หากเคยสะดุ้งกันจนตัวโยนด้วยบรรยากาศหนังอย่าง The Witch (2015) หรือเคยสติแตกเพราะ The Exorcist (1973) ก็น่าจะชอบไอ้หนังเฮี้ยนเรื่องนี้ได้ไม่ยาก มันเล่าถึงความพินาศของครอบครัวกราแฮมเมื่อ เอลเลน คุณยายของบ้านตายจาก เหลือลูกสาวอย่าง แอนนี ซึ่งทำอาชีพสร้างงานศิลปะด้วยตุ๊กตาจำลองขนาดจิ๋ว, สตีฟ สามีของเธอ, ปีเตอร์ ลูกชายคนโตและ ชาร์ลี ลูกสาวคนเล็กที่ติดนิสัยเดาะลิ้นอยู่เสมอ
สิ่งหนึ่งที่หนังมันเก่งมากๆ คือการที่มันไม่อนุญาตให้คนดูรู้เรื่องย่อหรือเดาทิศทางอะไรได้เลย (ที่เขียนไปข้างบนนั่นจะบอกว่าเป็นเรื่องย่อก็ยังพูดลำบาก) ดังนั้น ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงสิบนาทีของหนัง มันจึงเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับความไม่รู้เหนือรู้ใต้ของคนดู เราเดาไม่ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง แต่รับรู้ถึงบรรยากาศบิดเบี้ยวและหลอนระห่ำตลอดเวลา หนังมันปล่อยให้คนดูตาบอดใบ้ไปกับเรื่องทางวิทยาศาสตร์ว่าแอนนี -รับบทโคตรจะเฮี้ยนโดย โทนี คอลเล็ตต์- อาจจะป่วยด้วยอาการทางสมองซึ่งเป็นโรคทางกรรมพันธุ์แบบที่แม่ผู้จากไปของเธอก็เป็น หรือไสยศาสตร์อันว่าด้วยมนต์ดำและโลกหลังความตาย
อย่างไรก็ตาม หนังแทบไม่มีจังหวะ jump scare เลยแม้แต่นิด แต่มันค่อยๆ โหมให้เราขนลุกขนชันจนทนดูไม่ไหวด้วยเสียงดนตรีเครื่องสายและการแสดงแบบถวายชีวิตของนักแสดงทุกคน ฉากโคตรโหดซึ่งปรากฏหลายครั้งในเรื่องไม่ได้แพนกล้องไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แช่ภาพไว้กับสีหน้าอันหลากอารมณ์ของตัวละคร กระทั่งการกวาดกล้องที่กระชากเราจากความนิ่งเนิบไปสู่ความหวาดหวั่นก็ทำได้แบบจังหวะโคตรดี ผิดจากนี้อีกนิดอาจไม่หลอนเท่านี้ มันเป็นหนังที่เล่นกับความช้าและความหลอนได้ดีมากๆ เลย กับอีกสิ่งที่ประทับใจมากๆ คือการที่มันเล่นกับแสงเงาในหนัง ระหว่างตัวละคร บ้าน กับโมเดลตัวจิ๋วที่น่าขนลุกขนชัน หลายครั้งหลายคราวหนังทำให้เราเผลอไผลและไม่อาจแยกได้ว่า สิ่งที่เห็นนี้คือบ้านจริงๆ ของตัวละคร หรือเป็นโมเดลของแอนนีกันแน่
จากนี้ไปจะมีส่วนที่สปอล์ยอย่างเลี่ยงไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อย่างที่บอกว่าหนังเล่นกับความไม่รู้ของคนดู การที่ชื่อของคิงเพมอนปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในหนังก็ทำให้งุนงงและปะติดปะต่ออะไรไม่ได้เลย ไม่รู้หนังมันจะมาไม้ไหน แต่เราเชื่อว่ามันกำลังพูดถึงเรื่องเพศหญิงและเพศชายและการปฏิเสธ 'เพศอื่นๆ' ของศาสนาคริสต์ (และอาจจะศาสนาอื่นๆ อีกมากมาย) นับตั้งแต่การที่หนังบอกว่าเพมอนเลือกจะสิงสู่อยู่ในร่างของมนุษย์ผู้ชายเท่านั้น, การที่แอนนีออกตัวว่าเธอเคยเป็นทอมมาก่อน หรือการที่บุคลิกหลายอย่างของเธอจะชวนให้เราเข้าใจว่าเธอมีลักษณะความเป็นผู้หญิงในขนบที่น้อยกว่าที่สังคมคาดหวัง (การใส่แต่กางเกงยีนสบายๆ ผมเผ้าไม่มัด และทำงานช่าง) และลูกสาวคนเล็กที่ถูกตั้งชื่อว่าชาร์ลี (ขณะที่ลุงผู้แขวนคอตายจากไปชื่อว่า ชาร์ลส์) ทั้งยังมีลักษณะทอมบอยนิดๆ เหมือนกับแม่ของเธอ
แอนนีเล่าให้สมาคมบำบัดความเศร้าฟังถึงโศกนาฏกรรมที่แม่ของเธอต้องเผชิญโดยแทบไม่ได้เอ่ยถึงพ่อของเธอเลย สิ่งที่เอลเลนเจอในวัยแรกสาว ไม่เพียงแต่การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่ชีวิตความเป็นแม่ของเธอยังถูกตั้งคำถามเมื่อชาร์ลส์ ลูกชายคนโตต่อว่าเธอว่าเธอนำคนอื่นมาใส่ในร่างเขา (หรือก็คือ เพมอน) และแขวนคอตายเหลือแต่ร่างไว้ให้เธอดูต่างหน้า ตัวลูกสาวอย่างแอนนีเองก็ไม่ลงรอยกันกับเธอ
ความเป็นแม่ยังถูกตั้งคำถามจากหนังอย่างหนักหน่วง เมื่อถึงคราวแอนนีเป็นแม่เสียเองและเธอพูดชัดเจนว่าเธอไม่ได้อยากมีปีเตอร์ ทั้งยังพยายามทำแท้งแต่ไม่ได้ผล ทำให้เราสงสัยว่าแล้วอะไรกันที่ทำให้เธอหยุดการเป็นทอมบอยของเธอไว้ อาจจะการต้องทำหน้าที่ผู้เป็นแม่หรือไม่ก็ด้วยสาเหตุอื่น ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าเศร้าทั้งสิ้น
อันที่จริง อาการทางสมองของเอลแลนผู้เป็นยาย ดูจะตกทอดมาถึงลูกสาวและหลานสาว เมื่อชาร์ลีเองก็เห็นได้ชัดว่ามีอาการผิดปกติบางอย่างทางสมอง ทั้งจากการปฏิเสธจะพูดคุยโดยการมองตา, อาการหมกมุ่นกับของเล่น และการตัดหัวนกพิราบ ซึงดูจะเป็นสาเหตุหลักให้สมาชิกคนอื่นๆ ภายในบ้านของเธอต้องมีชะตากรรมเช่นเดียวกับนกตัวนั้น ด้วยการลงเอยเป็นของเซ่นไหว้ให้กับเพมอน ผู้ไม่ยอมปรากฏตัวหากว่าไม่มีของให้ จนฉากสุดท้ายเราไม่อาจรู้ได้แล้วว่า ข้างในร่างของปีเตอร์นั้นคือปีเตอร์จริงๆ หรือชาร์ลี และย้อนกลับไปยังรุ่นแม่ของพวกเขา ในร่างของลุงชาร์ลส์คือใคร และแอนนีที่ตั้งท้องพวกเขาคือใครกันแน่
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
(SPOILED) Review: Hereditary หนังหลอนที่สุด เฮี้ยนที่สุดของเทศกาลหนังซันแดนซ์
สิ่งหนึ่งที่หนังมันเก่งมากๆ คือการที่มันไม่อนุญาตให้คนดูรู้เรื่องย่อหรือเดาทิศทางอะไรได้เลย (ที่เขียนไปข้างบนนั่นจะบอกว่าเป็นเรื่องย่อก็ยังพูดลำบาก) ดังนั้น ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงสิบนาทีของหนัง มันจึงเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับความไม่รู้เหนือรู้ใต้ของคนดู เราเดาไม่ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง แต่รับรู้ถึงบรรยากาศบิดเบี้ยวและหลอนระห่ำตลอดเวลา หนังมันปล่อยให้คนดูตาบอดใบ้ไปกับเรื่องทางวิทยาศาสตร์ว่าแอนนี -รับบทโคตรจะเฮี้ยนโดย โทนี คอลเล็ตต์- อาจจะป่วยด้วยอาการทางสมองซึ่งเป็นโรคทางกรรมพันธุ์แบบที่แม่ผู้จากไปของเธอก็เป็น หรือไสยศาสตร์อันว่าด้วยมนต์ดำและโลกหลังความตาย
อย่างไรก็ตาม หนังแทบไม่มีจังหวะ jump scare เลยแม้แต่นิด แต่มันค่อยๆ โหมให้เราขนลุกขนชันจนทนดูไม่ไหวด้วยเสียงดนตรีเครื่องสายและการแสดงแบบถวายชีวิตของนักแสดงทุกคน ฉากโคตรโหดซึ่งปรากฏหลายครั้งในเรื่องไม่ได้แพนกล้องไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แช่ภาพไว้กับสีหน้าอันหลากอารมณ์ของตัวละคร กระทั่งการกวาดกล้องที่กระชากเราจากความนิ่งเนิบไปสู่ความหวาดหวั่นก็ทำได้แบบจังหวะโคตรดี ผิดจากนี้อีกนิดอาจไม่หลอนเท่านี้ มันเป็นหนังที่เล่นกับความช้าและความหลอนได้ดีมากๆ เลย กับอีกสิ่งที่ประทับใจมากๆ คือการที่มันเล่นกับแสงเงาในหนัง ระหว่างตัวละคร บ้าน กับโมเดลตัวจิ๋วที่น่าขนลุกขนชัน หลายครั้งหลายคราวหนังทำให้เราเผลอไผลและไม่อาจแยกได้ว่า สิ่งที่เห็นนี้คือบ้านจริงๆ ของตัวละคร หรือเป็นโมเดลของแอนนีกันแน่
จากนี้ไปจะมีส่วนที่สปอล์ยอย่างเลี่ยงไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/