หลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้เข้าใจแยกในเรื่องนี้ได้ดีก็คือ เรื่อง "ปาฏิหาริย์ ๓" พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ปาฏิหาริย์" คือ
การกระทำให้เกิดผลอย่างอัศจรรย์นั้นมี ๓ อย่าง คือ
๑. อิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์ หรือแสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ เช่น เดินน้ำ ดำดิน ล่องหน หายตัว เหาะเหิน บันดาลอะไรต่างๆ
๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการทายใจ หรือรู้ใจคนอื่นได้เป็นอัศจรรย์ รู้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไร ต้องการจะทำอะไร เป็นต้น
๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือคำสั่งสอน หรือสอนให้รู้เข้าใจและทำได้จริงเป็นอัศจรรย์ ชี้แจงอธิบาย ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญารู้ถึงความจริงได้ด้วยตนเอง
ปาฏิหาริย์ ๒ อย่างแรก คือ
ฤทธิ์และการดักใจทายใจได้นั้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ ไม่ทรงสนับสนุน และตรัสว่าทรงรัจเกียจด้วยซ้ำไป แต่ทรงสรรเสริญปาฏิหาริย์ข้อที่ ๓ คือ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์"
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? ฤทธิ์ มีข้อเสียอย่างไร นอกจากที่เคยพูดมาแล้ว ขอสรุปให้ว่า ฤทธิ์กำจัดกิเลสไม่ได้
ฤทธิ์ไม่ทำให้ความโลภ โกรธ หลง ลดน้อยลง ถ้าไม่ระวังจะทำให้กิเลสฟูมากขึ้นด้วยซ้ำ ฤทธิ์ไม่ทำให้รู้เข้าใจสัจจธรรม คือ ไม่ทำให้เกิดปัญญาที่จะรู้เแจ้งความจริงของสิ่งทั้งหลาย จึงไม่สามารถทำใครให้เป็นพระอรหันต์ หรือแม้แต่เป็นพระอริยะชั้นใดๆได้
ในทางตรงข้าม "อนุสาสนี" คือ คำสอนที่แสดงธรรม แสดงความจริง ทำให้คนเกิดปัญญา รู้ความจริง เข้าถึงสัจจธรรมได้ ทำให้คนละกิเลสได้ ทำให้ผู้ฟังและนำไปปฏิบัติบรรลุธรรม เป็นพระอริยะ เป็นพระอรหันต์ได้
คนมาดูเห็นฤทธิ์เห็นความขลัง ก็ได้แต่ตื่นเต้นทันตา แต่ตัวเองไม่ได้อะไร ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นในตัว อาจจะงงงันที่ได้เห็นความอัศจรรย์ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็เลยกลายเป็น มีโมหะ มีอวิชชามากขึ้น และตัวเองก็ทำสิ่งนั้นไม่ได้ เลยต้องเอาตัวไปฝากไปขึ้นกับผู้ที่ขลังมีฤทธิ์ เลยดีแก่ผู้แสดงฤทธิ์ ชาวบ้านที่ดู ยิ่งเชื่อก็ยิ่งหมดอิสรภาพในการกระทำของตัว
ตรงข้ามกับ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญา รู้ความจริง ผู้สอนรู้อย่างไร ผู้ฟังเข้าใจก็รู้ได้อย่างนั้น และเอาความรู้นั้นไปทำอะไรให้เกิดผลด้วยตนเองได้ ผู้ฟังเป็นผู้ได้ คือ ได้ปัญญา และปัญญานั้นก็เป็นของของเขาเอง เขาจะไปไหนปัญญาก็ไปด้วย ผู้ฟังก็เป็นอิสระ ไม่ต้องมาขึ้นต่อผู้สอน ไม่ต้องคอยรอพึ่งผู้สอนเรื่อยไปเหมือนอย่างพวกที่เชื่อฤทธิ์ เชื่อความขลัง ที่ทำตัวเองมืดมัว ต้องรอให้เขาบันดาลผลให้
อีกอย่างหนึ่ง ผู้มีฤทธิ์กับคนพึ่งฤทธิ์ มักจะมาพบกันในระบบผลประโยชน์ โดยต่างก็ต้องการผลได้บางอย่างแก่ตน คนที่มาหาผู้มีฤทธิ์ก็ต้องการโชคลาภ จากความขลัง หรือการดลบันดาลของผู้มีฤทธิ์ ผู้แสดงฤทธิ์ก็หวังลาภสักการะจากคนที่มาขอผล กลายเป็น "ความสัมพันธ์ในเชิงกิเลส" โดยเฉพาะการกระทำเพื่อสนอง "โลภะ"
เมื่อเรื่องความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ เข้ามาแทรกในการทำบุญทำทานในพระศาสนา ความวิปริตผิดเพี้ยนก็เกิดขึ้น ผู้ทำบุญหรือผู้บริจาคแทนที่จะบริจาคทรัพย์ให้ด้วยมองเห็นคุณประโยชน์ของสิ่งที่จะร่วมสร้างสรรค์ ว่าจะเป็นการส่งเสริมกิจการพระศาสนา หรือช่วยให้เกิดประโยชน์สุขแก่ส่วนรวมอย่างนั้นๆ #ก็มองเหมือนการแลกเปลี่ยนซื้อขายที่ตนจะได้สิ่งตอบแทน คือมุ่งจะได้ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จึงเอาเงินมาบริจาคให้ ใจก็คิดแต่จะให้ได้ของนั้นตอบแทน โดยไม่ได้คำนึงว่าผู้มีฤทธิ์หรือผู้จัดทำสิ่งขลังศักดิ์สิทธิ์จะเอาเงินนั้นไปทำอะไรอย่างไร จึงเป็นการผันแปรจากการทำบุญบริจาคด้วยปัญญาที่พิจารณาเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะส่งเสริม พร้อมกับการเสียสละละกิเลส และพัฒนาคุณธรรมขึ้นในใจของตน กลายมาเป็นการจ่ายเงินออกไปด้วยโลภะ ที่มุ่งจะเอาของตอบแทน ภายใต้ความปกคลุมของโมหะ ที่ไม่รู้ไม่คำนึงว่าอะไรเพื่ออะไรและจะเป็นไปอย่างไร
ผลร้ายที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งของความไม่รู้หลักพระศาสนา ไม่รู้จักแยกระหว่างพระอริยะกับผู้วิเศษ ไม่รู้ฐานะของความขลังศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ว่าเป็นอย่างไร ในพระศาสนา นอกจากทำให้เขวออกไปจากตัวแท้ตัวจริงของพระศาสนา และทำให้พระพุทธศาสนาเลือนลางลงไปแล้ว เพราะความไม่เข้าใจแยกว่าผู้วิเศษเป็นคนละอย่างกับพระอริยะ ไปฝากความเป็นพระอรหันต์ไว้กับความขลังศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พอผู้วิเศษซึ่งยังมีกิเลสปรากฏพฤติกรรมเสื่อมทราม ก็คร่ำครวญบ่นว่าพระที่สูงเลิศก็ยังเป็นถึงอย่างนี้ คงจะหาพระดีที่จะไหว้อีกไม่ได้ ซึ่งแท้จริงจะต้องทบทวนพิจารณาตนเองใหม่ว่า พระดีไม่มีให้ไหว้ หรือคนไหว้นับถือผิด จึงมองไม่เห็นพระดีที่จะไหว้ และทำให้พระดีที่น่าไหว้ค่อยๆ ลดน้อยลงไปจากพระศาสนา
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ธรรมนิพนธ์ "เมืองไทยจะวิกฤต ถ้าคนไทยศรัทธาวิปริต"
ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ ทำคนให้เป็น "พระอรหันต์" ไม่ได้
การกระทำให้เกิดผลอย่างอัศจรรย์นั้นมี ๓ อย่าง คือ
๑. อิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์ หรือแสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ เช่น เดินน้ำ ดำดิน ล่องหน หายตัว เหาะเหิน บันดาลอะไรต่างๆ
๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการทายใจ หรือรู้ใจคนอื่นได้เป็นอัศจรรย์ รู้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไร ต้องการจะทำอะไร เป็นต้น
๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือคำสั่งสอน หรือสอนให้รู้เข้าใจและทำได้จริงเป็นอัศจรรย์ ชี้แจงอธิบาย ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญารู้ถึงความจริงได้ด้วยตนเอง
ปาฏิหาริย์ ๒ อย่างแรก คือ ฤทธิ์และการดักใจทายใจได้นั้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ ไม่ทรงสนับสนุน และตรัสว่าทรงรัจเกียจด้วยซ้ำไป แต่ทรงสรรเสริญปาฏิหาริย์ข้อที่ ๓ คือ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์"
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? ฤทธิ์ มีข้อเสียอย่างไร นอกจากที่เคยพูดมาแล้ว ขอสรุปให้ว่า ฤทธิ์กำจัดกิเลสไม่ได้
ฤทธิ์ไม่ทำให้ความโลภ โกรธ หลง ลดน้อยลง ถ้าไม่ระวังจะทำให้กิเลสฟูมากขึ้นด้วยซ้ำ ฤทธิ์ไม่ทำให้รู้เข้าใจสัจจธรรม คือ ไม่ทำให้เกิดปัญญาที่จะรู้เแจ้งความจริงของสิ่งทั้งหลาย จึงไม่สามารถทำใครให้เป็นพระอรหันต์ หรือแม้แต่เป็นพระอริยะชั้นใดๆได้
ในทางตรงข้าม "อนุสาสนี" คือ คำสอนที่แสดงธรรม แสดงความจริง ทำให้คนเกิดปัญญา รู้ความจริง เข้าถึงสัจจธรรมได้ ทำให้คนละกิเลสได้ ทำให้ผู้ฟังและนำไปปฏิบัติบรรลุธรรม เป็นพระอริยะ เป็นพระอรหันต์ได้
คนมาดูเห็นฤทธิ์เห็นความขลัง ก็ได้แต่ตื่นเต้นทันตา แต่ตัวเองไม่ได้อะไร ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นในตัว อาจจะงงงันที่ได้เห็นความอัศจรรย์ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็เลยกลายเป็น มีโมหะ มีอวิชชามากขึ้น และตัวเองก็ทำสิ่งนั้นไม่ได้ เลยต้องเอาตัวไปฝากไปขึ้นกับผู้ที่ขลังมีฤทธิ์ เลยดีแก่ผู้แสดงฤทธิ์ ชาวบ้านที่ดู ยิ่งเชื่อก็ยิ่งหมดอิสรภาพในการกระทำของตัว
ตรงข้ามกับ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญา รู้ความจริง ผู้สอนรู้อย่างไร ผู้ฟังเข้าใจก็รู้ได้อย่างนั้น และเอาความรู้นั้นไปทำอะไรให้เกิดผลด้วยตนเองได้ ผู้ฟังเป็นผู้ได้ คือ ได้ปัญญา และปัญญานั้นก็เป็นของของเขาเอง เขาจะไปไหนปัญญาก็ไปด้วย ผู้ฟังก็เป็นอิสระ ไม่ต้องมาขึ้นต่อผู้สอน ไม่ต้องคอยรอพึ่งผู้สอนเรื่อยไปเหมือนอย่างพวกที่เชื่อฤทธิ์ เชื่อความขลัง ที่ทำตัวเองมืดมัว ต้องรอให้เขาบันดาลผลให้
อีกอย่างหนึ่ง ผู้มีฤทธิ์กับคนพึ่งฤทธิ์ มักจะมาพบกันในระบบผลประโยชน์ โดยต่างก็ต้องการผลได้บางอย่างแก่ตน คนที่มาหาผู้มีฤทธิ์ก็ต้องการโชคลาภ จากความขลัง หรือการดลบันดาลของผู้มีฤทธิ์ ผู้แสดงฤทธิ์ก็หวังลาภสักการะจากคนที่มาขอผล กลายเป็น "ความสัมพันธ์ในเชิงกิเลส" โดยเฉพาะการกระทำเพื่อสนอง "โลภะ"
เมื่อเรื่องความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ เข้ามาแทรกในการทำบุญทำทานในพระศาสนา ความวิปริตผิดเพี้ยนก็เกิดขึ้น ผู้ทำบุญหรือผู้บริจาคแทนที่จะบริจาคทรัพย์ให้ด้วยมองเห็นคุณประโยชน์ของสิ่งที่จะร่วมสร้างสรรค์ ว่าจะเป็นการส่งเสริมกิจการพระศาสนา หรือช่วยให้เกิดประโยชน์สุขแก่ส่วนรวมอย่างนั้นๆ #ก็มองเหมือนการแลกเปลี่ยนซื้อขายที่ตนจะได้สิ่งตอบแทน คือมุ่งจะได้ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จึงเอาเงินมาบริจาคให้ ใจก็คิดแต่จะให้ได้ของนั้นตอบแทน โดยไม่ได้คำนึงว่าผู้มีฤทธิ์หรือผู้จัดทำสิ่งขลังศักดิ์สิทธิ์จะเอาเงินนั้นไปทำอะไรอย่างไร จึงเป็นการผันแปรจากการทำบุญบริจาคด้วยปัญญาที่พิจารณาเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะส่งเสริม พร้อมกับการเสียสละละกิเลส และพัฒนาคุณธรรมขึ้นในใจของตน กลายมาเป็นการจ่ายเงินออกไปด้วยโลภะ ที่มุ่งจะเอาของตอบแทน ภายใต้ความปกคลุมของโมหะ ที่ไม่รู้ไม่คำนึงว่าอะไรเพื่ออะไรและจะเป็นไปอย่างไร
ผลร้ายที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งของความไม่รู้หลักพระศาสนา ไม่รู้จักแยกระหว่างพระอริยะกับผู้วิเศษ ไม่รู้ฐานะของความขลังศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ว่าเป็นอย่างไร ในพระศาสนา นอกจากทำให้เขวออกไปจากตัวแท้ตัวจริงของพระศาสนา และทำให้พระพุทธศาสนาเลือนลางลงไปแล้ว เพราะความไม่เข้าใจแยกว่าผู้วิเศษเป็นคนละอย่างกับพระอริยะ ไปฝากความเป็นพระอรหันต์ไว้กับความขลังศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พอผู้วิเศษซึ่งยังมีกิเลสปรากฏพฤติกรรมเสื่อมทราม ก็คร่ำครวญบ่นว่าพระที่สูงเลิศก็ยังเป็นถึงอย่างนี้ คงจะหาพระดีที่จะไหว้อีกไม่ได้ ซึ่งแท้จริงจะต้องทบทวนพิจารณาตนเองใหม่ว่า พระดีไม่มีให้ไหว้ หรือคนไหว้นับถือผิด จึงมองไม่เห็นพระดีที่จะไหว้ และทำให้พระดีที่น่าไหว้ค่อยๆ ลดน้อยลงไปจากพระศาสนา
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ธรรมนิพนธ์ "เมืองไทยจะวิกฤต ถ้าคนไทยศรัทธาวิปริต"