากกว่า ริมฝีปากอวบอิ่ม ผมสีดำยาวตรง ปลายผมเป็นลอนเล็กน้อย หากพิจารนาทั้งหมด เยรินนับว่าเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์คนหนึ่ง รูปร่างของเธอสมส่วน ส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ไม่ผอมหรืออวบมากเกินไป
    
          “ครับ ผมชื่อธเนศ จิตหิรัญ” เขานั่งหลังตรง “เรียกผมสั้น ๆ ว่าธเนศก็ได้ครับ” เธอพยักหน้าสั้น ๆ
    
          “คุณควรกินข้าวเช้านะคะ วันนี้ฉันทำแซนด์วิซง่าย ๆ อยู่ในครัว หากไม่รังเกียจ” ธเนศได้รับคำเชิญ เขาไม่พูดอะไรนักนอกจากกล่าวขอบคุณ พวกเขาเดินไปที่ห้องครัว นั่งลง ธเนศมีความสุขกับการกินแซนด์วิซฝีมือของเยริน แม้จะเป็นอาหารง่าย ๆ แต่เยรินก็ตั้งใจปรุงมันเต็มที่ เธอมักทำอาหารเอง ขนมปังที่ใช้ เธอก็เป็นคนอบมันเอง เนื้อบดก็เป็นเนื้อที่เธอซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อแล้วนำมันปรุงใหม่ ธเนศสุขใจ เพราะไม่มีคนทำอาหารให้กินแบบนี้นานมากแล้ว รินะ อดีตแฟนสาวก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ทำอาหารเก่งมากนัก พวกเขามักซื้ออาหารจากข้างนอกมากินเป็นประจำ นี่จึงเป็นครั้งแรกเสียกระมังที่หลังจากแม่เสีย ธเนศก็เพิ่งมีคนทำอาหารให้กิน
    
          เยรินชงกาแฟจากเครื่องทำกาแฟ เมล็ดกาแฟที่ถูกบดและผ่านความร้อนส่งกลิ่นโชยทั่วห้องครัว เธอยื่นถ้วยกาแฟให้ธเนศ
    
          “กาแฟนี้หอมมากค่ะ” เธอว่า “ฉันไปหาซื้อมาจากตลาดในชานเมือง” ธเนศบรรจงลิ้มรสกาแฟในยามสาย เขาเห็นด้วยว่ามันหอมกรุ่น
    
          “ธเนศ คุณมาทำอะไรที่นี่หรือคะ” เธอถาม คำถามนั้นธเนศได้คิดไว้แล้วล่วงหน้า
    
          “คุณเยริน คุณอายุเท่าไหร่หรือครับ” ธเนศดูไม่สนใจคำถามของเธอ และถามเธอกลับ
    
          “อืม…”

          ”ฉันเกิดปี1982 ปีนี้ฉันอายุครบยี่สิบสามปีพอดี” เธอว่า “ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าคะ”

          “ผมอาจจะอายุมากกว่าคุณ แต่เรื่องที่ผมจะบอก มันอธิบายยากจริง ๆ” แต่เยรินซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขา เธอไม่มีปัญหาเรื่องเวลา ไม่ว่าเรื่องที่เขาจะเล่าต่อไปนี้ยาวหรือสั้นแค่ไหน

          “ฉันไม่มีภาระอยู่แล้วค่ะ พอดีเพิ่งเรียนจบ ยังหางานทำอยู่ช่วงนี้” เธออธิบาย “ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว นี่คือบ้านของฉัน พ่อกับแม่ฉันก็มักออกไปเที่ยวต่างประเทศอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ คุณจึงเห็นฉันอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว” เยรินแจกแจงเสร็จสรรพ จนธเนศไม่กล้าตั้งคำถามต่อ เพราะหากถามต่อด้วยการไถ่ถามประวัติส่วนตัว เช่น พ่อแม่คุณทำงานอะไร หรือคุณมีพี่น้องหรือเปล่า ก็ดูจะเป็นการเสียเวลาและเบี่ยงเบนประเด็นสนทนา

          “คุณอาจคิดว่าผมบ้า เพี้ยน หรือประหลาด แต่ผมย้อนเวลามาเพื่อช่วยชีวิตแฟนของผม” เยรินไม่ตอบสนองกับคำกล่าวของเขาด้วยอาการใด ๆ ตรงข้าม เธอกลับตั้งใจฟังสิ่งที่ธเนศกำลังอธิบาย

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่