การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 4

การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 1 https://ppantip.com/topic/37061562
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 2 (part 1) https://ppantip.com/topic/37062561
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 2 (part 2) https://ppantip.com/topic/37066188
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 1) https://ppantip.com/topic/37106353
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 2) https://ppantip.com/topic/37400761
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 3) https://ppantip.com/topic/37418945
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 4 , จบตอนที่ 3) https://ppantip.com/topic/37487076



การเดินทางของความรู้สึก


ตอนที่ 4






          “มีคนพยายามจะฆ่าคุณนะ”
   
          “ออกไปจากชีวิตฉันนะ” เธอจ้ำอ้าว ไม่หันกลับมาแม้เพียงมอง

          “รินะ” เขาหอบหระหาย “ผมจะรอคุณตรงนี้ทุกวัน หากคุณจำอะไรได้บ้าง”

          เขาละความพยายาม หยุดก้าวตามฝีเท้าของรินะ ในทางกลับกันธเนศเหนื่อยล้าเต็มที เพราะความอ่อนล้าหรือความสับสนในหัวของเขาเองก็ไม่ทราบ เขานั่งลงตรงบาทวิถีข้าง ๆ ตรอกเล็ก ๆ ซึ่งผู้คนบางตา อากาศหนาวเย็นจนผิวหนังของธเนศด้านชา ความล้มเหลวแม้เพียงครั้งแรกทำให้เขาหวนกลับไปคิดถึงบทสนทนาและความคาดหวังของเขาและนิรุตต์ เขาย้ำอย่างหนักแน่นว่าเขาจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ แต่มันกลับไม่เป็นดังใจหวัง เขาอับจนหนทาง ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไร ท้องฟ้าในตอนนี้ช่างดูมืดมิดอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีแม้แต่แสงจะดวงจันทร์ซึ่งส่องสว่างในค่ำคืนนี้ ธเนศสัมผัสได้ว่าเขาและโลกรอบข้างแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เหมือนว่าโลกใบนี้ค่อย ๆ กลืนเขาเหลือบหายออกจากกาลเวลา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น เขาไม่รู้แล้วว่าเวลาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใด เพราะภาพที่เขาเห็นในตอนนี้ เขากำลังอยู่บนโลกที่ย้อนเวลากลับไปเมื่อปีก่อน

          เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องเป็นวันที่ 11 พฤศจิกายน 2005 ธเนศจำไม่ได้แล้วว่าวันนี้เมื่อปีที่แล้วเขาอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไรอยู่

          “จริงสิ” เขาอุทานอะไรบางอย่าง

          “หากตัวเราย้อนเวลากลับมาในวันนี้ วันที่เราไม่ได้อยู่ที่กัมลา สตันในวันนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีตัวของเราอีกคน ซึ่งกำลังอยู่ที่ใดสักแห่ง เราควรจะออกตามหาดีไหม หรือตรงกันข้าม ตัวของเราอีกคนอาจจะไม่มีก็เป็นได้”

          เขายอมแพ้กับความคิดตัวตนอีกคนหนึ่งของเขาเอง เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง รินะจะต้องจดจำเขาได้แน่ ๆ บนโลกที่เขาย้อนเวลากลับมานั้นทุกอย่างดูเป็นปกติ ยกเว้นความทรงจำของรินะที่เลือนหายไปกับกาลเวลา หรืออาจเป็นเพราะความบกพร่องของการย้อนเวลา ดั่งเช่นที่นิรุตต์กล่าวไว้ว่า “มันเป็นภารกิจเสี่ยงเท่าที่ผมเคยพบมา” ในเมื่อทุกย่างก้าวของเขาต้องพบกับความเสี่ยง โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้น เขากลับมีกำลังใจขึ้นมาว่าปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่ออย่างไรธเนศก็รู้ว่ารินะยังคงมีชีวิตอยู่ การทำให้เธอกลับมามีความทรงจำอีกครั้ง ก็คงเป็นการแก้ปัญหาเท่าที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ หากเธอมีความทรงจำกลับมาแล้ว เธอก็จะจดจำเขาได้ นี่เองกระมังที่เครื่องย้อนเวลาตั้งใจพาตัวของเขากลับมาในวันนี้ เพราะให้เวลาเผื่อแก้ปัญหากับตัวเขาเอง

          ธเนศลากสังขารตนกลับโรงแรม เขาเหนื่อยล้าเต็มทน อย่างน้อยเรื่องของพรุ่งนี้ก็คือเรื่องของพรุ่งนี้ เขาไม่มีปัญหาในเรื่องการจองโรงแรมอยู่แล้ว เขาพกเงินเผื่อมามากพอ บางทีเขาอาจจะหาห้องเช่าอยู่เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่สต็อกโฮล์มก็เป็นได้ ในวันพรุ่งนี้ เขาคิดพลางนั่งรถแท็กซี่กลับโรงแรม เขาจะกลับมาหารินะอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงโรงแรม เขาสลบเป็นตาย นอนหลับยาวนานกว่าสิบสามชั่วโมง

13 พฤศจิกายน 2005, 20.58 น.

          กิจวัตรของธเนศเป็นเช่นเดินเสมอในอีกสองวันต่อมา เขารอเธออยู่ที่เดิมและในลักษณะคล้าย ๆ กัน จนถึงเวลาที่เขาถอดใจ สามทุ่มตรง เมื่อเห็นว่ารินะไม่มา เขาถอนตัว ผละตัวเองออกจากหน้าร้านอาหาร แต่ในคราวนี้ แทนที่เขาจะกลับโรงแรม เขากลับตรงไปยังห้องเช่าเก่าของเขาที่บรอมม่า (ทางตะวันตกของกรุงสต็อคโฮล์ม) ธเนศมั่นใจว่าเธอจะต้องอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะหากเป็นเวลาทั่วไปแล้วล่ะก็ เขาและเธอคงอาศัยอยู่ในห้องเช่าแห่งนี้ ใช้เวลาช่วงหัวค่ำกับการชมโทรทัศน์หรือเล่นดนตรี รินะมักหยิบกีตาร์โปร่งยี่ห้อเฟนเดอร์ซึ่งเป็นตัวโปรดของเธอออกมาเล่นในเวลาหลังมื้อเย็น ธเนศนึกถึงวันวานระหว่างเดินทางไปยังห้องเช่าเก่า เขายังตั้งคำถามด้วยตรรกะที่ว่า หากเธอยังอาศัยในตอนนี้ แล้วใครจะอาศัยร่วมกับเธอ เพราะคนที่จ่ายค่าเช่าห้องรายเดือนก็ย่อมเป็นเขา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็นึกไม่ออก ช่วงเวลานี้มันช่างประหลาดสิ้นดี ในวันและเวลาเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะเครื่องย้อนเวลา หากไม่ใช่เพราะเขามีความทรงจำที่แยกแยะชัดเจนระหว่างช่วงเวลาก่อนที่เธอจะเป็นหรือตาย และหากไม่ใช่เพราะเขาเดินทางย้อนเวลามาจากโลกในปี2006 เขาก็คงมีความสุขกับวันเวลาที่ผ่านไปได้ด้วยดี

          ในขณะเดียวกัน เขาพยายามมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา เขาตระหนักว่าฆาตกรจะต้องรับรู้เรื่องของเธอและเขาเป็นอย่างดี นี่เป็นสิ่งที่ธเนศกังวล อย่างน้อยที่สุด เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฆาตกรเลย จะพึ่งอะไรกันได้ ขนาดตำรวจที่นี่ยังสืบสวนมาเป็นปี ๆ นั่นคือสิ่งที่ธเนศเป็นกังวล เพราะฆาตกรรู้จักพวกเขาทั้งสองคนเป็นอย่างดี ดังนั้น เพื่อระมัดระวังตัว เขารู้สึกตัวทุกฝีก้าวที่ย่างเดิน สายตากวาดจ้องดูสิ่งพิรุธ

          เมื่อเดินทางถึงที่นั่น ประตูรั้วของห้องเช่านั้นไม่ได้ลงกลอน ธเนศเลื่อนกลอนประตู ดึงประตูรั้วเข้าหาตัว สอดตัวเองเข้าไปข้างใน พร้อมกับปิดประตูรั้วเบา ๆ เขาเดินเข้าไปข้างใน ขึ้นบันไดซึ่งทอดตัวเป็นทางวนไปจนถึงชั้นที่สาม จากนั้นเลี้ยวขวา สอดส่องหาห้องหมายเลข 1315 เมื่อถึงหน้าห้อง เขาโล่งใจ เพราะป้ายชื่อนั้นเขียนชื่อของเธอชัดเจน “รินะ ไอซาวะ” หากไม่มีแม้แต่ชื่อของธเนศอยู่บนนั้น ธเนศก้มมองแสงไฟที่ลอดผ่านประตูห้อง ก็รู้ทันทีว่ามีคนอยู่ในห้อง ทว่าเขาไม่อยากเคาะประตู เพราะเกรงว่ารินะยังตื่นตกใจกับเขาอยู่ สถานะของเขาและเธอในตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรจากคนแปลกแยก

          ทางเลือกของเขามีไม่มากนัก หากเขายังอยากจะติดต่อกับเธอ ธเนศก็ต้องเขียนกระดาษบันทึกสั้น ๆ และแนบเบอร์โทรศัพท์ซึ่งเขาเพิ่งเปิดมันไว้เมื่อสองวันก่อน ทั้ง ๆ ที่เขารู้เบอร์โทรศัพท์ของเธอเป็นแน่แท้ แต่ถ้าพิจารนาอย่างถี่ถ้วน หากเขาโทรหาเธอตอนนี้ เธอก็คงไม่ยอมสนทนากับเขาอยู่แล้ว เพราะตอนนี้ เธอมองธเนศเป็นพวกโรคจิตและเดินตามเธอ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเธอจะอ่านกระดาษบันทึกนั่น ก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง คือ หนึ่ง เธออาจแจ้งตำรวจว่ามีคนติดตามเธอมาถึงเคหสถานจริง ๆ กับสอง เธออาจเข้าใจเจตนาดีของเขา

          เขาไม่มีทางเลือกนัก หยิบกระดาษและปากกาที่พกติดตัว เขียนถ้อยคำลงไป

         
           ผมรู้ว่านี่คงละเมิดความเป็นส่วนตัว แต่หากคุณยังพอจดจำอะไรเกี่ยวกับตัวผมได้บ้าง ได้โปรดโทรหาผมที่เบอร์นี้  


          กระดาษบันทึกที่ถูกเขียนด้วยลายมือลอดผ่านประตูห้อง เขาหวังว่าเธอคงจะจดจำเขาได้บ้าง  

          แม้ว่าเขาจะกังวลว่าฆาตกรจะตามเขามายังห้องพักของพวกเขา ซึ่งแท้จริงแล้วตอนนี้กลายเป็นเพียงห้องพักของรินะเพียงผู้เดียว แต่มันก็อาจเป็นสองวันที่ผ่านไปเพียงแค่อุปาทานของธเนศล้วน ๆ เขาไม่พบร่องรอยอะไรเลยเกี่ยวกับฆาตกรจนถึงตอนนี้   

          เพราะเขาเหนื่อยกับความวิตกกังวล ธเนศเลยไม่ใส่ใจความเป็นไปของฆาตกร ระหว่างเดินทางกลับใจกลางเมือง เขาเหลือบมองเวลา ตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว เขายังไม่ได้กินข้าวเย็น ธเนศลงรถประจำทางก่อนถึงสถานีกลางสามป้าย เขาตระเวนหาร้านฟิชแอนด์ชิพแถวนั้น ใช้เวลาตอนห้าทุ่มกับการดื่มด่ำรสชาติของอาหารและเบียร์ จนเวลาผ่านเลยเที่ยงคืน เขาลุกออกจากร้าน รถประจำทางที่วิ่งเข้าสถานีกลางหมดแล้ว ธเนศต้องออกแรงเดิน ถนนรอบข้างก็ร้างผู้คนและรถรา บ้านเรือนทั้งสองฟากก็ปิดไฟนอน เหลือเพียงแต่เสาไฟข้างทางและอากาศหนาวเย็นในคืนนี้

          เพราะความตายใจ หรืออาจเป็นความกังวลว่าเธอจะตอบรับกระดาษโน้ตที่เขาส่งให้เมือหัวค่ำอย่างไร เขาไม่ทันสังเกตว่ามีคนเดินตามหลัง ธเนศเหลือบหันไปหาคนที่เดินตามหลังเขาพบว่าคน ๆ นั้นเป็นชายวันฉกรรจ์ ปิดหน้าด้วยหน้ากากอนามัย สวมหมวกสีดำ คลุมแจ๊คเก็ตสีดำ สวมกางเกงยีนส์ เดินตามในระยะประชิต สติบอกกับธเนศว่านี่อาจเป็นชายคนร้าย ธเนศวิ่งจ้ำอ้าว ตรงไปตามทาง

          “ช่วยด้วย!” เขาตะโกนลั่น พร้อมกับวิ่งหนี

          นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับฆาตกรในระยะประชิด แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาคิดไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่พอสถานการณ์จริง เขาหวาดกลัว เพราะที่ไล่หลังมานั้นก็ไม่ต่างอะไรจากความตาย ที่มุ่งหวังจะมาเพื่อปลิดชีวิตของเขา ฆาตกรภายใต้หน้ากากอนามัยวิ่งตามธเนศไม่ห่าง

          “หยุดนะ” เสียงของฆาตกร เสียงนั้นบ่งชี้ว่าฆาตกรอายุไล่เลี่ยกับธเนศ สันนิษฐานได้ว่าเป็นชายวัยกลางคน ตะโกนออกจากลำคอเสียงดังฟังชัด ดูน่าเกรงขาม มันวิ่งเข้าหาธเนศในระยะประชิดจนกระทั่งมันจับตัวของเขาได้ มันโอบตัวของธเนศจากด้านหลัง ธเนศพยายามต่อสู้ ทั้งสองออกหมัดใส่กัน ธเนศใช้ลำแข้งของตนเตะที่ชายโครงของฆาตกร เขาไม่มีอาวุธใด ๆ เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์แบบนี้เลย ฆาตกรเสียศูนย์เล็กน้อย มันพยายามล็อคขาของธเนศให้ทรงตัวไม่อยู่ เมื่อธเนศล้มลง มันเตะไปที่กลางหลังของธเนศอีกครั้ง เขาร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ฆาตกรหยิบผ้าผืนเล็กออกจากกระเป๋าแจ๊คเก็ต มันถูกโปะด้วยยาสลบ

          ฆาตกรไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั้น มันโน้มตัวเข้าหาธเนศ หวังจะเอาผ้านั้นโปะไปที่ใบหน้าของเขา ธเนศเอาแขนป้องหน้า พยายามใช้เท้าถีบสกัด ตอนนี้เขาลุกขึ้นยืนไม่ได้ เพราะฆาตกรโน้มตัวลงมาทับ เรี่ยวแรงของธเนศย่อมต่อกรกับแรงของฆาตกรไม่ได้ ไม่นานนัก เขากำลังจะหลับเพระฤทธิ์ยา
ส่วนฆาตกรเมื่อเห็นธเนศกำลังสลบ มันก็ต่อยธเนศที่กลางท้องอีกที เพื่อแน่ใจว่าเขาจะไม่มีแรงขัดขืนก่อนจะสลบ

          “เรียบร้อย” มันพูดกับตัวเอง ราวกับว่าภารกิจสำเร็จแล้ว ฆาตกรพยุงร่างของธเนศ ซึ่งตอนนี้ถึงแม้ว่าจะรู้สึกตัวแต่ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนอีกต่อไป มันถอดหน้ากากออก ลดฮูดที่คลุมหัวลง ลากธเนศกลับไปยังที่หลบซ่อน หากไม่มีใครสังเกต ดูเหมือนว่าชายคนหนึ่งกำลังหิ้วเพื่อนซึ่งเมาไม่ได้สติกลับไปที่บ้าน

          เหตุการณ์ทุกอย่างเกือบเข้าที หากฆาตกรไม่สังเกตอะไรบางอย่าง ในขณะที่มันกำลังหิ้วธเนศซึ่งหลับใหล ร่างกายของฆาตกรกลับมีบางอย่างผิดปกติ

          “อะไรวะ!” มันอุทานทันทีที่มองร่างกายของมันเอง เนื้อตัวของฆาตกรกลายเป็นสุญตาบางส่วน เป็นกายเนื้อที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ในบางครั้ง ราวกับแสงของหิ่งห้อยที่ค่อย ๆ เปล่งและมอดลงอย่างช้า ๆ และไม่ช้าก็เปล่งแสงขึ้นมาใหม่ นี่เป็นความปกติบนร่างกายของฆาตกร ภาวะสุญตานั้นสร้างอุปสรรคให้แก่ฆาตกร เพราะในหลายครั้งที่ร่างของธเนศหลุดออกจากการครอบครอง แต่ไม่ว่าจะหลุดจากตัวอย่างไร มันก็พยายามลากร่างของธเนศต่อไป

          “ขืนเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ถึงบ้านแน่” ฆาตกรบ่นพึมพำในใจ

          ผัวะ

          เสียงของแข็งกระทบกับส่วนของร่างกายอย่างรุ่นแรง มีใครบางคนเอาท่อนไม้ตีหัวของฆาตกร ฆาตกรรายนั้นหมดสติ นอนกองลงกับพื้นทันที ร่างของธเนศซึ่งอยู่ติดกับฆาตกรก็พลอยหล่นกองอยู่ตรงพื้นไปด้วย คน ๆ นั้นพยายามฉุดร่างของธเนศจากพื้น
                   
                                                                                    (จบตอนที่ 4)
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่