ไม่นับพวกที่ไม่มีความประสงค์จะผูกมัด หรือ แต่งงานนะคะ
สมัยนี้ ผู้หญิงเรามีทางเลือกเสมอค่ะ บางคนชอบอยู่โสด ๆ สวย ๆ ปลอดภาระ อยากไปเที่ยวไปกินที่ไหน อยากเข้ากรรมฐานสักเดือนนึง อยากใช้ตังค์ อยากช้อปปิ้งบ้าเลือดแค่ไหน อยากดูซีรีส์จนถึงสว่าง ก็ทำได้โดยไม่มีใครคอยกวน
ถ้าคุณเป็นประเภทข้างบน ก็ข้ามกระทู้นี้ไปเลยค่ะ
เราเจอ และเคยได้ยิน ได้ฟังคำกึ่ง ๆ บ่น กึ่ง ๆ พ้อ กึ่ง ๆ สงสัยนิด ๆ จากสาวโสดสวย นิสัยดี หลายคน ที่อยากมีครอบครัว อยากแต่งงาน
แต่กลับไม่ได้แต่งเสียที หรือ กว่าจะได้แต่งก็โน่น ช้ากว่าที่คิดไว้เยอะมาก ๆ
จนเรา ขอ (บังอาจ) มาตั้งกระทู้ และแชร์สิ่งที่คิดและที่เห็น ไว้แลกเปลี่ยนกันนะคะ
คนโสดที่ไม่ตั้งใจโสดที่เราเห็นมักแชร์คุณลักษณะเหล่านี้
1. เอาที่ mindset ก่อนเลยนะคะ ไม่กล้ากระทั่งจะยอมรับกับตัวเองว่าอยากมีแฟน อาจจะติดความคิดแบบกุลสตรีโบราณประเภท
“บ้า ... จะให้เดินไปทักเค้าก่อนได้ไง”
“จะดีเหรอ ... ทำแบบนี้เค้าต้องคิดว่าเราอ่อยแน่”
“อืม...ไม่อยากมีหรอกแฟน อยากอยู่บ้านคอยดูแลพ่อแม่”
“โอย...เค้าจะคิดว่าเราแรดรึเปล่านะ ?”
2. ไม่ค่อยกล้าเข้าสังคม ไม่เข้าหาใครก่อน ไม่กล้าพูดกล้าคุย ไม่มั่นใจในตนเอง
3. กลัวคำวิจารณ์
4. อีกประเภทหนึ่งที่จะไม่มีแฟนไปเลย ก็พวกที่ “ล้น” สุดโต่งไปอีกด้านหนึ่งจนเกินไป
เช่น แสดงออกอย่างกระเหี้ยนกระหือมากไปว่าอยากมีแฟน เข้าหาจนน่ากลัว
ออกท่าออกทางเป็น “นักล่า” จนเกินไป แบบนี้ ก็จะหาแฟนยากอีกนั่นแหละ แถมบางครั้ง อาจได้คำวิจารณ์แบบแสบ ๆ คัน ๆ มาเป็นของแถมด้วย
นอกจากนั้น บางคน ก็กล้า ๆ กลัว ๆ เบื่อ ๆ อยาก ๆ วันนี้อยากมี พรุ่งนี้อยากโสด โลเลชักเข้าชักออกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ท้ายสุดก็ได้โสดจริง ๆ แล้วก็มาบ่นเบื่อความโสด
พวกนี้ โสดเพราะ
1. หาคนตรงสเป็คไม่ได้ ประเภท “แม้ชาตินี้สิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า” คนประเภทนี้ เรานับถือนะ เพราะเป็นพวกยอมหัก ไม่ยอมงอ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่ยอมลดสเป็คสิ่งที่ตัวเองหมายมั่น (น่าจะให้ไปนั่งเป็นบอร์ดกรรมการจัดซื้อของประเทศเรา 555 )
2. มีแผลเก่า กลัวเจ็บซ้ำ ๆ ซาก ๆ กลัวเจอคนแบบเดิม ๆ ปัญหาเดิม ๆ แล้วกลัวตัวเองจะตกไปในวังวนเดิม ๆ
3. ขังตัวเองไว้กับความคิดบางอย่างแล้วไม่ยอมก้าวข้ามผ่าน อาจเนื่องจากมาจากประสบการณ์ในครอบครัวเช่น
โตมาในครอบครัวที่มีแต่คนเจ้าชู้ แล้วก็จะฝังใจกับความคิดว่า “ผู้ชายมันก็เจ้าชู้เหมือนกันหมดนั่นแหละ” เฮ้อ...
เอ...แต่วันนี้ ไม่ตั้งใจจะมาพูดเรื่องข้างบนนี้ซะทีเดียว แต่เม้าธ์มอยฝอยเพลินไปหน่อย
วันนี้ จะมาแชร์ตัวอย่าง การ “ปิดเกมส์เร็ว” ของเพื่อนผู้หญิงที่เราเคยได้เห็นมาให้ฟังค่ะ
เมื่อวานซืน เราคุยกับเพื่อนเกาหลีคนหนึ่ง คุยกันจุ๊งจิ๊งเรื่อง เธอแต่งงานตอนอายุเท่าไร เจอแฟนได้ไง ฯลฯ
สิ่งที่เธอเล่าให้ฟังตรงกับสิ่งที่เพื่อนสนิทเราคนหนึ่งทำ และเราเองก็เคยเห็นตัวอย่างมา
เพื่อนเกาหลีคนนี้แต่งงานมาสิบกว่าปีแล้วนะคะ แฟนเธอก็เป็นผู้ชายที่ดี เป็น family man และ น่ารักมาก เธอเองเคยบอกเราว่า เธอเป็นคริสต์ อาจไม่มีความเชื่อเรื่องชาติหน้า แต่ถ้าชาติหน้ามีจริง เธอก็คิดว่าจะแต่งกับผู้ชายคนนี้อีกนั่นแหละ เราเหวอไปเลย เฮ้ย...ขนาดนั้นเชียวหรือ
เพื่อนคนนี้ เป็นผู้หญิงเก่งนะคะ เธอเป็นผู้หญิงทำงานมาก่อน รอบรู้ อ่านหนังสือเยอะ มีลักษณะเป็นผู้นำ กล้าแสดงออก สมัยสาว ๆ เคยเป็น trainee ของบริษัทเดินเรือระดับโลก เธอเคยไปฝึกงานและใช้ชีวิตทั้งที่อเมริกา และยุโรป ได้พบผู้คนมากมาย มีแฟนมาก็เยอะแยะ เป็นพวก work hard play hard เคยแต่งตัวจัด เที่ยวจัด ดื่มจัด
แต่ท้ายสุด ก็มาลงเอยกับแฟนคนนี้ผ่าน “แม่สื่อ”
โอย...อยากจะขำ
ค่ะ...เธอรู้จักสามีเธอผ่านระบบแม่สื่อแบบโบราณ รู้จักได้ไม่ถึงปีมั้ง ก็แต่งงาน แล้วก็อยู่กินกันมาผาสุกดี จนทุกวันนี้
เพื่อนสนิทของดิฉันที่คบกันมาตั้งแต่เราอยู่ต่างจังหวัด ก็ลงเอยกับสามีแบบง่าย ๆ แล้วถ้าไม่เป็นการขายเพื่อนจนเกินไป ก็ต้องบอกว่า เพื่อนดิฉันแอบส่งกุหลาบให้คุณว่าที่สามีก่อนเพื่อทำความรู้จักด้วยซ้ำไป
รู้จักกัน ไม่ถึง 2 ปี ก็แต่งงาน แล้วก็อยู่กันมาจนวันนี้
ปัญหามีบ้างแบบครอบครัวทั่วไป แต่ไม่เลวร้าย หรือ ร้ายแรงจนแก้ไขไม่ได้
ถามว่า สองคนนี้ ปิดเกมส์เร็วได้ยังไง และมีลักษณะอะไรบ้างที่คล้ายกันในการบริหารความสัมพันธ์
1. เปิดเผย ชัดเจน และตรงไปตรงมา
2. รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และกล้าบอกความต้องการของตัวเอง
3. ไม่กลัวด้วยว่า บอกไปแล้วจะผิดหวัง เพราะถ้าความต้องการไม่ตรงกัน จบกันดี ๆ เร็ว ๆ ง่าย ๆ ก็ไม่เสียเวลาในชีวิตด้วย
เพื่อนเล่าว่า หลังจากแม่สื่อแนะนำให้รู้จักกันแล้ว และเธอเองก็เริ่มมีความคิดว่าอยากลงเอยสร้างครอบครัวกับใครสัก
คนแล้ว เธอก็จัดการเขียนจดหมายแนะนำตัว เล่าชีวิต ประสบการณ์การทำงาน ความชอบ นิสัยส่วนตัวอย่างตรงไปตรงมาให้กับ (ว่าที่) แฟนได้รู้
คุณแฟนเธอก็ทำอย่างเดียวกัน
จนคุณแฟนเธอ (ซึ่งเป็นคนเกาหลีเหมือนกันแต่ไม่ได้อยู่ในประเทศ) บอกว่าจะบินไปหาเธอที่เกาหลี เธอบอกว่า ตอนนั้น คิดว่า ไม่เอาดีกว่า กลัวคุณว่าที่แฟนจะมาหาเธอที่กรุงโซลด้วยชุดเชย ๆ (แบบไม่เข้ากับฤดูกาล เอ้า ...ก็ตอนนั้น เธอเป็นสาวสวย สาวเปรี้ยวนี่) แล้วถ้าอีตานั่นเชย เธอก็คิดว่า อี๋... เดี๋ยวก็ต้องไปรับ แล้วก็จะมานั่งนัดคุยกันตามล็อบบี้
No No No ไม่เอาดีกว่า เธอเป็นฝ่ายมาเยี่ยมที่เมืองไทยดีกว่า
คุณว่าที่แฟนในขณะนั้น บอกว่าจะจองโรงแรมให้ เธอบอกว่า
“ไม่ต้องหรอก บ้านเธอมีห้องเหลืออีกห้องหนึ่งรึเปล่า ? ถ้ามีก็เตรียมห้องพักไว้ให้ฉันก็แล้วกัน ไหน ๆ เราก็จะทำความรู้จักกันแล้ว ชั้นก็น่าจะได้รู้จักครอบครัวเธอ พ่อเธอ แม่เธอด้วย”
หูย... เรานับถือเลย ... เรายังแซวเลยว่า เฮ้ย... นี่เปิดเกมส์เร็วเลยนี่หว่า
หลังจากพาตัวเธอเองไปพัก และไปรู้จักบ้านครอบครัวแฟนเธอแล้ว เธอก็ประเมินและตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเอาไงต่อ แล้วภายในไม่ถึงปี
ก็เรียบร้อย แต่งงานกัน ใช้ชีวิตกันอย่างผาสุกดีมาจนวันนี้
คุณเพื่อนเราก็เช่นกัน หลังจาก จีบ ๆ อีตาหนุ่มอังกฤษที่ทำงานที่เดียวกันด้วยดอกกุหลาบสีแดง 1 ดอก
ก็เริ่มทำความรู้จักกัน คบกันได้สักพัก พ่อหนุ่มนี่ต้องย้ายไปฮ่องกง เพื่อนเราถามตรง ๆ อย่างเปิดเผยเลยว่า จะเอาไงดีจ๊ะ ... ถ้าจริงจัง เราก็แต่งงานกัน ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไรนะ
เหมือนจะกดดันนะ แต่ก็กดดันนั่นแหละ ให้ฝ่ายชายหนุ่มต้องกลับไปทบทวนสัมพันธภาพอย่างจริงจังว่า “ตกลงจะเอาไง”
ก็โอเค เรียบร้อยไปอีกราย ตอนนี้ ลูกน่าจะอยู่ชั้นมัธยมแล้วมั้ง
แล้วสองสาวที่เคยใช้ชีวิตสุดเหวียง ดื่มหนัก เที่ยวหนัก ปาร์ตี้หนัก ก็กลายสภาพมาเป็นแม่บ้านเจ็ดดาว วัน ๆ โพสต์แต่การทำอาหารแนวสุขภาพ การดูแลร่างกาย มือที่เคยคีบบุหรี่ ถือแก้วเหล้าอยู่เป็นนิจ ก็กลายมาเป็นถือตะกร้อตีแป้ง นวดขนมปังทำจากแป้งไม่ขัดขาว ในขณะเดียวกัน ความรู้ ความสามารถที่เคยมีตอนทำงานก็เปลี่ยนมาใช้บริหารจัดการพอร์ตการลงทุน หรือ รับเขียนรายงาน ทำเอกสารเชิงวิชาการเป็นงานพาร์ทไทม์ไปซะ
ส่วนตัวเรามีความคิดว่า คนที่มาคบกันตอนเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ และความรับผิดชอบแล้ว ถ้าสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยความต้องการซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ พวกนี้จะใช้เวลาไม่นาน คบกันสักปีสองปี ก็มักจะตกล่องปล่องชิ้น
พวกที่คบกันมานาน ๆ แล้วถึงจุดหนึ่ง ไม่ “ยกระดับ” หรือ “เปลี่ยนสถานะ” ความสัมพันธ์ จะจืดจาง และเลิกรากันไปในที่สุด
และในสถานการณ์แบบนี้ ผู้หญิงมักจะเสียเปรียบ เพราะผูกพันไปแล้ว และตัวเองก็มักจะหมดความมั่นใจว่า อายุมากขึ้นไปทุกที คุณสมบัติทางกายภาพก็อาจจะค่อย ๆ ด้อยลงเรื่อย ๆ จนบางที ถึงขนาดต้องมาบ่นทำนอง “เสียดายวัยสาว” อะไรทำนองนั้น
ทำไมไม่มีแฟน ทำไมแฟนไม่ขอแต่งงานซะที มา...เรามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ประสบการณ์ปิดเกมส์เร็วที่เคยเห็น
สมัยนี้ ผู้หญิงเรามีทางเลือกเสมอค่ะ บางคนชอบอยู่โสด ๆ สวย ๆ ปลอดภาระ อยากไปเที่ยวไปกินที่ไหน อยากเข้ากรรมฐานสักเดือนนึง อยากใช้ตังค์ อยากช้อปปิ้งบ้าเลือดแค่ไหน อยากดูซีรีส์จนถึงสว่าง ก็ทำได้โดยไม่มีใครคอยกวน
ถ้าคุณเป็นประเภทข้างบน ก็ข้ามกระทู้นี้ไปเลยค่ะ
เราเจอ และเคยได้ยิน ได้ฟังคำกึ่ง ๆ บ่น กึ่ง ๆ พ้อ กึ่ง ๆ สงสัยนิด ๆ จากสาวโสดสวย นิสัยดี หลายคน ที่อยากมีครอบครัว อยากแต่งงาน
แต่กลับไม่ได้แต่งเสียที หรือ กว่าจะได้แต่งก็โน่น ช้ากว่าที่คิดไว้เยอะมาก ๆ
จนเรา ขอ (บังอาจ) มาตั้งกระทู้ และแชร์สิ่งที่คิดและที่เห็น ไว้แลกเปลี่ยนกันนะคะ
คนโสดที่ไม่ตั้งใจโสดที่เราเห็นมักแชร์คุณลักษณะเหล่านี้
1. เอาที่ mindset ก่อนเลยนะคะ ไม่กล้ากระทั่งจะยอมรับกับตัวเองว่าอยากมีแฟน อาจจะติดความคิดแบบกุลสตรีโบราณประเภท
“บ้า ... จะให้เดินไปทักเค้าก่อนได้ไง”
“จะดีเหรอ ... ทำแบบนี้เค้าต้องคิดว่าเราอ่อยแน่”
“อืม...ไม่อยากมีหรอกแฟน อยากอยู่บ้านคอยดูแลพ่อแม่”
“โอย...เค้าจะคิดว่าเราแรดรึเปล่านะ ?”
2. ไม่ค่อยกล้าเข้าสังคม ไม่เข้าหาใครก่อน ไม่กล้าพูดกล้าคุย ไม่มั่นใจในตนเอง
3. กลัวคำวิจารณ์
4. อีกประเภทหนึ่งที่จะไม่มีแฟนไปเลย ก็พวกที่ “ล้น” สุดโต่งไปอีกด้านหนึ่งจนเกินไป
เช่น แสดงออกอย่างกระเหี้ยนกระหือมากไปว่าอยากมีแฟน เข้าหาจนน่ากลัว
ออกท่าออกทางเป็น “นักล่า” จนเกินไป แบบนี้ ก็จะหาแฟนยากอีกนั่นแหละ แถมบางครั้ง อาจได้คำวิจารณ์แบบแสบ ๆ คัน ๆ มาเป็นของแถมด้วย
นอกจากนั้น บางคน ก็กล้า ๆ กลัว ๆ เบื่อ ๆ อยาก ๆ วันนี้อยากมี พรุ่งนี้อยากโสด โลเลชักเข้าชักออกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ท้ายสุดก็ได้โสดจริง ๆ แล้วก็มาบ่นเบื่อความโสด
พวกนี้ โสดเพราะ
1. หาคนตรงสเป็คไม่ได้ ประเภท “แม้ชาตินี้สิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า” คนประเภทนี้ เรานับถือนะ เพราะเป็นพวกยอมหัก ไม่ยอมงอ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่ยอมลดสเป็คสิ่งที่ตัวเองหมายมั่น (น่าจะให้ไปนั่งเป็นบอร์ดกรรมการจัดซื้อของประเทศเรา 555 )
2. มีแผลเก่า กลัวเจ็บซ้ำ ๆ ซาก ๆ กลัวเจอคนแบบเดิม ๆ ปัญหาเดิม ๆ แล้วกลัวตัวเองจะตกไปในวังวนเดิม ๆ
3. ขังตัวเองไว้กับความคิดบางอย่างแล้วไม่ยอมก้าวข้ามผ่าน อาจเนื่องจากมาจากประสบการณ์ในครอบครัวเช่น
โตมาในครอบครัวที่มีแต่คนเจ้าชู้ แล้วก็จะฝังใจกับความคิดว่า “ผู้ชายมันก็เจ้าชู้เหมือนกันหมดนั่นแหละ” เฮ้อ...
เอ...แต่วันนี้ ไม่ตั้งใจจะมาพูดเรื่องข้างบนนี้ซะทีเดียว แต่เม้าธ์มอยฝอยเพลินไปหน่อย
วันนี้ จะมาแชร์ตัวอย่าง การ “ปิดเกมส์เร็ว” ของเพื่อนผู้หญิงที่เราเคยได้เห็นมาให้ฟังค่ะ
เมื่อวานซืน เราคุยกับเพื่อนเกาหลีคนหนึ่ง คุยกันจุ๊งจิ๊งเรื่อง เธอแต่งงานตอนอายุเท่าไร เจอแฟนได้ไง ฯลฯ
สิ่งที่เธอเล่าให้ฟังตรงกับสิ่งที่เพื่อนสนิทเราคนหนึ่งทำ และเราเองก็เคยเห็นตัวอย่างมา
เพื่อนเกาหลีคนนี้แต่งงานมาสิบกว่าปีแล้วนะคะ แฟนเธอก็เป็นผู้ชายที่ดี เป็น family man และ น่ารักมาก เธอเองเคยบอกเราว่า เธอเป็นคริสต์ อาจไม่มีความเชื่อเรื่องชาติหน้า แต่ถ้าชาติหน้ามีจริง เธอก็คิดว่าจะแต่งกับผู้ชายคนนี้อีกนั่นแหละ เราเหวอไปเลย เฮ้ย...ขนาดนั้นเชียวหรือ
เพื่อนคนนี้ เป็นผู้หญิงเก่งนะคะ เธอเป็นผู้หญิงทำงานมาก่อน รอบรู้ อ่านหนังสือเยอะ มีลักษณะเป็นผู้นำ กล้าแสดงออก สมัยสาว ๆ เคยเป็น trainee ของบริษัทเดินเรือระดับโลก เธอเคยไปฝึกงานและใช้ชีวิตทั้งที่อเมริกา และยุโรป ได้พบผู้คนมากมาย มีแฟนมาก็เยอะแยะ เป็นพวก work hard play hard เคยแต่งตัวจัด เที่ยวจัด ดื่มจัด
แต่ท้ายสุด ก็มาลงเอยกับแฟนคนนี้ผ่าน “แม่สื่อ”
โอย...อยากจะขำ
ค่ะ...เธอรู้จักสามีเธอผ่านระบบแม่สื่อแบบโบราณ รู้จักได้ไม่ถึงปีมั้ง ก็แต่งงาน แล้วก็อยู่กินกันมาผาสุกดี จนทุกวันนี้
เพื่อนสนิทของดิฉันที่คบกันมาตั้งแต่เราอยู่ต่างจังหวัด ก็ลงเอยกับสามีแบบง่าย ๆ แล้วถ้าไม่เป็นการขายเพื่อนจนเกินไป ก็ต้องบอกว่า เพื่อนดิฉันแอบส่งกุหลาบให้คุณว่าที่สามีก่อนเพื่อทำความรู้จักด้วยซ้ำไป
รู้จักกัน ไม่ถึง 2 ปี ก็แต่งงาน แล้วก็อยู่กันมาจนวันนี้
ปัญหามีบ้างแบบครอบครัวทั่วไป แต่ไม่เลวร้าย หรือ ร้ายแรงจนแก้ไขไม่ได้
ถามว่า สองคนนี้ ปิดเกมส์เร็วได้ยังไง และมีลักษณะอะไรบ้างที่คล้ายกันในการบริหารความสัมพันธ์
1. เปิดเผย ชัดเจน และตรงไปตรงมา
2. รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และกล้าบอกความต้องการของตัวเอง
3. ไม่กลัวด้วยว่า บอกไปแล้วจะผิดหวัง เพราะถ้าความต้องการไม่ตรงกัน จบกันดี ๆ เร็ว ๆ ง่าย ๆ ก็ไม่เสียเวลาในชีวิตด้วย
เพื่อนเล่าว่า หลังจากแม่สื่อแนะนำให้รู้จักกันแล้ว และเธอเองก็เริ่มมีความคิดว่าอยากลงเอยสร้างครอบครัวกับใครสัก
คนแล้ว เธอก็จัดการเขียนจดหมายแนะนำตัว เล่าชีวิต ประสบการณ์การทำงาน ความชอบ นิสัยส่วนตัวอย่างตรงไปตรงมาให้กับ (ว่าที่) แฟนได้รู้
คุณแฟนเธอก็ทำอย่างเดียวกัน
จนคุณแฟนเธอ (ซึ่งเป็นคนเกาหลีเหมือนกันแต่ไม่ได้อยู่ในประเทศ) บอกว่าจะบินไปหาเธอที่เกาหลี เธอบอกว่า ตอนนั้น คิดว่า ไม่เอาดีกว่า กลัวคุณว่าที่แฟนจะมาหาเธอที่กรุงโซลด้วยชุดเชย ๆ (แบบไม่เข้ากับฤดูกาล เอ้า ...ก็ตอนนั้น เธอเป็นสาวสวย สาวเปรี้ยวนี่) แล้วถ้าอีตานั่นเชย เธอก็คิดว่า อี๋... เดี๋ยวก็ต้องไปรับ แล้วก็จะมานั่งนัดคุยกันตามล็อบบี้
No No No ไม่เอาดีกว่า เธอเป็นฝ่ายมาเยี่ยมที่เมืองไทยดีกว่า
คุณว่าที่แฟนในขณะนั้น บอกว่าจะจองโรงแรมให้ เธอบอกว่า
“ไม่ต้องหรอก บ้านเธอมีห้องเหลืออีกห้องหนึ่งรึเปล่า ? ถ้ามีก็เตรียมห้องพักไว้ให้ฉันก็แล้วกัน ไหน ๆ เราก็จะทำความรู้จักกันแล้ว ชั้นก็น่าจะได้รู้จักครอบครัวเธอ พ่อเธอ แม่เธอด้วย”
หูย... เรานับถือเลย ... เรายังแซวเลยว่า เฮ้ย... นี่เปิดเกมส์เร็วเลยนี่หว่า
หลังจากพาตัวเธอเองไปพัก และไปรู้จักบ้านครอบครัวแฟนเธอแล้ว เธอก็ประเมินและตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเอาไงต่อ แล้วภายในไม่ถึงปี
ก็เรียบร้อย แต่งงานกัน ใช้ชีวิตกันอย่างผาสุกดีมาจนวันนี้
คุณเพื่อนเราก็เช่นกัน หลังจาก จีบ ๆ อีตาหนุ่มอังกฤษที่ทำงานที่เดียวกันด้วยดอกกุหลาบสีแดง 1 ดอก
ก็เริ่มทำความรู้จักกัน คบกันได้สักพัก พ่อหนุ่มนี่ต้องย้ายไปฮ่องกง เพื่อนเราถามตรง ๆ อย่างเปิดเผยเลยว่า จะเอาไงดีจ๊ะ ... ถ้าจริงจัง เราก็แต่งงานกัน ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไรนะ
เหมือนจะกดดันนะ แต่ก็กดดันนั่นแหละ ให้ฝ่ายชายหนุ่มต้องกลับไปทบทวนสัมพันธภาพอย่างจริงจังว่า “ตกลงจะเอาไง”
ก็โอเค เรียบร้อยไปอีกราย ตอนนี้ ลูกน่าจะอยู่ชั้นมัธยมแล้วมั้ง
แล้วสองสาวที่เคยใช้ชีวิตสุดเหวียง ดื่มหนัก เที่ยวหนัก ปาร์ตี้หนัก ก็กลายสภาพมาเป็นแม่บ้านเจ็ดดาว วัน ๆ โพสต์แต่การทำอาหารแนวสุขภาพ การดูแลร่างกาย มือที่เคยคีบบุหรี่ ถือแก้วเหล้าอยู่เป็นนิจ ก็กลายมาเป็นถือตะกร้อตีแป้ง นวดขนมปังทำจากแป้งไม่ขัดขาว ในขณะเดียวกัน ความรู้ ความสามารถที่เคยมีตอนทำงานก็เปลี่ยนมาใช้บริหารจัดการพอร์ตการลงทุน หรือ รับเขียนรายงาน ทำเอกสารเชิงวิชาการเป็นงานพาร์ทไทม์ไปซะ
ส่วนตัวเรามีความคิดว่า คนที่มาคบกันตอนเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ และความรับผิดชอบแล้ว ถ้าสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยความต้องการซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ พวกนี้จะใช้เวลาไม่นาน คบกันสักปีสองปี ก็มักจะตกล่องปล่องชิ้น
พวกที่คบกันมานาน ๆ แล้วถึงจุดหนึ่ง ไม่ “ยกระดับ” หรือ “เปลี่ยนสถานะ” ความสัมพันธ์ จะจืดจาง และเลิกรากันไปในที่สุด
และในสถานการณ์แบบนี้ ผู้หญิงมักจะเสียเปรียบ เพราะผูกพันไปแล้ว และตัวเองก็มักจะหมดความมั่นใจว่า อายุมากขึ้นไปทุกที คุณสมบัติทางกายภาพก็อาจจะค่อย ๆ ด้อยลงเรื่อย ๆ จนบางที ถึงขนาดต้องมาบ่นทำนอง “เสียดายวัยสาว” อะไรทำนองนั้น