สวัสดีค่ะ สมาชิกเวปพันทิพทุกท่าน ดิฉันมีเรื่องกังวลใจอยากจะปรึกษา เพราะดิฉันไม่ค่อยสบายใจเลยค่ะที่จะต้องมีเรื่องกับตำรวจ
ดิฉันเป็นครูสอนภาษาเยอรมันอยู่ที่อำเภอหนึ่งในจังหวัดประจวบฯ ก่อนที่ดิฉันจะเปิดสอนเองดิฉันได้เคยทำงานเป็นครูสอนภาษา
ให้กับโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งในอำเภอเดียวกันนี้หนึ่งปีแต่ดิฉันไม่ได้จบการศึกษาวิชาชีพครูมาโดยตรง แต่มีความรู้ด้านภาษาเยอรมัน
เพราะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศมา หลังจากทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์การสอนในโรงเรียนอยู่หนึ่งปี จากนั้นดิฉันได้ลาออกและวิ่งสอนเองตามบ้านนักเรียน จนนักเรียนเริ่มมากขึ้น ดิฉันจึงได้เช่าบ้านเพื่อเปิดสอนภาษาของตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องวิ่งไปมา ตัวดิฉันเองตั้งใจจะเปิดโรงเรียนสอนภาษาของตัวเองให้ถูกต้องตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ จึงได้โทรไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่สำนักงานการศึกษาเขต ท่านได้บอกว่า ไม่เป็นไร ถ้า ในคลาสหนึ่งมีนักเรียนไม่เกิน7คน และเราสอนแค่คนเดียว จะเปิดทำไม ดิฉันจึงเปิดสอนแต่ละครั้งรับนักเรียนไม่เกิน6คน แต่คลาสก็ไม่ได้ใหญ่มากค่ะ บางครั้งก็สองคน หรือสามคน แทบจะไม่ถึง6คนต่อคลาสเลย
ดิฉันสอนมาเงี่ยบๆแบบนี้ได้หลายปีไม่เคยมีปัญหากับใครหรือลูกศิษย์คนไหนเลย ลูกศิษย์ทุกคนสอบภาษาผ่านและได้ไปอยู่เมืองนอกมากมาย จนกระทั่งเมื่อสองเดือนก่อน ดิฉันได้รับนักเรียนใหม่มาหนึ่งคน ผู้หญิงคนนี้ทำงานเป็นอาสาสมัครกู้ภัยให้กับมูลนิธิแห่งหนึ่งในอำเภอที่ดิฉันสอนอยู่ และรู้จักกับตำรวจท่องเที่ยวที่นี่ ตอนแรกที่ผู้หญิงคนนี้ได้เข้ามาคุย ดิฉันก็ได้บอกตามปกติเหมือนที่คุยกับนักเรียนคนอื่นว่า เรียนจบสามคอร์ส 60 ชั่วโมง ถ้าอยากไปสอบก็ต้องติวอีก20 ชั่วโมงแต่ไม่บังคับ ถ้าคุณมั่นใจว่าอ่านเอง แล้วไปสอบได้ ก็ไม่ต้องติว หนังสือราคาเท่านี้....รวมกับค่าเรียนราคาเท่านี้... ซึ่งนักเรียนของดิฉันทุกคนต้องซื้อหมดดิฉันก็แจ้งไปตามปรกติค่ะ
แต่พอเรียนไปได้สองคอร์ส 40 ั่วโมง นักเรียนคนนี้ก็ไปเยอรมันกลับมาก็มาเรียนต่อคอร์สที่สาม พอนักเรียนคนนี้เรียนไปได้สี่ชั่วโมงก็บอกว่าจะไปสอบเลย ซึ่งดิฉันดูแล้วว่าสอบไม่ผ่านแน่ๆ เพราะเรียนอ่อนมาก
จึงบอกว่าไม่ติวก่อนล่ะ จะได้ผ่านแน่ๆ
แต่นักเรียนคนนี้กลับโกรธหาว่าดิฉันผิดข้อตกลง บอกว่าดิฉันไม่เคยพูดเรื่องติวสอบเลย เคยบอกจะให้หนังสือฟรีด้วยแล้วก็ไม่ให้ฟรี
เรียนเสร็จ 60ชั่วโมงแล้วไปสอบได้เลย ดิฉันบอกว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะหนังสือมาจากเยอรมัน ทุกคนต้องซื้อหมดจะแจกฟรีได้ยังไง
ส่วนเรื่องติว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่แจ้งเพราะ นี่คือหัวใจสำคัญในการสอบ ดิฉันได้แจ้งไปแล้ว แต่เขาบอกว่า
ดิฉันไม่เคยพูด ดิฉันผิดข้อตกลง แต่จะเอาผิดกับดิฉันคงไม่ได้เพราะไม่มีลายลักษณ์อักษร ดิฉันพยายามหาทางออกให้ปัญหา เพราะได้ชื่อว่าเป็นครูกับศิษย์ และไม่อยากทะเลาะกัน จึงบอกเขาว่า ถ้าไม่สะดวกใจที่จะเรียนต่อกับครู ครูจะคืนเงินค่าคอร์สสุดท้ายให้ทั้งหมด พร้อมกับแถมสี่ชั่วโมงสุดท้ายที่เรียนมาให้ด้วย ผู้หญิงคนนี้มีเพื่อนเป็นตำรวจท่องเที่ยว และเคยพูดกับดิฉันเสมอว่ามีอะไรให้บอกเพราะมีเพื่อนเป็นตำรวจท่องเที่ยว
แต่ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร หลังจากดิฉันคืนเงินให้ ประมาณหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นได้มีตำรวจท่องเที่ยว พร้อมกับตำรวจในเครื่องแบบอีกสองคนและนอกเครื่องแบบอีกสองคนรวมเป็น5 คนมาหาดิฉันที่ดิฉันสอนหนังสือ ตอนนั้นดิฉันอยู่กับน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่สนิทกัน ตำรวจมาไม่ได้มีหมายค้นใดๆทั้งสิ้น
บอกว่า เราได้รับแจ้งว่าคุณสอนโดยไม่มีใบอนุญาติเปิดโรงเรียน ขอดูใบอนุญาติหน่อย ดิฉัยเลยบอกว่าที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนนะคะ เพราะที่นี่สอนไม่เยอะ ดิฉันได้คุยกับเจ้าหน้าที่สำนักงานศึกษาเขตแล้ว ไม่ผิดนะคะ ดิฉันได้บอกตำรวจไป
ตำรวจท่องเที่ยว: คุณมีใบประกาศอะไรในการสอน คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณสอนถูกต้อง เอาใบประกาศมาดูสิ
ดิฉัน: ใบประกาศมีค่ะคุณตำรวจ แต่เพราะไม่เคยมีใครมาขอดูเลยดิฉันจึงไม่ได้เอาไว้ที่นี่ เอามาให้ดูได้นะคะ
ตำรวจท่องเที่ยว: เอาบัตรประชาชนคุณมาดูสิ
ดิฉัน: ขอโทษนะคะคุณตำรวจ ดิฉันไม่สะดวกใจที่จะให้ดูค่ะ เพราะเป็นของส่วนบุคคล
ตำรวจในเครืองแบบ: (พูดเสียงดังพร้อมกับขู่) คุณไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจนะเนี่ย ผมเอาผิดคุณได้นะในฐานะที่คุณไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ
ดิฉัน: หยิบบัตรประชาชนให้ดู
ตำรวจท่องเที่ยว: ถ่ายรูปบัตรประชาชนของดิฉันไป
ตำรวจในชุดเครื่องแบบหยิบบัตรประชาชนของดิฉันมาดูพร้อมกับพูดว่า อ้อคุณอยู่ที่นี่เองเหรอ.... มีแฟนเป็นฝรั่งนี่ ประเทศอะไร
ดิฉัน: เงี่ยบและมองตำรวจแบบนิ่งๆ
ตำรวจท่องเที่ยว: มีคนมาแจ้งนะเนี่ยว่าคุณทำไม่ถูกต้อง ผมถึงต้องมาเตือนคุณ แค่คุณขึ้นป้ายก็ผิดแล้ว
ดิฉันขายประกันด้วยจึงขึ้นป้ายออฟฟิศประกันและใส่ชื่อที่สอนภาษาในป้ายเดียวกันด้วย ซึ่งดิฉันไม่รู้จริงๆค่ะว่าห้ามขึ้นป้าย
ดิฉัน: ขอบคุณนะคะุคุณตำรวจ ที่มาเตือนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดิฉันจะเอาป้ายลงทันทีค่ะ
ตำรวจในเครื่องแบบ: แค่คุณเอาป้ายลงไม่ใช่มันจะจบนะ (มองด้วยสายตาแบบมีเลศนัย)
ดิฉัน: มองตอบนิ่งๆ แล้วพูดว่า ขอบคุณมากนะคะคุณตำรวจที่มาเตือน สวัสดีค่ะ
จากนั้นดิฉันได้เดินทางมาต่างประเทศแต่ก็ได้สอบถามเพื่อนบ้านว่าเห็นตำรวจมาด้อมๆมองๆที่บ้านหรือไม่
ปรากฏว่ามีตำรวจมาสองครั้ง และพาเพื่อนมาเยอะมาก แต่ดิฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะอยู่เมืองนอก หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นดิฉันได้ติดต่อกับการศึกษาเขต
เพื่อจะเปิดโรงเรียนสอนภาษาให้ถูกต้องเพราะดิฉันไม่อยากให้ตำรวจพวกนั้นมารบกวนอีกในขณะที่รอใบอนุญาติดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ ถ้าตำรจพวกนั้นมาก่อกวนอีก ตอนนี้ดิฉันเอาป้ายชื่อที่สอนลงแล้ว แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจถึงจะรู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ก็กลัวเขาจะมาแกล้งเราค่ะ
ดิฉันควรจะทำยังไงดีคะในช่วงรอใบอนุญาติเปิดโรงเรียน ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นค่ะ
ถ้าโดนตำรวจมาขู่จะทำไงดีคะ
ดิฉันเป็นครูสอนภาษาเยอรมันอยู่ที่อำเภอหนึ่งในจังหวัดประจวบฯ ก่อนที่ดิฉันจะเปิดสอนเองดิฉันได้เคยทำงานเป็นครูสอนภาษา
ให้กับโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งในอำเภอเดียวกันนี้หนึ่งปีแต่ดิฉันไม่ได้จบการศึกษาวิชาชีพครูมาโดยตรง แต่มีความรู้ด้านภาษาเยอรมัน
เพราะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศมา หลังจากทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์การสอนในโรงเรียนอยู่หนึ่งปี จากนั้นดิฉันได้ลาออกและวิ่งสอนเองตามบ้านนักเรียน จนนักเรียนเริ่มมากขึ้น ดิฉันจึงได้เช่าบ้านเพื่อเปิดสอนภาษาของตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องวิ่งไปมา ตัวดิฉันเองตั้งใจจะเปิดโรงเรียนสอนภาษาของตัวเองให้ถูกต้องตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ จึงได้โทรไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่สำนักงานการศึกษาเขต ท่านได้บอกว่า ไม่เป็นไร ถ้า ในคลาสหนึ่งมีนักเรียนไม่เกิน7คน และเราสอนแค่คนเดียว จะเปิดทำไม ดิฉันจึงเปิดสอนแต่ละครั้งรับนักเรียนไม่เกิน6คน แต่คลาสก็ไม่ได้ใหญ่มากค่ะ บางครั้งก็สองคน หรือสามคน แทบจะไม่ถึง6คนต่อคลาสเลย
ดิฉันสอนมาเงี่ยบๆแบบนี้ได้หลายปีไม่เคยมีปัญหากับใครหรือลูกศิษย์คนไหนเลย ลูกศิษย์ทุกคนสอบภาษาผ่านและได้ไปอยู่เมืองนอกมากมาย จนกระทั่งเมื่อสองเดือนก่อน ดิฉันได้รับนักเรียนใหม่มาหนึ่งคน ผู้หญิงคนนี้ทำงานเป็นอาสาสมัครกู้ภัยให้กับมูลนิธิแห่งหนึ่งในอำเภอที่ดิฉันสอนอยู่ และรู้จักกับตำรวจท่องเที่ยวที่นี่ ตอนแรกที่ผู้หญิงคนนี้ได้เข้ามาคุย ดิฉันก็ได้บอกตามปกติเหมือนที่คุยกับนักเรียนคนอื่นว่า เรียนจบสามคอร์ส 60 ชั่วโมง ถ้าอยากไปสอบก็ต้องติวอีก20 ชั่วโมงแต่ไม่บังคับ ถ้าคุณมั่นใจว่าอ่านเอง แล้วไปสอบได้ ก็ไม่ต้องติว หนังสือราคาเท่านี้....รวมกับค่าเรียนราคาเท่านี้... ซึ่งนักเรียนของดิฉันทุกคนต้องซื้อหมดดิฉันก็แจ้งไปตามปรกติค่ะ
แต่พอเรียนไปได้สองคอร์ส 40 ั่วโมง นักเรียนคนนี้ก็ไปเยอรมันกลับมาก็มาเรียนต่อคอร์สที่สาม พอนักเรียนคนนี้เรียนไปได้สี่ชั่วโมงก็บอกว่าจะไปสอบเลย ซึ่งดิฉันดูแล้วว่าสอบไม่ผ่านแน่ๆ เพราะเรียนอ่อนมาก
จึงบอกว่าไม่ติวก่อนล่ะ จะได้ผ่านแน่ๆ
แต่นักเรียนคนนี้กลับโกรธหาว่าดิฉันผิดข้อตกลง บอกว่าดิฉันไม่เคยพูดเรื่องติวสอบเลย เคยบอกจะให้หนังสือฟรีด้วยแล้วก็ไม่ให้ฟรี
เรียนเสร็จ 60ชั่วโมงแล้วไปสอบได้เลย ดิฉันบอกว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะหนังสือมาจากเยอรมัน ทุกคนต้องซื้อหมดจะแจกฟรีได้ยังไง
ส่วนเรื่องติว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่แจ้งเพราะ นี่คือหัวใจสำคัญในการสอบ ดิฉันได้แจ้งไปแล้ว แต่เขาบอกว่า
ดิฉันไม่เคยพูด ดิฉันผิดข้อตกลง แต่จะเอาผิดกับดิฉันคงไม่ได้เพราะไม่มีลายลักษณ์อักษร ดิฉันพยายามหาทางออกให้ปัญหา เพราะได้ชื่อว่าเป็นครูกับศิษย์ และไม่อยากทะเลาะกัน จึงบอกเขาว่า ถ้าไม่สะดวกใจที่จะเรียนต่อกับครู ครูจะคืนเงินค่าคอร์สสุดท้ายให้ทั้งหมด พร้อมกับแถมสี่ชั่วโมงสุดท้ายที่เรียนมาให้ด้วย ผู้หญิงคนนี้มีเพื่อนเป็นตำรวจท่องเที่ยว และเคยพูดกับดิฉันเสมอว่ามีอะไรให้บอกเพราะมีเพื่อนเป็นตำรวจท่องเที่ยว
แต่ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร หลังจากดิฉันคืนเงินให้ ประมาณหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นได้มีตำรวจท่องเที่ยว พร้อมกับตำรวจในเครื่องแบบอีกสองคนและนอกเครื่องแบบอีกสองคนรวมเป็น5 คนมาหาดิฉันที่ดิฉันสอนหนังสือ ตอนนั้นดิฉันอยู่กับน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่สนิทกัน ตำรวจมาไม่ได้มีหมายค้นใดๆทั้งสิ้น
บอกว่า เราได้รับแจ้งว่าคุณสอนโดยไม่มีใบอนุญาติเปิดโรงเรียน ขอดูใบอนุญาติหน่อย ดิฉัยเลยบอกว่าที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนนะคะ เพราะที่นี่สอนไม่เยอะ ดิฉันได้คุยกับเจ้าหน้าที่สำนักงานศึกษาเขตแล้ว ไม่ผิดนะคะ ดิฉันได้บอกตำรวจไป
ตำรวจท่องเที่ยว: คุณมีใบประกาศอะไรในการสอน คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณสอนถูกต้อง เอาใบประกาศมาดูสิ
ดิฉัน: ใบประกาศมีค่ะคุณตำรวจ แต่เพราะไม่เคยมีใครมาขอดูเลยดิฉันจึงไม่ได้เอาไว้ที่นี่ เอามาให้ดูได้นะคะ
ตำรวจท่องเที่ยว: เอาบัตรประชาชนคุณมาดูสิ
ดิฉัน: ขอโทษนะคะคุณตำรวจ ดิฉันไม่สะดวกใจที่จะให้ดูค่ะ เพราะเป็นของส่วนบุคคล
ตำรวจในเครืองแบบ: (พูดเสียงดังพร้อมกับขู่) คุณไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจนะเนี่ย ผมเอาผิดคุณได้นะในฐานะที่คุณไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ
ดิฉัน: หยิบบัตรประชาชนให้ดู
ตำรวจท่องเที่ยว: ถ่ายรูปบัตรประชาชนของดิฉันไป
ตำรวจในชุดเครื่องแบบหยิบบัตรประชาชนของดิฉันมาดูพร้อมกับพูดว่า อ้อคุณอยู่ที่นี่เองเหรอ.... มีแฟนเป็นฝรั่งนี่ ประเทศอะไร
ดิฉัน: เงี่ยบและมองตำรวจแบบนิ่งๆ
ตำรวจท่องเที่ยว: มีคนมาแจ้งนะเนี่ยว่าคุณทำไม่ถูกต้อง ผมถึงต้องมาเตือนคุณ แค่คุณขึ้นป้ายก็ผิดแล้ว
ดิฉันขายประกันด้วยจึงขึ้นป้ายออฟฟิศประกันและใส่ชื่อที่สอนภาษาในป้ายเดียวกันด้วย ซึ่งดิฉันไม่รู้จริงๆค่ะว่าห้ามขึ้นป้าย
ดิฉัน: ขอบคุณนะคะุคุณตำรวจ ที่มาเตือนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดิฉันจะเอาป้ายลงทันทีค่ะ
ตำรวจในเครื่องแบบ: แค่คุณเอาป้ายลงไม่ใช่มันจะจบนะ (มองด้วยสายตาแบบมีเลศนัย)
ดิฉัน: มองตอบนิ่งๆ แล้วพูดว่า ขอบคุณมากนะคะคุณตำรวจที่มาเตือน สวัสดีค่ะ
จากนั้นดิฉันได้เดินทางมาต่างประเทศแต่ก็ได้สอบถามเพื่อนบ้านว่าเห็นตำรวจมาด้อมๆมองๆที่บ้านหรือไม่
ปรากฏว่ามีตำรวจมาสองครั้ง และพาเพื่อนมาเยอะมาก แต่ดิฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะอยู่เมืองนอก หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นดิฉันได้ติดต่อกับการศึกษาเขต
เพื่อจะเปิดโรงเรียนสอนภาษาให้ถูกต้องเพราะดิฉันไม่อยากให้ตำรวจพวกนั้นมารบกวนอีกในขณะที่รอใบอนุญาติดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ ถ้าตำรจพวกนั้นมาก่อกวนอีก ตอนนี้ดิฉันเอาป้ายชื่อที่สอนลงแล้ว แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจถึงจะรู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ก็กลัวเขาจะมาแกล้งเราค่ะ
ดิฉันควรจะทำยังไงดีคะในช่วงรอใบอนุญาติเปิดโรงเรียน ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นค่ะ