#เพลิงนรก ตาสวรรค์ ใต้ผืนไตรงามผู้ใดหยั่งรู้# ตอนที่ ๒ ฉันไม่รับเงิน (พระไตรปิฎก)


#เพลิงนรก ตาสวรรค์ ใต้ผืนไตรงามผู้ใดหยั่งรู้# ตอนที่ ๒ เงินและทอง หายนะอันเศร้าหมอง

เรื่องเคยเกิดมีมาแล้วเมื่อครั้งนั้นท่านพระยสกากัณฑกบุตรเที่ยวจาริกในวัชชีชนบทถึงพระนครเวสาลี ข่าวว่า ท่านพระยสกากัณฑกบุตรพักอยู่ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวันเขตพระนครเวสาลีนั้น

ครานั้นในวันอุโบสถหรือวันพระ พระภิกษุวัชชีบุตร(ชื่อพระสงฆ์)ซึ่งเป็นชาวเมืองเวสาลีได้ยกถาดทองสัมฤทธิ์ตั้งไว้ในท่ามกล่างสงฆ์ ก่อนกล่าวแนะนำอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายว่า

“ท่านทั้งหลายจงถวายเงินและทอง จะกหาปณะหนึ่ บาทหนึ่ง มาสกหนึ่งก็ได้ สงฆ์ย่อมมีกิจอันพึงกระทำด้วยสิ่งเหล่านั้น”
*กหาปณะ บาท มาสก คือหน่วยเงินอินเดียในสมัยนั้น

แต่เมื่อภิกษุวัชชีบุตรกล่าวเช่นนั้น ท่านพระยสกากัณฑบุตรจึงกล่าวแย้งว่า

“ท่านทั้งหลายอย่าได้ถวายเงินแก่สงฆ์ จะกหาปณะหนึ่งก็ตาม กึ่งกหาปณะก็ตาม บาทหนึ่งก็ตาม มาสกหนึ่งก็ตาม ทองและเงินไม่ควรแก่สมณะ*พระสมณะภิกษุทั้งหลายไม่ยินดีทองและเงิน พระภิกษุไม่รับทองและเงิน พระภิกษุ มีแก้ว(อัญมณี)และทองวางเสียแล้ว ปราศจากทองและเงิน”

แต่แม้ท่านพระยสกากัณฑบุตรกล่าวถึงเพียงนี้แล้ว บรรดาอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายกลับยังขืนถวายเงินให้แก่สงฆ์กันมากบ้างน้อยบ้าง

เมื่อผ่านราตรีนั้นไป พวกพระวัชชีบุตรจึงทำการจัดสรรแบ่งส่วนกองเงินตามจำนวนภิกษุและมอบส่วนหนึ่งอันเป็นส่วนแห่งท่านพระยสกากัณฑบุตรให้ หากแต่กลับได้รับคำตอบกลับมาว่า

“ฉันไม่มีส่วนในเงินฉันไม่ยินดีเงิน”

พวกพระวัชชีบุตรจึงพากันติโทษท่านพระยสกากัณฑบุตรว่า พระยสกากัณฑกบุตรนี้ ด่า บริภาษ อุบาสกอุบาสิกา ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ทำให้เขาไม่เลื่อมใส จากนั้นจึงพากันลงโทษในแบบของสงฆ์

ท่านพระยสกากัณฑกบุตรจึงขอให้ตั้งพระอนุฑูต(ผู้เป็นตัวแทน) ขึ้นและพาท่านกลับไปหาเหล่าอุบาสกอุบาสิกาเพื่อชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้น

ครั้นเมื่อพระภิกษุทั้งหลายตลอดถึงอุบาสกอุบาสิกามาพร้อมหน้ากันแล้ว ท่านพระยสกากัณฑกบุตรจึงกล่าวว่า

“อาตมาเป็นผู้กล่าวสิ่งไม่เป็นธรรม ว่าไม่เป็นธรรม สิ่งเป็นธรรม ว่าเป็นธรรม สิ่งไม่เป็นวินัยว่าไม่เป็นวินัย สิ่งเป็นวินัย เมื่อยามนี้มีผู้กล่าวว่าอาตมา ด่า บริภาษท่านอุบาสกอุบาสิกา ทำผู้มีจิตเลื่อมใสให้ไม่เลื่อมใส เช่นนั้นอาตมาจักแสดงสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงเคยแสดงไว้ดังนี้”

จากนั้น พระยสกากัณฑกบุตรกล่าวต่อไปว่า

“ท่านทั้งหลาย สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระจันทร์พระอาทิตย์เศร้าหมอง เพราะเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการนี้ จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง เครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

๑. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง คือ หมอกจึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง
๒. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง คือ น้ำค้างจึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง
๓. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง คือ
ละอองควัน จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง
๔. พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง คืออสุรินทราหู จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระจันทร์ พระอาทิตย์ เศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการนี้แล จึงไม่แผดแสง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ*ย่อมเศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการนี้ จึงไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์ เครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการ เป็นไฉน

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ดื่มสุรา ดื่มเมรัย
ไม่งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่หนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
๒. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเสพเมถุนธรรม ไม่งดเว้นจากเมถุนธรรม นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สอง ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
๓. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งยินดีทองและเงิน ไม่งดเว้นจากการรับทองและเงิน นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สาม ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
๔. อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพ* ไม่งดเว้นจากมิจฉาชีพ นี้เป็นเครื่องเศร้าหมองของสมณพราหมณ์ข้อที่สี่ ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์
*มิจฉาชีพ คือการเป็นหมอดูทำนายทายทักดวงชะตา การเป่ามนต์ ลงคาถาอาคม เป็นหมอรักษาโรคต่างๆหรือประกอบกิจการธุระทั้งหลายอันเป็นของฆราวาสมิใช่ของพระภิกษุผู้พึงปฏิบัติสมณธรรมเพื่อความพ้นวัฏฏะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมองเพราะเครื่องเศร้าหมอง ๔ ประการนี้แล จึงไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่ไพโรจน์ ฉันนั้น

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้ ครั้นแล้วพระสุคตผู้ศาสดาได้ตรัสประพันธคาถา
มีเนื้อความ ว่าดังนี้

สมณพราหมณ์เศร้าหมอง เพราะราคะและโทสะ เป็นคนอันอวิชชาหุ้มห่อเพลิดเพลิน รูปที่น่ารัก เป็นคนไม่รู้ พวกหนึ่ง

ดื่มสุราเมรัย พวกหนึ่ง
เสพเมถุน พวกหนึ่ง
ยินดีเงินและทองพวกหนึ่ง
เป็นอยู่โดยมิจฉาชีพพวกหนึ่ง

เครื่องเศร้าหมองเหล่านี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสว่า เป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์ มีกิเลสธุลีดุจมฤค ถูกความมืดรัดรึง เป็นทาสตัณหา พร้อมด้วยกิเลส เครื่องนำไปสู่ภพ ย่อมเพิ่มพูนสถานทิ้งซากศพให้มาก ย่อมถือเอาภพใหม่ต่อไป”


***************************************
เหตุการณืนี้คาดว่าน่าจะเกิดก่อนพระผู้มีพระภาคจะทรงบัญญัติศีลห้ามภิกษุรับเงินและทอง ซึ่งมีอยู่ในพระวินัย ศีล 227 ข้อของภิกษุเรื่องห้ามรับเงินและทอง ซึ่งจะมีกล่าวในตอนต่อไป


เรื่องพระยสกากัณฑกบุตร เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
ขอเชิญอ่านบทเต็มได้ที่ http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=7675&Z=7709

ขอเชิญอ่าน "เพลิงนรก ตาสวรรค์ ใต้ผืนไตรงามผู้ใดหยั่งรู้" ตั้งแต่ตอนที่ ๑ ได้ที่ http://toncoon.com/community/index.php?topic=2008.0

ขออนุโมทนาสามารถเผยแผ่เป็นธรรมทานได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
ขอสงวนสิทธิ์ในการจัดจำหน่าย

**********************************
ขอให้ทั้งหลายเจริญในธรรม มีธรรมเป็นที่ไป มีธรรมดำเนินไป มีธรรมนำทางไป
บุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงขอจงถึงแก่ อ.พ่อพันธุม คุณแม่เสาวลักษณ์ ตลอดถึงบิดามารดาครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ผู้ถูกเบียดเบียนของข้าพเจ้าและทุกท่านที่ศึกษาพระธรรมร่วมกัน ขอพวกเราทั้งหลายจงเจริญแต่กุศลปิดหนทางอบาย ได้เวียนว่ายเพียงในเฉพาะสุคติภูมิ ไม่พบเจอกับทุคติวินิบาตนรกอีกตลอดทุกภพทุกชาติตราบถึงวันแห่งพระนิพพานด้วยเทอญ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่