WORK ดิ่งต่อเนื่องทำจุดต่ำสุดรอบปีครึ่ง นักวิเคราะห์แห่หั่นเป้าราคาลง จากเรทติ้งที่ร่วงลงมาจากก่อนหน้านี้ และมีโอกาสถูกกระทบจากช่วงฟุตบอลโลก จับตาครึ่งปีหลังมีลิขสิทธิ์ถ่ายทอดกีฬาจะช่วยได้แค่ไหน
หุ้น WORK ยังคงไหลลงต่อเนื่องจากจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ที่ 105 บาท เมื่อเดือน พ.ย. 60 ล่าสุดร่วงลงไปแตะ 40.25 บาท ทำจุดต่ำสุดในรอบปีครึ่ง ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อยกลับมาปิดที่ 42 บาท
WORK ประกอบธุรกิจหลักในการผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อออกอากาศและขายโฆษณาในสถานีโทรทัศน์ของบริษัท ซึ่งออกอากาศในระบบดิจิทัลผ่านช่อง WORKPOINT 23
จากอนาคตที่สดใสเมื่อปีก่อน ด้วยพลังของรายการ The Mask Singer ผลักดันให้เรทติ้งของช่อง Workpoint รวมทั้งผลประกอบการพุ่งขึ้นตามค่าโฆษณา จนกำไรสุทธิในปี 60 ทะยานไปแตะ 904.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 355% จากปี 59 ที่ทำได้เพียง 198.63 ล้านบาท ขณะเดียวกันราคาหุ้นของ WORK ก็กระโดดขึ้นจาก 44 บาท ไปทำสถิติสูงสุดไว้ที่ 105 บาท
อย่างไรก็ดี ด้วยผลประกอบการที่พลิกกลับมาเป็นขาดทุน 22.05 ล้านบาท ในไตรมาส 4/60 เนื่องจากเป็นช่วงพระราชพิธี และยังคงมีต้นทุนคงที่สูง กดดันให้ราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลง และยังคงลดลงต่อเนื่องในปีนี้ จากผลงานในไตรมาส 1/61 ที่ยังไม่ดีอย่างที่คาดไว้ เพราะรายการใหม่ๆ ที่ปล่อยออกมาไม่สามารถรักษาระดับเรทติ้งไว้ได้ จนล่าสุดเรทติ้งร่วงลงจากอันดับ 3 มาเป็นอันดับ 4
ผลประกอบการของ WORK ในไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 165.6 ล้านบาท ลดลง 4.48% จากปีก่อนที่ทำได้ 173.38 ล้านบาท แม้รายได้รวมจะยังคงเติบโตได้ 9% เป็น 885.06 ล้านบาท แต่ต้นทุนในการผลิตกลับเพิ่มขึ้นสูงถึง 23% มาเป็น 479.71 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังคงเพิ่มขึ้น 15% เป็น 187.59 ล้านบาท
สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ พบว่าส่วนใหญ่ปรับประมาณการและราคาเป้าหมาย WORK ลง จากเรทติ้งที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งน่าจะกระทบผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 รวมทั้งมีโอกาสจะถูกกดดันเพิ่มเติมในช่วงฟุตบอลโลกอีกด้วย
บล.ทิสโก้ ระบุว่า เราปรับประมาณการปี 61 และปี 62 ลดลงจากคาดเดิม 16% และ 19% ตามลำดับ จากการปรับอัตราการเช่าโฆษณาลงสะท้อนเรทติ้งที่ฟื้นตัวช้า โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้ที่ 794 ล้านบาท ลดลง 12.5% จากปีก่อน และจะเริ่มเพิ่มขึ้นในปี 62 โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 963 ล้านบาท คาดอัตราการเช่าโฆษณาเฉลี่ยปี 61-62 อยู่ที่ 60-65% และคาดอัตราค่าโฆษณาเฉลี่ย 82,000 -85,700 บาท/นาที ส่วนรายได้จากธุรกิจออนไลน์คาด 300 ล้านบาท และธุรกิจงานอีเว้นท์และคอนเสิร์ตอยู่ที่ 300 ล้านบาท
คงคำแนะนำ “ถือ” ปรับราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 50 บาท โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER ปี 61 ที่ 24.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มสื่อที่ 39.7 เท่า แม้อัตราการเติบโตของกำไรปีนี้ที่ยังไม่สดใสจากการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้อัตราค่าโฆษณาหรืออัตราการเช่าช่วงเวลาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จากเรทติ้งที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามช่อง Workpoint ยังสามารถครองเรทติ้งใน 5 อันดับแรก และเป็นบริษัทที่มีผลกำไรดีที่สุดในกลุ่มทีวีดิจิทัล
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ยิ่งใกล้ช่วงถ่ายทอดบอลโลกระหว่าง 14 มิ.ย. – 15 ก.ค. 61 หุ้นบันเทิงย่อมได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เนื่องจากช่องทีวีที่ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดบอลโลกมี 3 ช่องคือ ช่อง Amarin TV, TRUE4U และช่อง 5 ส่วนช่องทีวีอื่นๆ คาดว่าเวลาการขายโฆษณาน่าจะลดลง เพราะผลกระทบที่ผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะให้น้ำหนักการชมฟุตบอลโลกในช่วง 19.00 – 01.00 น. มากกว่าการดูละคร หรือเกมโชว์ ซึ่งสามารถไปหาดูได้ในเวลาอื่นๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ ขณะที่สินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุน ก็ไม่สามารถนำสิทธิ์การแข่งขัน หรือแม้แต่ logo ไปใช้ไม่ได้ จึงมีข้อจำกัดในการซื้อโฆษณาและการทำการตลาด ส่งผลให้เอเจนซี่แต่ละรายอาจชะลอการลงโฆษณา ทำให้เม็ดเงินโฆษณาทีวีดิจิทัลหดหายไปในช่วงฟุตบอลโลกนี้ ด้วยเหตุนี้จึงยังให้น้ำหนักหุ้นบันเทิงน้อยกว่าตลาด และยังแนะนำขาย WORK และ BEC
สำหรับครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ต้องติดตามกันเป็นพิเศษ ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า WORK น่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้บ้างจากรายการใหม่ๆ และการได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันวอลเลย์บอล และเอเชียนเกมส์
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 2/61 ของ WORK จะยังอ่อนแอ โดยเรทติ้งยังถูกกดดันจากคู่แข่งขันในอุตสาหกรรมต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 1/61 และรายการใหม่ของบริษัทมีเรทติ้งไม่ได้สูงมากเท่ากับปีก่อน ทั้งนี้ เราได้ปรับลดราคาพื้นฐานเป็น 46 บาท จากเดิม 60 บาท เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจยังไม่สดใสนัก การปรับขึ้นค่าโฆษณาและอัตราการจองพื้นที่โฆษณามีแนวโน้มต่ำกว่าที่เราประมาณการไว้ก่อนหน้า คาดอัตราค่าโฆษณาอยู่ที่ 8.2 หมื่นบาทต่อนาที และอัตราการใช้พื้นที่โฆษณา 60% จึงปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 61 และปี 62 ลง 10% และ 17% ตามลำดับ
ส่วนครึ่งปีหลังคาดธุรกิจจะเริ่มฟื้นตัวจากการเร่งเพิ่มเรทติ้งจากรายการเดิมและรายการใหม่ การลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และการที่บริษัทได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันวอลเลย์บอล (World Championship 2018) และเอเชียนเกมส์ โดยรวมบริษัทตั้งเป้าเรทติ้งปีนี้ไว้ที่ 1.14 - 1.15% จากช่วง 5 เดือนแรก มีเรทติ้งอยู่ที่ 1.04 - 1.06%
ราคาหุ้น WORK ถือว่าร่วงลงมาแรงกว่าที่หลายต่อหลายคนคาดการณ์เอาไว้มาก โดยปรับลงมาแล้วถึง 50% จากต้นปีที่ผ่านมา จนต่ำกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ซึ่งอยู่ที่ราว 57 บาท ซึ่งคงต้องจับตาว่า WORK จะสามารถช่วงชิงเรทติ้งกลับมาได้อย่างรวดเร็วเพียงใด เพราะเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อกำไรและราคาหุ้น
เรียบเรียง ดาริน ปริญญากุล
Work ไม่ work
หุ้น WORK ยังคงไหลลงต่อเนื่องจากจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ที่ 105 บาท เมื่อเดือน พ.ย. 60 ล่าสุดร่วงลงไปแตะ 40.25 บาท ทำจุดต่ำสุดในรอบปีครึ่ง ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อยกลับมาปิดที่ 42 บาท
WORK ประกอบธุรกิจหลักในการผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อออกอากาศและขายโฆษณาในสถานีโทรทัศน์ของบริษัท ซึ่งออกอากาศในระบบดิจิทัลผ่านช่อง WORKPOINT 23
จากอนาคตที่สดใสเมื่อปีก่อน ด้วยพลังของรายการ The Mask Singer ผลักดันให้เรทติ้งของช่อง Workpoint รวมทั้งผลประกอบการพุ่งขึ้นตามค่าโฆษณา จนกำไรสุทธิในปี 60 ทะยานไปแตะ 904.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 355% จากปี 59 ที่ทำได้เพียง 198.63 ล้านบาท ขณะเดียวกันราคาหุ้นของ WORK ก็กระโดดขึ้นจาก 44 บาท ไปทำสถิติสูงสุดไว้ที่ 105 บาท
อย่างไรก็ดี ด้วยผลประกอบการที่พลิกกลับมาเป็นขาดทุน 22.05 ล้านบาท ในไตรมาส 4/60 เนื่องจากเป็นช่วงพระราชพิธี และยังคงมีต้นทุนคงที่สูง กดดันให้ราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลง และยังคงลดลงต่อเนื่องในปีนี้ จากผลงานในไตรมาส 1/61 ที่ยังไม่ดีอย่างที่คาดไว้ เพราะรายการใหม่ๆ ที่ปล่อยออกมาไม่สามารถรักษาระดับเรทติ้งไว้ได้ จนล่าสุดเรทติ้งร่วงลงจากอันดับ 3 มาเป็นอันดับ 4
ผลประกอบการของ WORK ในไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 165.6 ล้านบาท ลดลง 4.48% จากปีก่อนที่ทำได้ 173.38 ล้านบาท แม้รายได้รวมจะยังคงเติบโตได้ 9% เป็น 885.06 ล้านบาท แต่ต้นทุนในการผลิตกลับเพิ่มขึ้นสูงถึง 23% มาเป็น 479.71 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังคงเพิ่มขึ้น 15% เป็น 187.59 ล้านบาท
สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ พบว่าส่วนใหญ่ปรับประมาณการและราคาเป้าหมาย WORK ลง จากเรทติ้งที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งน่าจะกระทบผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 รวมทั้งมีโอกาสจะถูกกดดันเพิ่มเติมในช่วงฟุตบอลโลกอีกด้วย
บล.ทิสโก้ ระบุว่า เราปรับประมาณการปี 61 และปี 62 ลดลงจากคาดเดิม 16% และ 19% ตามลำดับ จากการปรับอัตราการเช่าโฆษณาลงสะท้อนเรทติ้งที่ฟื้นตัวช้า โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้ที่ 794 ล้านบาท ลดลง 12.5% จากปีก่อน และจะเริ่มเพิ่มขึ้นในปี 62 โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 963 ล้านบาท คาดอัตราการเช่าโฆษณาเฉลี่ยปี 61-62 อยู่ที่ 60-65% และคาดอัตราค่าโฆษณาเฉลี่ย 82,000 -85,700 บาท/นาที ส่วนรายได้จากธุรกิจออนไลน์คาด 300 ล้านบาท และธุรกิจงานอีเว้นท์และคอนเสิร์ตอยู่ที่ 300 ล้านบาท
คงคำแนะนำ “ถือ” ปรับราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 50 บาท โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER ปี 61 ที่ 24.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มสื่อที่ 39.7 เท่า แม้อัตราการเติบโตของกำไรปีนี้ที่ยังไม่สดใสจากการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้อัตราค่าโฆษณาหรืออัตราการเช่าช่วงเวลาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จากเรทติ้งที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามช่อง Workpoint ยังสามารถครองเรทติ้งใน 5 อันดับแรก และเป็นบริษัทที่มีผลกำไรดีที่สุดในกลุ่มทีวีดิจิทัล
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ยิ่งใกล้ช่วงถ่ายทอดบอลโลกระหว่าง 14 มิ.ย. – 15 ก.ค. 61 หุ้นบันเทิงย่อมได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เนื่องจากช่องทีวีที่ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดบอลโลกมี 3 ช่องคือ ช่อง Amarin TV, TRUE4U และช่อง 5 ส่วนช่องทีวีอื่นๆ คาดว่าเวลาการขายโฆษณาน่าจะลดลง เพราะผลกระทบที่ผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะให้น้ำหนักการชมฟุตบอลโลกในช่วง 19.00 – 01.00 น. มากกว่าการดูละคร หรือเกมโชว์ ซึ่งสามารถไปหาดูได้ในเวลาอื่นๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ ขณะที่สินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุน ก็ไม่สามารถนำสิทธิ์การแข่งขัน หรือแม้แต่ logo ไปใช้ไม่ได้ จึงมีข้อจำกัดในการซื้อโฆษณาและการทำการตลาด ส่งผลให้เอเจนซี่แต่ละรายอาจชะลอการลงโฆษณา ทำให้เม็ดเงินโฆษณาทีวีดิจิทัลหดหายไปในช่วงฟุตบอลโลกนี้ ด้วยเหตุนี้จึงยังให้น้ำหนักหุ้นบันเทิงน้อยกว่าตลาด และยังแนะนำขาย WORK และ BEC
สำหรับครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ต้องติดตามกันเป็นพิเศษ ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า WORK น่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้บ้างจากรายการใหม่ๆ และการได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันวอลเลย์บอล และเอเชียนเกมส์
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 2/61 ของ WORK จะยังอ่อนแอ โดยเรทติ้งยังถูกกดดันจากคู่แข่งขันในอุตสาหกรรมต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 1/61 และรายการใหม่ของบริษัทมีเรทติ้งไม่ได้สูงมากเท่ากับปีก่อน ทั้งนี้ เราได้ปรับลดราคาพื้นฐานเป็น 46 บาท จากเดิม 60 บาท เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจยังไม่สดใสนัก การปรับขึ้นค่าโฆษณาและอัตราการจองพื้นที่โฆษณามีแนวโน้มต่ำกว่าที่เราประมาณการไว้ก่อนหน้า คาดอัตราค่าโฆษณาอยู่ที่ 8.2 หมื่นบาทต่อนาที และอัตราการใช้พื้นที่โฆษณา 60% จึงปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 61 และปี 62 ลง 10% และ 17% ตามลำดับ
ส่วนครึ่งปีหลังคาดธุรกิจจะเริ่มฟื้นตัวจากการเร่งเพิ่มเรทติ้งจากรายการเดิมและรายการใหม่ การลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และการที่บริษัทได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันวอลเลย์บอล (World Championship 2018) และเอเชียนเกมส์ โดยรวมบริษัทตั้งเป้าเรทติ้งปีนี้ไว้ที่ 1.14 - 1.15% จากช่วง 5 เดือนแรก มีเรทติ้งอยู่ที่ 1.04 - 1.06%
ราคาหุ้น WORK ถือว่าร่วงลงมาแรงกว่าที่หลายต่อหลายคนคาดการณ์เอาไว้มาก โดยปรับลงมาแล้วถึง 50% จากต้นปีที่ผ่านมา จนต่ำกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ซึ่งอยู่ที่ราว 57 บาท ซึ่งคงต้องจับตาว่า WORK จะสามารถช่วงชิงเรทติ้งกลับมาได้อย่างรวดเร็วเพียงใด เพราะเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อกำไรและราคาหุ้น
เรียบเรียง ดาริน ปริญญากุล