ในแง่ผลประกอบการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูงและพัฒนาโครงการหมู่บ้านใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นบรษัทที่"แรงดีไม่มีตก" มีรายได้/กำไรสุทธิเติบโต 2 ปีนี้โดดเด่นมาก แต่ในมุมของราคาหุ้น ยังถือว่าย้อนกลับมาเป็นหุ้น "อันเดอร์แวลลู" อีกครั้ง
ยิ่งสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ มีกําไรสุทธิ 164.6 ล้านบาท กําไรสุทธิต่อหุ้น 0.1355 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกําไรสุทธิ 70.7 ล้านบาท กําไรสุทธิต่อหุ้น 0.0619 บาท น่าจะทำให้ราคาหุ้นวิ่งผงาดไปได้ไกล แต่ล่าสุดยังต่ำเตี้ยใต้ 3.90 บาทด้วยค่าพี/อีที่แค่ 6เท่าเศษเท่านั้น แถมเทียบกับบุ๊กแวลลู 3.46 บาทด้วยแล้ว ต้องมีคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไร
คำตอบไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆแค่อธิบายหยาบว่า เพราะเพิ่มทุนออกหุ้นปันผล ที่ส่งผลให้บุ๊กแวลลูของบริษัทลดลง เพราะเป็นคำตอบที่ผิด ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน
เรื่องนี้ถามผู้บริหารคนสวย ดร.ยุ้ย เกศรา คงได้มีคำตอบอีกแบบ ที่คงไม่ใช่แค่ว่าในอดีตบางช่วง ราคาหุ้นSENA เคยต่ำกว่าบุ๊กแวลลูก็ยังมี เพราะนั่นมันอดีตอันยาวไกลที่ไม่มีใครอยากจะจำกัน
ปริศนา ราคาหุ้น SENA ทำไมยังต่ำเกินจริง ทั้งที่ผลประกอบการสวยหรู จึงเป็นสิ่งที่ต้องท้าทายคำตอบไปอีกหลายไตรมาส
ในเชิงธุรกิจ การเติบโตด้วยกลยุทธ์เชิงรุกที่โดดเด่น ทำให้จากรายได้ระดับปีละแค่ 2.2-2.5 พันล้านบาทจนถึงสิ้นปี 2558 กระโดดขึ้นมาเหนือ 4.0 พันบ้านบาท ในปี2559 และ 5.0 พันล้านบาทในปี 2560 พร้อมกำไรสุทธิที่เพิ่มเป็นเงาตามตัวด้วยอัตรากำไรสุทธิที่โดดเด่นด้วย
แถมล่าสุด ไตรมาสแรกปีนี้ ผลประกอบการยังคงเดินหน้าแข็แกร่งด้วยฝีมือ ดร.ยุ้ย และทีมงาน ที่มั่นใจว่ากลยุทธ์เดินคนเดียว ผสมกับเดินกับพันธมิตรญี่ปุ่นจะไปด้วยกันต่อได้ในโครงการหลากหลาย จากการโกยรายได้รวม 1,088.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน กวาดกำไร 164.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132.8%
ปัจจัยหลัก ยังคงมาจากการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานล้วนๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการให้เช่าและบริการ และรายได้อื่นๆ
ในข้อมูลเชิงลึก ตัวเลขการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรก ทำให้มีรายได้อยู่ที่ 896.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 527.1ล้านบาท คิดเป็น 142.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียม 762.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 561.1 ล้านบาท คิดเป็น 278.2 % ซึ่งผลงานหลักมาจาก แบรนด์ "นิช" จำนวน 8 โครงการที่มีรายได้อยู่ที่ 599.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการบ้านที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนอยู่ที่ 97.4 ล้านบาท มาจากโครงการเสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา วงแหวน และโครงการเสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา วงแหวน เป็นต้น
ส่วนกลุ่มธุรกิจการให้เช่าและบริการแม้จะมีรายได้ไม่มากนัก แต่เติบเป็นดาวประกายพฤกษ์เลยทีเดียว มีรายได้ไตรมาสแรกนี้อยู่ที่ 165.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น134.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนอดีตดาวรุ่งปีก่อน คือ ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มีรายได้อยู่ที่ 5.3 ล้านบาท ลดลง 79.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมีส่วนแบ่งกำไรจำนวน 15.1 ล้านบาท จากการร่วมทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มที่จังหวัดสระบุรี และนครปฐม รวมถึง บริษัทยังมีรายได้อื่นๆ อีก 21.3 ล้านบาทเป็นของแถมอีก
สำหรับยอดขายปัจจุบันมีกว่า 3,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรกมากถึง 4 โครงการในเขตชานเมืองปริมณฑล ประกอบด้วย โครงการ นิชไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์,โครงการ นิช ไอดี พระราม 2เฟส3, โครงการ นิช ไอดี เสรีไทย เฟส2 และโครงการ นิช ไอดี บางแค เฟส2 รวมมูลค่าโครงการ 5,000กว่าล้านบาทส่งผลให้ยอดขายโดยรวมขยายตวัน และ มียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนคิดเป็นมูลค่า 6,789.31 ล้านบาท (รวมโครงการ JV 2 โครงการ ประกอบด้วย นิชไพรด์ เตาปูน - อินเตอร์เชนจ์ และนิช โมโน สุขุมวิท - แบริ่ง )
ยิ่งกว่านั้นในช่วงไตรมาส 2 ทาง SENA ยังไม่หยุดความเร่าร้อน เดินหน้าเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ "นิช โมโน ติวานนท์" มูลค่าโครงการ 1,400 กว่าล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมหรูใกล้รถไฟฟ้าสถานีกระทรวงสาธารณสุข
การเดินหน้ารุกชนิดแรงดีไม่มีตก เกิดจากการศึกษาข้อมูลธุรกิจที่รอบคอบและมั่นใจในกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางและระดับบนมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อดี และมีภาระหนี้สินต่ำ ทำให้มีความสามารถในการขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงด้านการโอนลดลง ที่สะท้อนผลประกอบการโดดเด่นกว่ากลยุทธ์เดิมในอดีตที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับล่าง
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ SENA สามารถหลบเลี่ยงปัญหารบกวนจากการที่ปัจจุบันราคาที่ดินได้ปรับตัวขึ้นสูงได้มากขึ้น แม้ไม่ทั้งหมด
การพัฒนาธุรกิจเชิงรุกไปที่กลุ่มคอนโดมิเนียมระดับบนครั้งแรกในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีโอกาสในการทำตลาดได้ค่อนข้างดี โดยร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น พร้อมกับใช้แบรนด์ใหม่ และก็กำลังจะเป็นบทพิสูจน์ใหม่ในปีนี้เช่นกันในการเตรียมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3
ความสำเร็จไตรมาสแรกชนิด"ก้าวแรกดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" ทำให้ผู้บริหารฉายภาพรวมปีนี้ว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ที่ 6,200 ล้านบาท โดยจะมาจากรายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ 5,900 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากโครงการโซลาร์เซลล์และรายได้อื่น ๆ อีก 300 ล้านบาท จากยอดขายปีนี้ยังคงเป้าที่ 10,300 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 23,067 ล้านบาท อย่างไร้กังวล
ความมุ่งมั่น ผสมกลยุทธ์ที่ถูกทาง และความสำเร็จทางการขายและโอนโครงการ น่าจะทำให้สิ่งที่รบกวนSENA ตรงราคาหุ้นที่ต่ำเตี้ยเกินสมควร ได้รับการประเมินใหม่จากนักลงทุนที่ไม่เน้นความหวือหวาของเกมราคาหุ้น
"แมงเม่าตาสว่าง"ทั้งหลาย น่าจะมองเห็นของดีราคาถูก(และต่ำ)กันบ้าง ถ้าเชื่อว่า ดร.ยุ้ย จะนำ SENA ไป"ไต่บันไดสวรรค์" โดยมีมุมมองร่วมกันใหม่ว่า การเพิ่นทุนเพื่อจ่ายเป็นหุ้นปันผลนั้น ไม่มีอะไรเสียหาย แต่เป็นการเพิ่มมาร์เก็ตแค็ตตาล็อก และมูลค่ากิจการให้พุ่งเหนือ 6.0 พันล้านบาทให้ได้
หากสามารถสร้างมุมมองร่วมใหม่ได้ นักลงทุนจะเห็น"รูปสุวรรณอยู่ชั้นใน"ของ SENA ได้ชัดเจน และกลายเป็นนางรจนา ที่เลือกเสี่ยงมาลัยไม่ผิด
/////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=2876
SENA อันเดอร์ไพรส์ชาชิน : โดย อีหล่าน้อย เว็บ Share2Trade
ยิ่งสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ มีกําไรสุทธิ 164.6 ล้านบาท กําไรสุทธิต่อหุ้น 0.1355 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกําไรสุทธิ 70.7 ล้านบาท กําไรสุทธิต่อหุ้น 0.0619 บาท น่าจะทำให้ราคาหุ้นวิ่งผงาดไปได้ไกล แต่ล่าสุดยังต่ำเตี้ยใต้ 3.90 บาทด้วยค่าพี/อีที่แค่ 6เท่าเศษเท่านั้น แถมเทียบกับบุ๊กแวลลู 3.46 บาทด้วยแล้ว ต้องมีคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไร
คำตอบไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆแค่อธิบายหยาบว่า เพราะเพิ่มทุนออกหุ้นปันผล ที่ส่งผลให้บุ๊กแวลลูของบริษัทลดลง เพราะเป็นคำตอบที่ผิด ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน
เรื่องนี้ถามผู้บริหารคนสวย ดร.ยุ้ย เกศรา คงได้มีคำตอบอีกแบบ ที่คงไม่ใช่แค่ว่าในอดีตบางช่วง ราคาหุ้นSENA เคยต่ำกว่าบุ๊กแวลลูก็ยังมี เพราะนั่นมันอดีตอันยาวไกลที่ไม่มีใครอยากจะจำกัน
ปริศนา ราคาหุ้น SENA ทำไมยังต่ำเกินจริง ทั้งที่ผลประกอบการสวยหรู จึงเป็นสิ่งที่ต้องท้าทายคำตอบไปอีกหลายไตรมาส
ในเชิงธุรกิจ การเติบโตด้วยกลยุทธ์เชิงรุกที่โดดเด่น ทำให้จากรายได้ระดับปีละแค่ 2.2-2.5 พันล้านบาทจนถึงสิ้นปี 2558 กระโดดขึ้นมาเหนือ 4.0 พันบ้านบาท ในปี2559 และ 5.0 พันล้านบาทในปี 2560 พร้อมกำไรสุทธิที่เพิ่มเป็นเงาตามตัวด้วยอัตรากำไรสุทธิที่โดดเด่นด้วย
แถมล่าสุด ไตรมาสแรกปีนี้ ผลประกอบการยังคงเดินหน้าแข็แกร่งด้วยฝีมือ ดร.ยุ้ย และทีมงาน ที่มั่นใจว่ากลยุทธ์เดินคนเดียว ผสมกับเดินกับพันธมิตรญี่ปุ่นจะไปด้วยกันต่อได้ในโครงการหลากหลาย จากการโกยรายได้รวม 1,088.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน กวาดกำไร 164.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132.8%
ปัจจัยหลัก ยังคงมาจากการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานล้วนๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการให้เช่าและบริการ และรายได้อื่นๆ
ในข้อมูลเชิงลึก ตัวเลขการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรก ทำให้มีรายได้อยู่ที่ 896.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 527.1ล้านบาท คิดเป็น 142.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียม 762.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 561.1 ล้านบาท คิดเป็น 278.2 % ซึ่งผลงานหลักมาจาก แบรนด์ "นิช" จำนวน 8 โครงการที่มีรายได้อยู่ที่ 599.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการบ้านที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนอยู่ที่ 97.4 ล้านบาท มาจากโครงการเสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา วงแหวน และโครงการเสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา วงแหวน เป็นต้น
ส่วนกลุ่มธุรกิจการให้เช่าและบริการแม้จะมีรายได้ไม่มากนัก แต่เติบเป็นดาวประกายพฤกษ์เลยทีเดียว มีรายได้ไตรมาสแรกนี้อยู่ที่ 165.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น134.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนอดีตดาวรุ่งปีก่อน คือ ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มีรายได้อยู่ที่ 5.3 ล้านบาท ลดลง 79.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมีส่วนแบ่งกำไรจำนวน 15.1 ล้านบาท จากการร่วมทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มที่จังหวัดสระบุรี และนครปฐม รวมถึง บริษัทยังมีรายได้อื่นๆ อีก 21.3 ล้านบาทเป็นของแถมอีก
สำหรับยอดขายปัจจุบันมีกว่า 3,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรกมากถึง 4 โครงการในเขตชานเมืองปริมณฑล ประกอบด้วย โครงการ นิชไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์,โครงการ นิช ไอดี พระราม 2เฟส3, โครงการ นิช ไอดี เสรีไทย เฟส2 และโครงการ นิช ไอดี บางแค เฟส2 รวมมูลค่าโครงการ 5,000กว่าล้านบาทส่งผลให้ยอดขายโดยรวมขยายตวัน และ มียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนคิดเป็นมูลค่า 6,789.31 ล้านบาท (รวมโครงการ JV 2 โครงการ ประกอบด้วย นิชไพรด์ เตาปูน - อินเตอร์เชนจ์ และนิช โมโน สุขุมวิท - แบริ่ง )
ยิ่งกว่านั้นในช่วงไตรมาส 2 ทาง SENA ยังไม่หยุดความเร่าร้อน เดินหน้าเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ "นิช โมโน ติวานนท์" มูลค่าโครงการ 1,400 กว่าล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมหรูใกล้รถไฟฟ้าสถานีกระทรวงสาธารณสุข
การเดินหน้ารุกชนิดแรงดีไม่มีตก เกิดจากการศึกษาข้อมูลธุรกิจที่รอบคอบและมั่นใจในกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางและระดับบนมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อดี และมีภาระหนี้สินต่ำ ทำให้มีความสามารถในการขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงด้านการโอนลดลง ที่สะท้อนผลประกอบการโดดเด่นกว่ากลยุทธ์เดิมในอดีตที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับล่าง
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ SENA สามารถหลบเลี่ยงปัญหารบกวนจากการที่ปัจจุบันราคาที่ดินได้ปรับตัวขึ้นสูงได้มากขึ้น แม้ไม่ทั้งหมด
การพัฒนาธุรกิจเชิงรุกไปที่กลุ่มคอนโดมิเนียมระดับบนครั้งแรกในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีโอกาสในการทำตลาดได้ค่อนข้างดี โดยร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น พร้อมกับใช้แบรนด์ใหม่ และก็กำลังจะเป็นบทพิสูจน์ใหม่ในปีนี้เช่นกันในการเตรียมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3
ความสำเร็จไตรมาสแรกชนิด"ก้าวแรกดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" ทำให้ผู้บริหารฉายภาพรวมปีนี้ว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ที่ 6,200 ล้านบาท โดยจะมาจากรายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ 5,900 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากโครงการโซลาร์เซลล์และรายได้อื่น ๆ อีก 300 ล้านบาท จากยอดขายปีนี้ยังคงเป้าที่ 10,300 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 23,067 ล้านบาท อย่างไร้กังวล
ความมุ่งมั่น ผสมกลยุทธ์ที่ถูกทาง และความสำเร็จทางการขายและโอนโครงการ น่าจะทำให้สิ่งที่รบกวนSENA ตรงราคาหุ้นที่ต่ำเตี้ยเกินสมควร ได้รับการประเมินใหม่จากนักลงทุนที่ไม่เน้นความหวือหวาของเกมราคาหุ้น
"แมงเม่าตาสว่าง"ทั้งหลาย น่าจะมองเห็นของดีราคาถูก(และต่ำ)กันบ้าง ถ้าเชื่อว่า ดร.ยุ้ย จะนำ SENA ไป"ไต่บันไดสวรรค์" โดยมีมุมมองร่วมกันใหม่ว่า การเพิ่นทุนเพื่อจ่ายเป็นหุ้นปันผลนั้น ไม่มีอะไรเสียหาย แต่เป็นการเพิ่มมาร์เก็ตแค็ตตาล็อก และมูลค่ากิจการให้พุ่งเหนือ 6.0 พันล้านบาทให้ได้
หากสามารถสร้างมุมมองร่วมใหม่ได้ นักลงทุนจะเห็น"รูปสุวรรณอยู่ชั้นใน"ของ SENA ได้ชัดเจน และกลายเป็นนางรจนา ที่เลือกเสี่ยงมาลัยไม่ผิด
/////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก www.facebook.com/Share2Trade/
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=2876