สวัสดีค่ะวันนี้เราจะมาแนะนำทริคการทำข้อสอบToeicให้ได้คะแนนสูงๆกัน ตัวเราล่าสุดได้ไปลองทำข้อสอบโทอิกมานะคะ ได้คะแนนตามรูปเลยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่เห็นเราได้เยอะเพราะว่าเราเรียนภาษาอังกฤษเป็นเวลานาน และก็ฝึกฝนมาพอสมควรค่ะ ปัจจุบันทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เอาจริงๆแบบไม่พูดเยอะคือ การที่เราจะเก่งภาษาอังกฤษ เน้นเลยว่า
ไม่มี”ทางลัด”ใดๆค่ะ เราต้องฝึกฝนอย่างหนักด้วยตนเองเท่านั้น ตัวเราเองก็ยังไม่ได้เก่งมากๆระดับปรมาจารย์หลายๆท่านที่สอบได้เต็มหรือใช้ภาษาอังกฤษในcontextยากๆได้ แต่ถึงจะไม่มีทางลัด เราก็มีแนวทางบางข้อที่เราสั่งสมจากประสบการณ์แล้วอยากมาแชร์ให้เพื่อนๆค่ะ
1) เริ่มต้นจากการฟังเยอะๆอ่านเยอะๆ
- ฟังไปค่ะ ให้มันผ่านหู ดูให้มันผ่านตา ดูข่าว ดูหนังภาษาอังกฤษ มีsubtitleไทยก่อนก็ได้สักหนึ่งรอบ อีกรอบหนึ่งลองเปิดsubtitleภาษาอังกฤษ วิธีนี้จะทำให้เรารู้ว่าเค้าออกเสียงคำแต่ละคำอย่างไร รวมถึงได้ฟังภาษาอังกฤษในระดับความเร็วที่native speakersเค้าพูดกันจริงๆ แนะนำให้สมัคร netflix ค่ะ แชร์บัญชีกับเพื่อนหลายๆคนก็ได้ค่ะจะได้ประหยัด เพราะว่าnetflixมีหนัง ซีรีย์ต่างๆมากมายให้คุณเลือกดู ความชัดก็ดี มีsubtitleหลายภาษา ทริคนิดนึงนะคะ เวลาเราฝึกฟังเนี่ย ไม่ใช่แค่ดูผ่านๆแล้วจะได้นะคะ ถ้าอยากเก่งจริงๆต้องตั้งใจฟังว่าเค้าพูดว่าอะไร คำศัพท์นี้แปลว่าอะไรแล้วจดหรือจำค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นจะได้แค่ความคุ้นชินกับสำเนียงแต่ไม่สามารถเอาศัพท์หรือประโยคมาใช้ได้มากพอนะคะ
Credit: Google
- ถ้าชอบดูข่าวก็เปิดเลยค่ะ BBC / CNN จะเลือกฟังภาษาอังกฤษแบบอเมริกันหรือแบบอังกฤษก็ตามใจชอบ ถ้าอยู่บนรถก็เลือกเปิดคลื่นที่มีข่าวภาษาอังกฤษ เช่น MET107 หรือ FM88 ฟังเพลงภาษาอังกฤษบ่อยๆ ใครชอบร้องแนะนำเลยค่ะ เปิดเนื้อ (lyrics) แล้วร้องตามฝึกสำเนียงไปด้วย ไม่ต้องแคร์ค่ะร้องผิดร้องถูก สมัยเราเป็นเด็กๆพอออกจากโรงหนังทีไรเราต้องลองพูดตามที่ตัวละครพูดในหนัง พูดแบบมั่วๆนะคะ ร้องเพลงก็ร้องแบบมั่วๆ จนวันวันนึงเราสามารถร้องถูกเนื้อ พูดได้ถูกตามที่เค้าพูดได้ค่ะ
- รายการบนทีวีทุกรายการที่พอจะให้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยภาษาอังกฤษเราได้ก็ให้ดูค่ะ อย่างน้อยอาจจะทำให้เรารู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นอีกสักคำสองคำในแต่ละวัน เช่น English on tour, Chris Delivery และอื่นๆอีกมากมายค่ะ การที่เราฟังมากๆเนี่ย ทำให้เรารู้ว่า คนไทยชอบออกเสียงภาษาอังกฤษแบบ Monotoneค่ะเพราะเราติดจาก ภาษาไทย เราจะไม่มีพูดว่า ฉันกิ้นข่าว (ฉันกินข้าว) ซึ่งมันต่างกับภาษาอังกฤษตรงที่เค้าจะมีการขึ้นเสียงสูงลงเสียงต่ำ(Intonation) และมีการเน้นคำ(Stress) ในบริบทที่ต่างๆกันค่ะ
- อ่านหนังสือเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ถ้าเริ่มแรกๆให้อ่านพวกเรื่องสั้น นวนิยายเล่มเล็กๆที่ไม่ยากจนเกินไป เช่น ชุดPenguin Readers หาอ่านได้จากเว็บนี้ค่ะ
http://www.e4thai.com/e4e/ ถ้าระดับAdvanceขึ้นก็อ่านเรื่องยาวขึ้น อ่านหนังสือเล่ม อ่านข่าวหนังสือพิมพ์เช่น Bangkok Post, Nation ลงทุนซื้อฉบับล่ะไม่เกิน50บาทค่ะ อ่านได้เป็นอาทิตย์ ที่แนะนำอีกอย่างคือพวกที่ชอบอัพเดทเทรนด์ ข่าวต่างๆ เวลาไปร้านกาแฟเช่นStarbucks ก็ให้หยิบพวกนิตยสารแจกฟรี เช่น Time Out, BK magazine แล้วเปิดอ่านคอลัมน์ต่างๆในนั้น ช่วยเพิ่มพูนคำศัพท์และแนวการเขียนได้เยอะมาก อีกทั้งยังได้อัพเดทเทรนด์ใหม่ๆด้วยค่ะ
- Like Page Facebook ที่เป็นภาษาอังกฤษอะไรก็ได้ที่เราสนใจ เช่น พวกเพจขำขัน Memeตลกๆแบบ 9Gag, Discovery Channel เอาให้เวลาเราไถหน้าจอเฟซบุ๊คล่ะมันได้ผ่านตาเราบ้าง เพราะคำศัพท์ต่างๆที่อยู่ในเพจเหล่านี้ส่วนใหญ่จะสอนพวก Idiomsและก็Slangไปพร้อมภาพทำให้เราจำง่ายค่ะ
- หัดเป็นคนช่างสังเกตค่ะ ทุกวันนี้ภาษาอังกฤษอยู่รายล้อมตัวเราไปหมด เวลาเดินห้างเคยสังเกตคำศัพท์รอบตัวไม๊คะ เช่นคำว่า concierge ซึ่งม่ีความหมายว่าคนที่ช่วยอำนวยความสะดวกตามโรงแรมหรือสถานที่ต่างๆในการบอกทางให้ลูกค้า หรือ Restroom ที่แปลว่าห้องน้ำ อะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ
Credit : Google
2) จำศัพท์ด้วยการผูกกับเรื่องราวของตัวเองหรือเรื่องตลก
เวลาเราเจอศัพท์ใหม่ๆ เราจะพยายามลิ้งค์ศัพท์นั้นกับเรื่องราวของตัวเองเช่น สมมติว่าเจอคำว่า dump(V.) ที่แปลว่า ทิ้ง เราก็อาจจะจำไปเลยว่า “
ชื่อแฟนเก่า dumped me when he found another girl.” ซึ่งแปลว่า แฟนเก่าคนนี้ทิ้งฉันเมื่อเขาเจอผู้หญิงคนใหม่ เป็นต้นค่ะ ยิ่งเป็นอะไรที่ตลกหรือเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ ประสบการณ์โดยตรงที่เราจำได้แม่นๆเนี่ย เราก็จะจำศัพท์แม่นไปด้วยค่ะ 5555
3) เวลาเปิดคำศัพท์ในดิกชันนารีให้เปิดเป็นENG-ENGค่ะ
เพราะการเปิดคำศัพท์เป็นEng จะทำให้เรารู้ความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์คำนั้นมากกว่าที่จะเปิดGoogle Translate ซึ่งบางครั้งก็ความหมายผิดนะคะ อีกทั้งคำบางคำมีความหมายได้หลายอย่างด้วย เมื่อเปิดดิกเป็น Eng-Eng เราจะได้เห็นตัวอย่างการใช้ไปในตัว รวมถึง Synonyms (คำที่มีความหมายคล้ายกัน)ด้วยค่ะ
สำหรับใครที่อาจจะยังไม่รู้คำศัพท์มากพอที่จะเข้าใจความหมายของคำจากการเปิดดิกอังกฤษเป็นอังกฤษ แนะนำให้เปิดอังกฤษ-ไทยก่อนแล้วค่อยไปเช็คความหมายกับ Eng-Engอีกรอบค่ะ ถ้าดิกชันนารีที่เชื่อถือได้ก็ Oxford, Longman, Merriam-Webster เป็นต้นค่ะ
4) ให้หาเพื่อนต่างชาติเพื่อคุยภาษาอังกฤษกับเค้า
ข้อนี้สำหรับคนที่อยากจะฝึกพิมพ์ภาษาอังกฤษ หรือ ฝึกพูดคุย สามารถโหลดแอพพลิเคชั่นหาเพื่อนออนไลน์เพื่อฝึกภาษาได้ค่ะ แต่ข้อนี้ก็ต้องระวังนิดนึงนะคะสำหรับคนที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ก็อย่าไว้ใจใครหรือไปนัดเจอใครง่ายๆ เอาแค่พิมพ์คุยกันเพื่อฝึกภาษาไปก่อนจนกว่าจะรู้จักกันดีนะคะ ส่วนตัวไม่เคยลองวิธีนี้นะคะ แต่เคยเห็นเพื่อนฝึกด้วยวิธีนี้บ้างเหมือนกันค่ะ
5) Grammarใครว่าไม่สำคัญ
หลายๆคนบอกว่าฟังพูดให้ได้ก็พอ แกรมม่าไว้ทีหลัง อันนี้ก็เป็นความจริงส่วนหนึ่งค่ะว่าเราควรให้ความสำคัญกับการที่เราจะใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้จริงก่อน แต่แกรมม่าเนี่ยจริงๆแล้วสำคัญนะคะเพราะ เพราะว่าใช้แกรมม่าถูก การสื่อสารก็จะง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แค่เราใช้กริยาเปลี่ยนรูปไป ความหมายก็เปลี่ยนตาม เช่น
I write a book. แปลว่า ฉันเขียนหนังสือ (เป็นปกตินิสัยหรือเป็นอาชีพในปัจจุบัน)
แต่ถ้าเขียนเป็น I wrote a book. (กริยาช่อง2ของwrite) นั่นแปลว่า ฉันเขียนหนังสือ (แต่เป็นการเขียนที่เสร็จไปแล้วในอดีต) เป็นต้นค่ะ
6) แนะแนวสำหรับข้อสอบ Toeic ที่มีสองพาร์ทคือฟังกับอ่านนะคะ
Part Listening เนี่ย เค้าจะมีรูปมาให้เราดูล่ะเลือกประโยคที่บรรยายรูปนั้น ก่อนอื่นให้เราตั้งสมาธิก่อนเพื่อโฟกัสเพราะว่าตอนฟังเนี่ยจะหลุดไม่ได้เลย หลุดแล้วให้ปล่อยทันทีค่ะอย่าไปอาวรณ์ เพราะจะทำข้อต่อไปไม่ทันเอาได้
พาร์ทนี้ให้ดูรูปแล้วคิดในใจเร็วๆค่ะว่าในรูปเค้าทำอะไร หลังจากนั้นก็ตัดchoiceค่ะ เช่นรูปผู้หญิงกำลังซื้อของ ถ้าเกิดมีข้อนึงพูดว่า เธอกำลังกินอาหาร อะไรแบบนี้ก็ตัดทิ้งเลยค่ะ แล้วถ้ามีประโยคไหนที่เราชัวร์ว่าคำแปลมันคือ ผู้หญิงกำลังซื้อของ ให้เรามาร์คว่าจะตอบข้อนี้เลยค่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่ข้อสอบฟังพาร์ทนี้เค้าจะไม่หลอกเราด้วยอะไรที่ใกล้เคียงกันมากๆค่ะ
ความยากคือเราจะโดนหลอกด้วยคำศัพท์ เช่น รูปห้องที่มีคนนั่งบนเก้าอี้สองสามคน choices จะเป็น
1)
เก้าอี้ถูกวางซ้อนกันเป็นตั้งๆ
2)
คนคุยกันเสียงดังในปาร์ตี้
3)
ห้องนี้มีคนอยู่แค่สองสามคน
4) มีผู้ชายนั่งอยู่หน้าประตู
สังเกตได้ว่าโจทย์จะชอบหลอกเราด้วยคำศัพท์ที่เราคิดว่าต้องมีแน่ๆในchoice เช่น เราเห็นภาพนี้แล้วนึกถึงคน กับเก้าอี้ พอเราเห็นเก้าอี้ในข้อแรกหรือ
คนในข้อสองเราก็จะกาเลยซึ่งเป็นคำตอบที่ผิด คำแนะนำของเราคือ ฝึกฟังไปเยอะๆจนเราฟังออกว่าchoiceอื่นพูดผิด เรื่องนี้ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ถ้าตั้งใจฝึกรับรองว่าเห็นผลแน่นอน
พาร์ทสองสามและสี่ สำหรับเราเกิดจากการสั่งสมทั้งหมดทั้งมวลจากข้อด้านบนๆค่ะ ไม่มีทริคอะไรมากมาย จะมีอยู่นิดนึงคือ สำหรับโจทย์ฟังที่มีถามคำถามสามข้อ ให้เราติ๊กลงบนข้อสอบด้วยดินสอไว้ค่ะเวลาฟังเพราะบางครั้งเราอาจจะฝนไม่ทัน พอฟังเสร็จค่อยมาฝนตามตอนที่เค้าอ่านโจทย์ให้เรา ฝึกตามคำแนะนำด้านบนล่ะก็ฝึกทำโจทย์เยอะๆค่ะ ทำอะไรที่ยากขึ้นกว่าโจทย์ที่เราคิดว่าเราจะเจอก็ดีนะคะ เพราะเอาเข้าจริงพอต้องทำข้อสอบเราจะมีความลนปนอยู่ด้วยและอาจะพลาดได้ง่ายขึ้น
Part Reading มีสองส่วนคือ Grammar กับให้อ่านพวกจดหมาย โฆษณา Text หลายๆแบบแล้วตอบคำถามค่ะ
พาร์ทแรกคือGrammar ส่วนใหญ่จะวัดพวก Subject and Verb agreement (ความสอดคล้องของประธานและกริยา) กับคำศัพท์ค่ะ ซึ่งเราต้องฝึกทำแบบฝึกหัดแกรมม่าไปด้วยค่ะ เรื่องต่างๆทั้งTenses, Articles, Adjectives and Adverbs ฝึกให้ครอบคลุมทั้งหมดค่ะ ซื้อพวกหนังสือติวสอบเอนท์ของเด็กม.6 มาทำเยอะๆก็ช่วยได้ค่ะ
พาร์ทสองเนี่ย วัดความเร็วในการอ่านมากค่ะ หลายคนทำไม่ทัน จะบอกว่าบางครั้งการสแกนคำถามก่อนช่วยค่ะ เพราะว่าเค้าจะให้textที่ยาวๆมาหลอกเรา ให้เราอ่านคำถามก่อนล่ะค่อยไปหาคำตอบในเรื่องก็พอช่วยได้ค่ะ แต่สำหรับเราเราอ่านทั้งหมดค่ะแบบเร็วๆรอบนึง เพราะว่าถ้าเราอ่านจบสักรอบ พอไปเจอโจทย์แล้วเราจะสามารถกลับมาหาว่าคำตอบอยู่ตรงไหนได้เร็วและแม่นยำกว่าค่ะ แต่สำหรับพวกตารางที่มีข้อมูลเยอะๆ บางทีอ่านโจทย์ก่อนจะดีกว่าค่ะเพราะถึงเราอ่านไปเราก็จำไม่ไ่ด้อยู่ดีกว่าข้อมูลมีอะไรบ้าง และจะทำให้เสียเวลาค่ะ
7) The last suggestion from me would be to encourage everyone to work hard. I have seen a lot of people giving up before they could achieve their goals. When you feel like you want to give up on English, please try another way. Try another method that may suit you more. Make English enjoyable for you. Now there are lots of media available for you at affordable price or even free of charge. Ask your friends to set the goal and improve your skills together. Be confident. Just speak out!
สำหรับข้อสุดท้ายนี้ เราอยากแนะนำให้ทุกคนตั้งใจค่ะ เพราะว่าเราเห็นหลายคนที่ตอนแรกดูจะมีไฟค่ะแต่ตอนหลังก็แผ่วลงจนมอดไป เวลาที่เราท้อๆเนี่ย อยากให้ทุกคนรู้สึกenjoyกับภาษาอังกฤษมากกว่า อย่าไปตั้งแง่ว่ามันยาก เพราะถ้าคิดงั้นมันจะปิดกั้นตัวเราจากการเรียนรู้ ให้มองหาทางที่เราจะสนุกกับมันได้มากที่สุด ตอนนี้สื่อการสอน สื่อออนไลน์ หนังสือต่างๆหาได้ทั่วไป ราคาไม่แพงมากหรือแม้กระทั่งฟรี รายการทีวี หนังสนุกๆก็มีมากมาย พยายามหาเพื่อนที่เค้าอยากจะเก่งไปกับเราแล้วฝึกด้วยกันก็ได้ค่ะ กล้าๆหน่อยค่ะ พูดออกไปเล้ยย
มีปัญหาอยากปรึกษาเรื่องภาษาอังกฤษถามด้านล่างหรือหลังไมค์มาได้นะคะ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนประสบความสำเร็จและโชคดีกันทุกคนค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไลค์เพจเสริมความรู้ภาษาอังกฤษเป็นกำลังใจกันได้นะคะ ไม่มีขายของค่า5555 https://www.facebook.com/HappyEnglish555/
เทคนิคทำข้อสอบToeicอย่างไรให้ได้คะแนนสูงๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่เห็นเราได้เยอะเพราะว่าเราเรียนภาษาอังกฤษเป็นเวลานาน และก็ฝึกฝนมาพอสมควรค่ะ ปัจจุบันทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เอาจริงๆแบบไม่พูดเยอะคือ การที่เราจะเก่งภาษาอังกฤษ เน้นเลยว่า ไม่มี”ทางลัด”ใดๆค่ะ เราต้องฝึกฝนอย่างหนักด้วยตนเองเท่านั้น ตัวเราเองก็ยังไม่ได้เก่งมากๆระดับปรมาจารย์หลายๆท่านที่สอบได้เต็มหรือใช้ภาษาอังกฤษในcontextยากๆได้ แต่ถึงจะไม่มีทางลัด เราก็มีแนวทางบางข้อที่เราสั่งสมจากประสบการณ์แล้วอยากมาแชร์ให้เพื่อนๆค่ะ
1) เริ่มต้นจากการฟังเยอะๆอ่านเยอะๆ
- ฟังไปค่ะ ให้มันผ่านหู ดูให้มันผ่านตา ดูข่าว ดูหนังภาษาอังกฤษ มีsubtitleไทยก่อนก็ได้สักหนึ่งรอบ อีกรอบหนึ่งลองเปิดsubtitleภาษาอังกฤษ วิธีนี้จะทำให้เรารู้ว่าเค้าออกเสียงคำแต่ละคำอย่างไร รวมถึงได้ฟังภาษาอังกฤษในระดับความเร็วที่native speakersเค้าพูดกันจริงๆ แนะนำให้สมัคร netflix ค่ะ แชร์บัญชีกับเพื่อนหลายๆคนก็ได้ค่ะจะได้ประหยัด เพราะว่าnetflixมีหนัง ซีรีย์ต่างๆมากมายให้คุณเลือกดู ความชัดก็ดี มีsubtitleหลายภาษา ทริคนิดนึงนะคะ เวลาเราฝึกฟังเนี่ย ไม่ใช่แค่ดูผ่านๆแล้วจะได้นะคะ ถ้าอยากเก่งจริงๆต้องตั้งใจฟังว่าเค้าพูดว่าอะไร คำศัพท์นี้แปลว่าอะไรแล้วจดหรือจำค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นจะได้แค่ความคุ้นชินกับสำเนียงแต่ไม่สามารถเอาศัพท์หรือประโยคมาใช้ได้มากพอนะคะ
- ถ้าชอบดูข่าวก็เปิดเลยค่ะ BBC / CNN จะเลือกฟังภาษาอังกฤษแบบอเมริกันหรือแบบอังกฤษก็ตามใจชอบ ถ้าอยู่บนรถก็เลือกเปิดคลื่นที่มีข่าวภาษาอังกฤษ เช่น MET107 หรือ FM88 ฟังเพลงภาษาอังกฤษบ่อยๆ ใครชอบร้องแนะนำเลยค่ะ เปิดเนื้อ (lyrics) แล้วร้องตามฝึกสำเนียงไปด้วย ไม่ต้องแคร์ค่ะร้องผิดร้องถูก สมัยเราเป็นเด็กๆพอออกจากโรงหนังทีไรเราต้องลองพูดตามที่ตัวละครพูดในหนัง พูดแบบมั่วๆนะคะ ร้องเพลงก็ร้องแบบมั่วๆ จนวันวันนึงเราสามารถร้องถูกเนื้อ พูดได้ถูกตามที่เค้าพูดได้ค่ะ
- รายการบนทีวีทุกรายการที่พอจะให้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยภาษาอังกฤษเราได้ก็ให้ดูค่ะ อย่างน้อยอาจจะทำให้เรารู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นอีกสักคำสองคำในแต่ละวัน เช่น English on tour, Chris Delivery และอื่นๆอีกมากมายค่ะ การที่เราฟังมากๆเนี่ย ทำให้เรารู้ว่า คนไทยชอบออกเสียงภาษาอังกฤษแบบ Monotoneค่ะเพราะเราติดจาก ภาษาไทย เราจะไม่มีพูดว่า ฉันกิ้นข่าว (ฉันกินข้าว) ซึ่งมันต่างกับภาษาอังกฤษตรงที่เค้าจะมีการขึ้นเสียงสูงลงเสียงต่ำ(Intonation) และมีการเน้นคำ(Stress) ในบริบทที่ต่างๆกันค่ะ
- อ่านหนังสือเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ถ้าเริ่มแรกๆให้อ่านพวกเรื่องสั้น นวนิยายเล่มเล็กๆที่ไม่ยากจนเกินไป เช่น ชุดPenguin Readers หาอ่านได้จากเว็บนี้ค่ะ http://www.e4thai.com/e4e/ ถ้าระดับAdvanceขึ้นก็อ่านเรื่องยาวขึ้น อ่านหนังสือเล่ม อ่านข่าวหนังสือพิมพ์เช่น Bangkok Post, Nation ลงทุนซื้อฉบับล่ะไม่เกิน50บาทค่ะ อ่านได้เป็นอาทิตย์ ที่แนะนำอีกอย่างคือพวกที่ชอบอัพเดทเทรนด์ ข่าวต่างๆ เวลาไปร้านกาแฟเช่นStarbucks ก็ให้หยิบพวกนิตยสารแจกฟรี เช่น Time Out, BK magazine แล้วเปิดอ่านคอลัมน์ต่างๆในนั้น ช่วยเพิ่มพูนคำศัพท์และแนวการเขียนได้เยอะมาก อีกทั้งยังได้อัพเดทเทรนด์ใหม่ๆด้วยค่ะ
- Like Page Facebook ที่เป็นภาษาอังกฤษอะไรก็ได้ที่เราสนใจ เช่น พวกเพจขำขัน Memeตลกๆแบบ 9Gag, Discovery Channel เอาให้เวลาเราไถหน้าจอเฟซบุ๊คล่ะมันได้ผ่านตาเราบ้าง เพราะคำศัพท์ต่างๆที่อยู่ในเพจเหล่านี้ส่วนใหญ่จะสอนพวก Idiomsและก็Slangไปพร้อมภาพทำให้เราจำง่ายค่ะ
- หัดเป็นคนช่างสังเกตค่ะ ทุกวันนี้ภาษาอังกฤษอยู่รายล้อมตัวเราไปหมด เวลาเดินห้างเคยสังเกตคำศัพท์รอบตัวไม๊คะ เช่นคำว่า concierge ซึ่งม่ีความหมายว่าคนที่ช่วยอำนวยความสะดวกตามโรงแรมหรือสถานที่ต่างๆในการบอกทางให้ลูกค้า หรือ Restroom ที่แปลว่าห้องน้ำ อะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ
Credit : Google
2) จำศัพท์ด้วยการผูกกับเรื่องราวของตัวเองหรือเรื่องตลก
เวลาเราเจอศัพท์ใหม่ๆ เราจะพยายามลิ้งค์ศัพท์นั้นกับเรื่องราวของตัวเองเช่น สมมติว่าเจอคำว่า dump(V.) ที่แปลว่า ทิ้ง เราก็อาจจะจำไปเลยว่า “ชื่อแฟนเก่า dumped me when he found another girl.” ซึ่งแปลว่า แฟนเก่าคนนี้ทิ้งฉันเมื่อเขาเจอผู้หญิงคนใหม่ เป็นต้นค่ะ ยิ่งเป็นอะไรที่ตลกหรือเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ ประสบการณ์โดยตรงที่เราจำได้แม่นๆเนี่ย เราก็จะจำศัพท์แม่นไปด้วยค่ะ 5555
3) เวลาเปิดคำศัพท์ในดิกชันนารีให้เปิดเป็นENG-ENGค่ะ
เพราะการเปิดคำศัพท์เป็นEng จะทำให้เรารู้ความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์คำนั้นมากกว่าที่จะเปิดGoogle Translate ซึ่งบางครั้งก็ความหมายผิดนะคะ อีกทั้งคำบางคำมีความหมายได้หลายอย่างด้วย เมื่อเปิดดิกเป็น Eng-Eng เราจะได้เห็นตัวอย่างการใช้ไปในตัว รวมถึง Synonyms (คำที่มีความหมายคล้ายกัน)ด้วยค่ะ
สำหรับใครที่อาจจะยังไม่รู้คำศัพท์มากพอที่จะเข้าใจความหมายของคำจากการเปิดดิกอังกฤษเป็นอังกฤษ แนะนำให้เปิดอังกฤษ-ไทยก่อนแล้วค่อยไปเช็คความหมายกับ Eng-Engอีกรอบค่ะ ถ้าดิกชันนารีที่เชื่อถือได้ก็ Oxford, Longman, Merriam-Webster เป็นต้นค่ะ
4) ให้หาเพื่อนต่างชาติเพื่อคุยภาษาอังกฤษกับเค้า
ข้อนี้สำหรับคนที่อยากจะฝึกพิมพ์ภาษาอังกฤษ หรือ ฝึกพูดคุย สามารถโหลดแอพพลิเคชั่นหาเพื่อนออนไลน์เพื่อฝึกภาษาได้ค่ะ แต่ข้อนี้ก็ต้องระวังนิดนึงนะคะสำหรับคนที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ก็อย่าไว้ใจใครหรือไปนัดเจอใครง่ายๆ เอาแค่พิมพ์คุยกันเพื่อฝึกภาษาไปก่อนจนกว่าจะรู้จักกันดีนะคะ ส่วนตัวไม่เคยลองวิธีนี้นะคะ แต่เคยเห็นเพื่อนฝึกด้วยวิธีนี้บ้างเหมือนกันค่ะ
5) Grammarใครว่าไม่สำคัญ
หลายๆคนบอกว่าฟังพูดให้ได้ก็พอ แกรมม่าไว้ทีหลัง อันนี้ก็เป็นความจริงส่วนหนึ่งค่ะว่าเราควรให้ความสำคัญกับการที่เราจะใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้จริงก่อน แต่แกรมม่าเนี่ยจริงๆแล้วสำคัญนะคะเพราะ เพราะว่าใช้แกรมม่าถูก การสื่อสารก็จะง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แค่เราใช้กริยาเปลี่ยนรูปไป ความหมายก็เปลี่ยนตาม เช่น
I write a book. แปลว่า ฉันเขียนหนังสือ (เป็นปกตินิสัยหรือเป็นอาชีพในปัจจุบัน)
แต่ถ้าเขียนเป็น I wrote a book. (กริยาช่อง2ของwrite) นั่นแปลว่า ฉันเขียนหนังสือ (แต่เป็นการเขียนที่เสร็จไปแล้วในอดีต) เป็นต้นค่ะ
6) แนะแนวสำหรับข้อสอบ Toeic ที่มีสองพาร์ทคือฟังกับอ่านนะคะ
Part Listening เนี่ย เค้าจะมีรูปมาให้เราดูล่ะเลือกประโยคที่บรรยายรูปนั้น ก่อนอื่นให้เราตั้งสมาธิก่อนเพื่อโฟกัสเพราะว่าตอนฟังเนี่ยจะหลุดไม่ได้เลย หลุดแล้วให้ปล่อยทันทีค่ะอย่าไปอาวรณ์ เพราะจะทำข้อต่อไปไม่ทันเอาได้
พาร์ทนี้ให้ดูรูปแล้วคิดในใจเร็วๆค่ะว่าในรูปเค้าทำอะไร หลังจากนั้นก็ตัดchoiceค่ะ เช่นรูปผู้หญิงกำลังซื้อของ ถ้าเกิดมีข้อนึงพูดว่า เธอกำลังกินอาหาร อะไรแบบนี้ก็ตัดทิ้งเลยค่ะ แล้วถ้ามีประโยคไหนที่เราชัวร์ว่าคำแปลมันคือ ผู้หญิงกำลังซื้อของ ให้เรามาร์คว่าจะตอบข้อนี้เลยค่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่ข้อสอบฟังพาร์ทนี้เค้าจะไม่หลอกเราด้วยอะไรที่ใกล้เคียงกันมากๆค่ะ
ความยากคือเราจะโดนหลอกด้วยคำศัพท์ เช่น รูปห้องที่มีคนนั่งบนเก้าอี้สองสามคน choices จะเป็น
1) เก้าอี้ถูกวางซ้อนกันเป็นตั้งๆ
2) คนคุยกันเสียงดังในปาร์ตี้
3) ห้องนี้มีคนอยู่แค่สองสามคน
4) มีผู้ชายนั่งอยู่หน้าประตู
สังเกตได้ว่าโจทย์จะชอบหลอกเราด้วยคำศัพท์ที่เราคิดว่าต้องมีแน่ๆในchoice เช่น เราเห็นภาพนี้แล้วนึกถึงคน กับเก้าอี้ พอเราเห็นเก้าอี้ในข้อแรกหรือ
คนในข้อสองเราก็จะกาเลยซึ่งเป็นคำตอบที่ผิด คำแนะนำของเราคือ ฝึกฟังไปเยอะๆจนเราฟังออกว่าchoiceอื่นพูดผิด เรื่องนี้ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ถ้าตั้งใจฝึกรับรองว่าเห็นผลแน่นอน
พาร์ทสองสามและสี่ สำหรับเราเกิดจากการสั่งสมทั้งหมดทั้งมวลจากข้อด้านบนๆค่ะ ไม่มีทริคอะไรมากมาย จะมีอยู่นิดนึงคือ สำหรับโจทย์ฟังที่มีถามคำถามสามข้อ ให้เราติ๊กลงบนข้อสอบด้วยดินสอไว้ค่ะเวลาฟังเพราะบางครั้งเราอาจจะฝนไม่ทัน พอฟังเสร็จค่อยมาฝนตามตอนที่เค้าอ่านโจทย์ให้เรา ฝึกตามคำแนะนำด้านบนล่ะก็ฝึกทำโจทย์เยอะๆค่ะ ทำอะไรที่ยากขึ้นกว่าโจทย์ที่เราคิดว่าเราจะเจอก็ดีนะคะ เพราะเอาเข้าจริงพอต้องทำข้อสอบเราจะมีความลนปนอยู่ด้วยและอาจะพลาดได้ง่ายขึ้น
Part Reading มีสองส่วนคือ Grammar กับให้อ่านพวกจดหมาย โฆษณา Text หลายๆแบบแล้วตอบคำถามค่ะ
พาร์ทแรกคือGrammar ส่วนใหญ่จะวัดพวก Subject and Verb agreement (ความสอดคล้องของประธานและกริยา) กับคำศัพท์ค่ะ ซึ่งเราต้องฝึกทำแบบฝึกหัดแกรมม่าไปด้วยค่ะ เรื่องต่างๆทั้งTenses, Articles, Adjectives and Adverbs ฝึกให้ครอบคลุมทั้งหมดค่ะ ซื้อพวกหนังสือติวสอบเอนท์ของเด็กม.6 มาทำเยอะๆก็ช่วยได้ค่ะ
พาร์ทสองเนี่ย วัดความเร็วในการอ่านมากค่ะ หลายคนทำไม่ทัน จะบอกว่าบางครั้งการสแกนคำถามก่อนช่วยค่ะ เพราะว่าเค้าจะให้textที่ยาวๆมาหลอกเรา ให้เราอ่านคำถามก่อนล่ะค่อยไปหาคำตอบในเรื่องก็พอช่วยได้ค่ะ แต่สำหรับเราเราอ่านทั้งหมดค่ะแบบเร็วๆรอบนึง เพราะว่าถ้าเราอ่านจบสักรอบ พอไปเจอโจทย์แล้วเราจะสามารถกลับมาหาว่าคำตอบอยู่ตรงไหนได้เร็วและแม่นยำกว่าค่ะ แต่สำหรับพวกตารางที่มีข้อมูลเยอะๆ บางทีอ่านโจทย์ก่อนจะดีกว่าค่ะเพราะถึงเราอ่านไปเราก็จำไม่ไ่ด้อยู่ดีกว่าข้อมูลมีอะไรบ้าง และจะทำให้เสียเวลาค่ะ
7) The last suggestion from me would be to encourage everyone to work hard. I have seen a lot of people giving up before they could achieve their goals. When you feel like you want to give up on English, please try another way. Try another method that may suit you more. Make English enjoyable for you. Now there are lots of media available for you at affordable price or even free of charge. Ask your friends to set the goal and improve your skills together. Be confident. Just speak out!
สำหรับข้อสุดท้ายนี้ เราอยากแนะนำให้ทุกคนตั้งใจค่ะ เพราะว่าเราเห็นหลายคนที่ตอนแรกดูจะมีไฟค่ะแต่ตอนหลังก็แผ่วลงจนมอดไป เวลาที่เราท้อๆเนี่ย อยากให้ทุกคนรู้สึกenjoyกับภาษาอังกฤษมากกว่า อย่าไปตั้งแง่ว่ามันยาก เพราะถ้าคิดงั้นมันจะปิดกั้นตัวเราจากการเรียนรู้ ให้มองหาทางที่เราจะสนุกกับมันได้มากที่สุด ตอนนี้สื่อการสอน สื่อออนไลน์ หนังสือต่างๆหาได้ทั่วไป ราคาไม่แพงมากหรือแม้กระทั่งฟรี รายการทีวี หนังสนุกๆก็มีมากมาย พยายามหาเพื่อนที่เค้าอยากจะเก่งไปกับเราแล้วฝึกด้วยกันก็ได้ค่ะ กล้าๆหน่อยค่ะ พูดออกไปเล้ยย
มีปัญหาอยากปรึกษาเรื่องภาษาอังกฤษถามด้านล่างหรือหลังไมค์มาได้นะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนประสบความสำเร็จและโชคดีกันทุกคนค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้