ผมได้รับเกียรติจากร้าน Urbani Truffle Bar & Restaurant เชิญไปชิม Tasting Menu ของทางร้าน ซึ่งก็แอบตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะเขาบอกมาว่าเป็นร้านเปิดใหม่ ยังมีอีกหลายเมนูที่รอเปิดตัว ทำให้ไม่มีข้อมูลเลยว่าจะได้ชิมอาหารประเภทไหน หน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ด้วยความเห็นแก่กิน เอ้ย ความเป็นมืออาชีพของผม ก็เลยต้องท้าพิสูจน์กันหน่อย


ตัวร้านอยู่ที่ตึก Sathon Squre ชั้นที่ 39 ถ้าใครรู้สึกคุ้นๆ ก็เพราะว่าที่นี่คือ Ku De Ta เก่านั่นเองล่ะครับ เมื่อมาถึงแล้ว อย่างแรกที่ทำให้ตื่นตะลึงก็คือทางร้านได้ตกแต่งร้านได้ดูดีเหลือเกิน เรียกว่าหรูหราอย่างมีสไตล์เลยแหละ ร้านอาหารแห่งนี้เป็นหนึ่งในร้านอาหารมากมายที่อยู่ในเครือ Urbani ซึ่งสืบทอดกิจการมาเป็นรุ่นที่ 6 แล้วและมีสาขาอยู่มากมายทั่วโลกเลยทีเดียว

หลังจากสำรวจคร่าวๆ ก็พบว่าทางร้านแบ่งโซนออกเป็นสองที่ ก็คือฝั่ง Fine Dining กับ Bar โดยฝั่งแรกจะเป็นที่นั่งที่เป็นกิจลักษณะ มี 2 เซ็ต ให้เลือก คือแบบ 5 คอร์สกับแบบ 7 คอร์ส โต๊ะทุกตัวจะเห็นวิวของกรุงเทพฯ ได้อย่างชัดเจน โดยอีกฝั่งก็มี Open Kitchen ให้ได้ดูการทำงานของบรรดาเชฟแต่ละคน (เขาแอบกระซิบมาว่าที่นี่มีเชฟระดับมิชลินถึง 7 คนมาช่วยกันเลยทีเดียว) แล้วถ้ามาเป็นหมู่คณะใหญ่ๆ ก็มีห้องส่วนตัวให้ด้วยล่ะครับ


แต่วันนี้ผมได้รับเชิญให้มาชิมเมนูของส่วน Bar ซึ่งจะเน้นไปที่ของสดมากกว่า การนั่งจะแตกต่างกว่าฝั่งแรก โดยจะเป็นการนั่งที่บาร์ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายกว่า วิวของเราคือการได้เห็นเชฟลงมือปรุงอาหารของเราสดๆ ต่อหน้าทุกจานโดยมีฉากหลังเป็นตึกระฟ้าของกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ทางฝั่งบาร์ยังมี Shelf ไวน์อีกกว่า 200 ชนิดให้คุณได้เลือก และอีกฝั่งก็เป็นผลิตภัณฑ์ในเครือ Urbani ที่เราสามารถซื้อกลับไปลองปรุงอาหารเองที่บ้านได้ด้วย


เพลิดเพลินกับวิวพอสมควรแล้วก็เริ่มหิว เลยทำเป็นมานั่งที่เคาน์เตอร์ ถามนู่นนี่จนเชฟเขารู้แกว เลยอมยิ้มแล้วเริ่มทำจานแรกทันที ดูแค่การเตรียมก็เหมือนดูโชว์แล้วล่ะครับ โดยจานแรกในเซ็ตของผมคือ “Marennes Oyster” หอยนางรมสดนำเข้าจากเมือง Marennes ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งหอยนางรมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส เสิร์ฟพร้อมกับ Red Wine Vinegar ที่หั่น Shallot บางๆ ลงไปชูรส พร้อมกับ Lemon อีกหนึ่งชิ้น ตอนแรกเห็นจานนี้แอบคิดถึงหอมเจียวกับกระถินเหมือนกันนะครับ เอาจริงๆ คือกลัวความสดของหอยนำเข้า เพราะเคยเจอหอยนอกแบบนี้ที่กลิ่นและรสแรงเหลือเกิน ไม่ชินสักเท่าไหร่ แต่พอราดน้ำส้มไวน์แดงพร้อมบีบ Lemon นิดๆ แล้วตักเข้าปากไปนี่ถึงได้รู้ว่า อ๋ออออออ ที่เคยกินๆ มาเนี่ย มันคนละระดับกันนนน หอยนางรมที่นี่สดแบบกินแล้วได้กลิ่นทะเลจริงๆ (บางคนคงรู้สึกเวอร์ แต่ผมไม่รู้จะอธิบายให้เห็นภาพได้ยังไง) ซึ่งในความสดนั้นกลับไม่มีกลิ่นคาวเลย แอบถามเชฟมาก็บอกว่าเป็นเพราะการคัดคุณภาพของหอยเท่านั้นจริงๆ


ในขณะที่ยังซาบซ่านอยู่กับรสและกลิ่นของหอยนางรม ผมก็แอบคิดว่า จริงๆ แล้วร้านเขาโด่งดังเรื่อง Truffle มาก ถือเป็นผู้นำเข้าอันดับต้นๆ ที่ได้รับการเชื่อมั่นทั้งคุณภาพและชื่อเสียง แต่มันคงจะแพงเกินไปที่จะเอามาใส่ใน Set ทั่วไป ผมจึงรอจานต่อๆ ไปอย่างไม่ได้คาดหวังอะไรมาก โดยจานที่สองคือ “Ganbaro Rosso Cappacio" ที่มีวุ้นกลมๆ เล็กๆ โรยหน้ามา ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าเป็นไข่กุ้งเอาไว้แต่งจาน แต่ผมคิดผิด! เพราะมันคือ Truffle Balsamic ที่ได้ผสมเห็ดลงไปให้เรียบร้อยและนำมาทำให้แข็งตัวเพื่อให้กินได้ง่าย ดังนั้น การเอากุ้งทั้งตัวเข้าปากพร้อมกับเจ้าวุ้นพวกนี้จึงเปิดโลกผมไปเลย คุณคงเคยกิน Truffle ที่กลิ่นแรงๆ และไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้แพงนักหนากันใช่ไหมล่ะครับ Truffle ร้านนี้จะเปลี่ยนความคิดคุณไปเลย เพราะกลิ่นหอมจางๆ แต่หนักแน่นนั้นช่วยเสริมเนื้อกุ้งหวานๆ ได้ดีมาก ทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าที่เขาพูดกันว่า Truffle ทำให้อาหารมีรส “ละมุน” ขึ้นนั้นมันเป็นอย่างไร



พอเริ่มเพลิดเพลินกับรสและกลิ่นของ Truffle แล้ว เชฟก็ยก “Salmon Roll with Truffle” ออกมาวางครับ ตัว Roll เป็นเนื้อแซลม่อนที่เชฟจะทำ Aburi ก่อนนำมาเสิร์ฟ ทำให้ไขมันแตกกระจาย และที่เด็ดที่ขาดไม่ได้ของเขาก็คือ Teriyaki Truffle Sauce ที่ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายความเข้ากัน พอไขมันอันชุ่มฉ่ำเจอกับซอสหวานนำที่มีกลิ่น Truffle คุมโทนตลอดเวลาแบบนี้ คีบเข้าปากกันแบบไม่ห่วงลุคเลยทีเดียว



นอกจากคุณภาพของอาหารแล้ว ลำดับการเสิร์ฟก็สำคัญเหมือนกันนะครับ ผมพึ่งมานึกออกตอนจานที่สี่นี่แหละ ว่าเชฟจะคอยสมดุลรสชาติของอาหารแต่ละจาน เบา กลาง หนัก ทำให้แต่ละจานที่อร่อยโดดเด่นนั้น จริงๆ แล้วถูกส่งเสริมด้วยจานก่อนหน้า และคอยชูโรงให้จานต่อไปเช่นกัน ใครเคยอ่านการ์ตูนทำอาหารอย่างโซมะ ผมพูดได้เลยว่าเซ็ตของร้านนี้เหมือนกับที่สึคาสะ อันดับหนึ่งของสิบยอดเยี่ยมทำเป๊ะเลย ที่ผมกล้าพูดก็เพราะว่าเมนูต่อจากนั้นอย่าง “Australian Beef Grain-fed Tatar” ช่วยมาล้างกลิ่นอาหารทะเลได้หมดจด จานนี้เป็นเนื้อ Aus สับละเอียด คลุกมากับ Nuta Sauce พร้อมกับมีไข่แดงตรงกลาง แวบแรกที่เห็นจานนี้คือ เฮ้ย จะคาวไปไหนเนี่ย ทั้งไข่ ทั้งเนื้อ แล้วมันจะเข้ากันมั้ยหว่า แต่พอคลุกเนื้อให้เข้ากับไข่และเครื่องปรุงทั้งหมด แล้วคีบเข้าปากแล้วจึงเข้าใจ จานนี้เป็นเหมือนจานล้าง Palette ของอาหาทะเลจริงๆ เพราะเนื้อสดและหวานแบบที่กินเปล่าๆ ก็อร่อย พอมีซอสกับเครื่องปรุงที่เชฟเข้าใส่มาด้วยก็ยิ่งสดชื่น กลายเป็นจานเนื้อที่เบาและกินได้สบายๆ อย่างไม่น่าเชื่อ


แน่นอนว่าเรื่องลำดับของเมนูนั้นยังสำคัญจนจานสุดท้าย ในขณะที่เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับรสชาติถึงขีดสุดในมื้อนี้แล้ว เชฟก็ปิดท้ายด้วย “Kiwi and Crab Roll” ซึ่งเป็น Roll ปูอัดรสเบาๆ ที่ห่อมาด้วย Kiwi พร้อมกับ Mayo and Teriyaki Sauce เคียงกับบีทรูททอดกรอบมาช่วยกันปิดฉากมื้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ



เซ็ตที่ผมพึ่งกินไปนั้นเรียกว่า Luxury Set Menu สนนราคาอยู่ที่ 2,500 บาท++ ถามว่าราคาสูงไหม ก็สูงจริงล่ะครับ แต่ถ้าถามว่าคุ้มมั้ย บอกเลยว่าถ้ากำลังหาแสวงหาประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบ Fine Dining จริงๆ นั้น ราคานี้ก็ถือว่าคุ้มค่าและพอจ่ายไหวอยู่ (แล้วค่อยผ่อนบัตรเอา) ส่วนตัวแล้ว ถึงแม้ว่าร้านนี้จะดู Hi-End แต่ผมเชื่อว่าในย่านนี้ ความต้องการหาร้านนัดพบเพื่อคุยธุรกิจแบบ Formal จริงๆ คงมีสูงและร้านนี้ก็จะตอบโจทย์นั้นได้อย่างแน่นอน หรืออาจจะเป็นการรับประทานอาหารกันในวาระพิเศษของคนในครอบครัวและคู่รักก็ถือว่าราคาไม่ได้สูงโดดกว่าร้านอื่นๆ ในประเภทเดียวกัน สำหรับอาหารในตอนนี้ จะมีเพียงแค่ 7 เซ็ตให้เลือกเท่านั้น นอกจากเซ็ต Fine Dining 2 แบบ ที่ผมพูดถึงข้างบนแล้วนั้น ก็มี Set อาหารกลางวันอีก 2 เซ็ต เซ็ตมังสวิรัติ 1 เซ็ต แล้วก็เซ็ตหน้าบาร์แบบที่ผมกินวันนี้อีก 2 เซ็ตนั่นเอง (ซึ่งผมกินแบบเซ็ตแรก มีอีกเซ็ตที่แพงกว่า) ซึ่งทางร้านบอกว่าที่น้อยและมีให้เลือกไม่เยอะแบบนี้ก็เพราะว่าอยากควบคุมวัตถุดิบให้ได้อย่างเต็มที่เสียก่อน และหลังจากนี้จะมีเมนูอื่นๆ เซ็ตอื่นๆ ออกมาให้ชิมอีกแน่นอน ใครที่สนใจก็ติดตามความเคลื่อนไหวของร้านได้ที่ Facebook Page: Urbani Truffle Bar and Restaurant