สวัสดีค่ะ แนะนำตัวกันก่อนเนอะ เราชื่อแป้งค่ะ อายุ 30 ปี
หน้าที่การงานอยู่ในระดับดี จบการศึกษาป.โท มีพ่อแม่และน้องสาวที่น่ารัก
อ่านดูแล้วไม่น่าจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยใช่ไหมคะ
Part 1 เกริ่น
เรื่องเกิดประมาณช่วงนี้ของปีที่แล้ว เราเลิกกับแฟนค่ะ แฟนที่คบมาสองปีกว่า
ตอนแรกตัวเองก็คินะ เออ เราแค่เสียใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาแหละของคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนจะเป็นแบบนี้
ช่วงนั้นอาการคือ ร้องไห้ทุกวัน นอนไม่หลับ รู้สึกเหนื่อย เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ คิดวนๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น
อะไรที่เคยชอบทำไม่อยากทำ อยากกลับบ้านมานอนเฉยๆ
ตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองปกติอยู่นะคงแค่เสียใจ เดี๋ยวก็ดีขึ้น ช่วงนั้นก็ยังร้องไห้ทุกวันเหมือนเดิม ช่วงที่พีคที่สุดน่าคือ 3 วันนอนไปประมาณ 9 ชม. ร่างกายก็เริ่มแย่ แต่ไม่ได้อยากตายนะ แต่แค่ไม่อยากอยู่ เริ่มมีความคิดที่ว่าขับรถๆอยู่หักรถลงสะพานไปเลยดีไม๊ ช่วงนั้นเริ่มไม่สามารถควบคุมความคิดตัวเองที่ว่าไม่อยากอยู่แล้ว ตรรกะที่เคยมีทั้งหลายเริ่มพังเริ่มไม่รักตัวเองไม่คิดถึงคนข้างหลัง หงุดหงิดใส่คนในครอบครัว ไม่ค่อยคุยเหมือนแต่ก่อน ปกติเป็นคนสนิทกับครอบครัวค่ะ แต่ช่วงนั้นคือแบบคุยน้อยมาก ด้วยความเพื่อนน้อยเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กับใครก็เก็บๆไว้เป็นเกือบๆเดือนได้ จนได้มาคุยกับคนๆนึง เค้าก็แนะนำเราให้ไปหาหมอ เราก็เฮ้ย เราไม่ได้เป็นไร แค่รู้สึกเสียใจเฉยๆ แต่สุดท้ายก็ยอมไปหาหมอจนได้ เพราะเรื่มรู้สึกว่าอาการที่เป็นอยู่เริ่มมีผลกระทบกับการทำงาน (นอนน้อย เบลอ ซึม ไม่มีสมาธิทำงาน เริ่มหยุดงานบ่อย) อยากได้ยานอนหลับ คิดว่าถ้านอนหลับได้ชีวิตก็จะดีขึ้นอะไรแบบนี้
Part 2 ไปหาหมอ
เพิ่งรู้ว่าการนัดเข้าเจอจิตแพทย์ต้องโทรนัดก่อน เดินดุ่มๆเข้าไปเจอเลยไม่ได้ ก็นัดหมอที่ รพ เอกชนแห่งหนึ่งใกล้บ้าน เราก็แจ้งหมอไปว่า เรามีอาการนอนไม่หลับ อยากได้ยาที่ช่วยนอนหลับ หมอเค้าก็ชวนคุยทั่วไปมีอาการยังไง เกิดอะไรขึ้นถึงนอนไม่หลับ หมอก็ชวนคุยกับเราไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาน ชม 1 พร้อมคำวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า และก็เป็นมาพักใหญ่ๆแล้ว น่าจะเป็นก่อนที่เลิกกับแฟนอีก คือตอนอยู่กับแฟนเหมือนกดดันตัวเองให้ต้องทำดี เรื่องที่ไม่ควรปล่อยผ่านก็ปล่อยผ่าน เป็นคนดีจนเกินไป 55 รักคนอื่นมากกว่ารักตัวเองงี้ แต่พอเลิกกันอาการมันก็ถูกกระตุ้นให้หนักขึ้นมาเพราะว่าคาดหวังไว้เยอะ กลายเป็นโทษตัวเองไปอีกว่ายังทำดีไม่พอ ไช่วงนั้นก็จะวนลูปกับความคิดนี้ วันนั้นจำได้ว่าตอนเดินออกจากห้องตรวจร้องไห้จนตาบวมหนักมาก แต่กลับจำไม่ได้ว่าเล่าอะไรให้หมอฟัง แล้วก็ได้ยากลับมาสองตัว เป็นยาต้านเศร้า กับยานอนหลับ อีกสองอาทิตย์มาดูกันใหม่ว่าต้องเปลี่ยนยา ปรับยายังไงได้บ้าง
Part 3 ศรีธัญญาที่รัก
หลังจากที่เราเข้าไปรักษาตัวที่ รพ เอกชน ได้เกือบสองเดือน แต่โรคเนี้ยมันต้องอาศัยการกินยาและหาหมออย่างต่อเนื่อง เราโดนไปอาทิตย์ละ 1000-2000 ซึ่งมันแพงมากเลยไม่ไหว พอไม่ไหวก็หยุดยา พอหยุดยาก็ดาวน์อีก เลยค้นหารพจิตเวชของรัฐ ซึ่งแถวๆบ้านก็มีที่ศรีธัญญาใกล้สุด เลยลองไปดู
ตอนไปไปคนเดียวด้วยนะ คือยืนอยู่หน้า รพ. นานมากกก คือ เราควรจะเข้าไปดีหรอ จริงๆเราไม่ได้ป่วยหรือเปล่า
สิ่งที่คิดไว้ในหัวคือ รพ.บ้า ที่มีคนไข้โดนมัดแขน บ้าๆ บอๆ เต็ม รพ.
สิ่งที่เป็นจริง คือ รพ.อะ รพ.แบบเงียบๆ เหมือน รพ. ทั่วๆไป พยาบาล เจ้าหน้าที่ หมอดีมากกก
วันแรกที่เข้าไป ก็เข้าไปทำประวัติ ก็จะมีพยาบาลมาคัดกรองก่อนว่าเป็นอะไรมา จากนั้นก็ส่งเราไปทำบัตรคนไข้ ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน
รอเรียกเพื่อคัดกรองอีกที จากนั้นก็ไปคุยกับนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเป็นการคุยแบบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรามาบ้าง เพื่อให้หมอง่ายต่อการวินิจฉัย จากนั้นก็รอคิวเข้าพบคุยกับคุณหมอ แล้วก็รับยากลับบ้าน
ประมาณนี้ ซึ่งค่ายาถูกมากๆ อาทิตย์ละ 80 หรือ ตกเดือนละ 300 กว่าบาท !!
ช่วงเดือนแรกๆของการปรับยาค่อนข้างจะวาไรตี้มาก 555 คือสารเคมีมันเหวี่ยงไป เหวี่ยงมาไง มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย นอนไม่หลับ จิตตก นอย ร้องไห้ จนต้องไปหาหมอทุกอาทิตย์ แล้วหมอจะให้แอดมิดที่ศรีธัญญา (คือไปอ่านรีวิวของคนที่โดนแอดมิดคือน่ากลัวมาก ตอนนั้นคือแบบยอมตายแต่ชั้นจะไม่ขอแอดมิดเด็ดขาด 55) และมีข่าวดีคือเป็นซึมเศร้า+ไบโพล่าห์จ้า 555 พอสี่เดือนผ่านไปเริ่มดีขึ้น หมอนัดรับยาทุกเดือน ก็กินยาวนไป
ปล. ช่วงนี้เป็นช่วงปรับยาไปมา จาก นน 60 นน ขึ้นมา 20 โล เป็น 80 เลยจ้า เป็นเอฟเฟคจากยาที่กิน 55+
ปัจจุบัน
ตอนนี้ย้ายมารักษาที่รพ.ของประกันสังคมแล้วค่ะ และมียาที่ต้องกิน 4 ตัว Fulox 2 เม็ดตอนเช้า // Licarb 1 เม็ด Quantia 1 เม็ด Lorazepam 1 เม็ด ค่ะ
เราทานยามาได้เกือบปีแล้ว ช่วงนี้ไม่มีอาการซึมเศร้าแแล้ว เย้ๆ และยังคงต้องกินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าหมอจะให้หยุด
เราอยากจะบอกว่าการหาหมอ และทานยาอย่าหยุดยาเองเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ นะ กำลังใจจากคนรอบข้างก็สำคัญมากๆเช่นกัน
ของเราตั้งนาฬิกาปลุกกินยาเลยค่ะ พยายามกินยาให้เป็นเวลาเดิมๆทุกวัน มันจะทำให้สารเคมีในสมองคงที่ เหวี่ยงไปมาน้อยลงค่ะ
พยายามหน่อยเนอะ รู้ค่ะว่าเบื่อ รู้ค่ะว่าง่วง รู้ค่ะว่ากินแล้วมันแย่ลงในช่วงแรกๆ เราก็เป็นค่ะ แต่ต้องอดทนนะ เราป่วยท่องไว้ กินยาจะได้รีบหายไม่เรื้อรังเนอะ ^^
สิ่งที่แย่ที่สุดของการเป็นโรคนี้สำหรับเราคือ เราไม่สามารถบริจาคเลือดได้อีกตลอดชีวิต T-T อันนี้คอนเฟิร์มกับสภากาชาดแล้วค่ะ
ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ทุกคนที่ป่วยนะคะ อดทนกะการกินยา ออกกำลังกายเท่าที่ออกไหว พยายามคิดแต่เรื่องดีๆ มองเรื่องเล็กๆน้อยๆให้เป็นเรื่องตลก เราเข้าใจว่ามันยาก เพราะเราก็เป็น อย่างเวลาขับรถกลับบ้านเจอคนขับกวนเนี่ย เราก็จะพยายามมองให้เป็นเรื่องตลก ไม่เอาจิตใจไปจดจ่อว่าหงุดหงิดนะ เปิดเพลงสนุกๆ ร้องเพลงในรถไป พยายามมีสติอยู่กับตัวเองเยอะๆ เมื่อคืนเราก็รู้สึกว่ากำลังจะดาวน์ เลยแกะกันดั้มต่อเลย เบี่ยงเบนความสนใจกันไป 55
สู้ๆนะทุกคน เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ ไม่อยากให้มีใครจากโลกนี้ไปเพราะโรคซึมเศร้าเลยจริงๆ
\\ รีวิวโรคซึมเศร้า //
หน้าที่การงานอยู่ในระดับดี จบการศึกษาป.โท มีพ่อแม่และน้องสาวที่น่ารัก
อ่านดูแล้วไม่น่าจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยใช่ไหมคะ
Part 1 เกริ่น
เรื่องเกิดประมาณช่วงนี้ของปีที่แล้ว เราเลิกกับแฟนค่ะ แฟนที่คบมาสองปีกว่า
ตอนแรกตัวเองก็คินะ เออ เราแค่เสียใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาแหละของคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนจะเป็นแบบนี้
ช่วงนั้นอาการคือ ร้องไห้ทุกวัน นอนไม่หลับ รู้สึกเหนื่อย เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ คิดวนๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น
อะไรที่เคยชอบทำไม่อยากทำ อยากกลับบ้านมานอนเฉยๆ
ตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองปกติอยู่นะคงแค่เสียใจ เดี๋ยวก็ดีขึ้น ช่วงนั้นก็ยังร้องไห้ทุกวันเหมือนเดิม ช่วงที่พีคที่สุดน่าคือ 3 วันนอนไปประมาณ 9 ชม. ร่างกายก็เริ่มแย่ แต่ไม่ได้อยากตายนะ แต่แค่ไม่อยากอยู่ เริ่มมีความคิดที่ว่าขับรถๆอยู่หักรถลงสะพานไปเลยดีไม๊ ช่วงนั้นเริ่มไม่สามารถควบคุมความคิดตัวเองที่ว่าไม่อยากอยู่แล้ว ตรรกะที่เคยมีทั้งหลายเริ่มพังเริ่มไม่รักตัวเองไม่คิดถึงคนข้างหลัง หงุดหงิดใส่คนในครอบครัว ไม่ค่อยคุยเหมือนแต่ก่อน ปกติเป็นคนสนิทกับครอบครัวค่ะ แต่ช่วงนั้นคือแบบคุยน้อยมาก ด้วยความเพื่อนน้อยเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กับใครก็เก็บๆไว้เป็นเกือบๆเดือนได้ จนได้มาคุยกับคนๆนึง เค้าก็แนะนำเราให้ไปหาหมอ เราก็เฮ้ย เราไม่ได้เป็นไร แค่รู้สึกเสียใจเฉยๆ แต่สุดท้ายก็ยอมไปหาหมอจนได้ เพราะเรื่มรู้สึกว่าอาการที่เป็นอยู่เริ่มมีผลกระทบกับการทำงาน (นอนน้อย เบลอ ซึม ไม่มีสมาธิทำงาน เริ่มหยุดงานบ่อย) อยากได้ยานอนหลับ คิดว่าถ้านอนหลับได้ชีวิตก็จะดีขึ้นอะไรแบบนี้
Part 2 ไปหาหมอ
เพิ่งรู้ว่าการนัดเข้าเจอจิตแพทย์ต้องโทรนัดก่อน เดินดุ่มๆเข้าไปเจอเลยไม่ได้ ก็นัดหมอที่ รพ เอกชนแห่งหนึ่งใกล้บ้าน เราก็แจ้งหมอไปว่า เรามีอาการนอนไม่หลับ อยากได้ยาที่ช่วยนอนหลับ หมอเค้าก็ชวนคุยทั่วไปมีอาการยังไง เกิดอะไรขึ้นถึงนอนไม่หลับ หมอก็ชวนคุยกับเราไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาน ชม 1 พร้อมคำวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า และก็เป็นมาพักใหญ่ๆแล้ว น่าจะเป็นก่อนที่เลิกกับแฟนอีก คือตอนอยู่กับแฟนเหมือนกดดันตัวเองให้ต้องทำดี เรื่องที่ไม่ควรปล่อยผ่านก็ปล่อยผ่าน เป็นคนดีจนเกินไป 55 รักคนอื่นมากกว่ารักตัวเองงี้ แต่พอเลิกกันอาการมันก็ถูกกระตุ้นให้หนักขึ้นมาเพราะว่าคาดหวังไว้เยอะ กลายเป็นโทษตัวเองไปอีกว่ายังทำดีไม่พอ ไช่วงนั้นก็จะวนลูปกับความคิดนี้ วันนั้นจำได้ว่าตอนเดินออกจากห้องตรวจร้องไห้จนตาบวมหนักมาก แต่กลับจำไม่ได้ว่าเล่าอะไรให้หมอฟัง แล้วก็ได้ยากลับมาสองตัว เป็นยาต้านเศร้า กับยานอนหลับ อีกสองอาทิตย์มาดูกันใหม่ว่าต้องเปลี่ยนยา ปรับยายังไงได้บ้าง
Part 3 ศรีธัญญาที่รัก
หลังจากที่เราเข้าไปรักษาตัวที่ รพ เอกชน ได้เกือบสองเดือน แต่โรคเนี้ยมันต้องอาศัยการกินยาและหาหมออย่างต่อเนื่อง เราโดนไปอาทิตย์ละ 1000-2000 ซึ่งมันแพงมากเลยไม่ไหว พอไม่ไหวก็หยุดยา พอหยุดยาก็ดาวน์อีก เลยค้นหารพจิตเวชของรัฐ ซึ่งแถวๆบ้านก็มีที่ศรีธัญญาใกล้สุด เลยลองไปดู
ตอนไปไปคนเดียวด้วยนะ คือยืนอยู่หน้า รพ. นานมากกก คือ เราควรจะเข้าไปดีหรอ จริงๆเราไม่ได้ป่วยหรือเปล่า
สิ่งที่คิดไว้ในหัวคือ รพ.บ้า ที่มีคนไข้โดนมัดแขน บ้าๆ บอๆ เต็ม รพ.
สิ่งที่เป็นจริง คือ รพ.อะ รพ.แบบเงียบๆ เหมือน รพ. ทั่วๆไป พยาบาล เจ้าหน้าที่ หมอดีมากกก
วันแรกที่เข้าไป ก็เข้าไปทำประวัติ ก็จะมีพยาบาลมาคัดกรองก่อนว่าเป็นอะไรมา จากนั้นก็ส่งเราไปทำบัตรคนไข้ ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน
รอเรียกเพื่อคัดกรองอีกที จากนั้นก็ไปคุยกับนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเป็นการคุยแบบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรามาบ้าง เพื่อให้หมอง่ายต่อการวินิจฉัย จากนั้นก็รอคิวเข้าพบคุยกับคุณหมอ แล้วก็รับยากลับบ้าน
ประมาณนี้ ซึ่งค่ายาถูกมากๆ อาทิตย์ละ 80 หรือ ตกเดือนละ 300 กว่าบาท !!
ช่วงเดือนแรกๆของการปรับยาค่อนข้างจะวาไรตี้มาก 555 คือสารเคมีมันเหวี่ยงไป เหวี่ยงมาไง มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย นอนไม่หลับ จิตตก นอย ร้องไห้ จนต้องไปหาหมอทุกอาทิตย์ แล้วหมอจะให้แอดมิดที่ศรีธัญญา (คือไปอ่านรีวิวของคนที่โดนแอดมิดคือน่ากลัวมาก ตอนนั้นคือแบบยอมตายแต่ชั้นจะไม่ขอแอดมิดเด็ดขาด 55) และมีข่าวดีคือเป็นซึมเศร้า+ไบโพล่าห์จ้า 555 พอสี่เดือนผ่านไปเริ่มดีขึ้น หมอนัดรับยาทุกเดือน ก็กินยาวนไป
ปล. ช่วงนี้เป็นช่วงปรับยาไปมา จาก นน 60 นน ขึ้นมา 20 โล เป็น 80 เลยจ้า เป็นเอฟเฟคจากยาที่กิน 55+
ปัจจุบัน
ตอนนี้ย้ายมารักษาที่รพ.ของประกันสังคมแล้วค่ะ และมียาที่ต้องกิน 4 ตัว Fulox 2 เม็ดตอนเช้า // Licarb 1 เม็ด Quantia 1 เม็ด Lorazepam 1 เม็ด ค่ะ
เราทานยามาได้เกือบปีแล้ว ช่วงนี้ไม่มีอาการซึมเศร้าแแล้ว เย้ๆ และยังคงต้องกินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าหมอจะให้หยุด
เราอยากจะบอกว่าการหาหมอ และทานยาอย่าหยุดยาเองเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ นะ กำลังใจจากคนรอบข้างก็สำคัญมากๆเช่นกัน
ของเราตั้งนาฬิกาปลุกกินยาเลยค่ะ พยายามกินยาให้เป็นเวลาเดิมๆทุกวัน มันจะทำให้สารเคมีในสมองคงที่ เหวี่ยงไปมาน้อยลงค่ะ
พยายามหน่อยเนอะ รู้ค่ะว่าเบื่อ รู้ค่ะว่าง่วง รู้ค่ะว่ากินแล้วมันแย่ลงในช่วงแรกๆ เราก็เป็นค่ะ แต่ต้องอดทนนะ เราป่วยท่องไว้ กินยาจะได้รีบหายไม่เรื้อรังเนอะ ^^
สิ่งที่แย่ที่สุดของการเป็นโรคนี้สำหรับเราคือ เราไม่สามารถบริจาคเลือดได้อีกตลอดชีวิต T-T อันนี้คอนเฟิร์มกับสภากาชาดแล้วค่ะ
ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ทุกคนที่ป่วยนะคะ อดทนกะการกินยา ออกกำลังกายเท่าที่ออกไหว พยายามคิดแต่เรื่องดีๆ มองเรื่องเล็กๆน้อยๆให้เป็นเรื่องตลก เราเข้าใจว่ามันยาก เพราะเราก็เป็น อย่างเวลาขับรถกลับบ้านเจอคนขับกวนเนี่ย เราก็จะพยายามมองให้เป็นเรื่องตลก ไม่เอาจิตใจไปจดจ่อว่าหงุดหงิดนะ เปิดเพลงสนุกๆ ร้องเพลงในรถไป พยายามมีสติอยู่กับตัวเองเยอะๆ เมื่อคืนเราก็รู้สึกว่ากำลังจะดาวน์ เลยแกะกันดั้มต่อเลย เบี่ยงเบนความสนใจกันไป 55
สู้ๆนะทุกคน เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ ไม่อยากให้มีใครจากโลกนี้ไปเพราะโรคซึมเศร้าเลยจริงๆ