Keep “คราม” กับ เลสเตอร์ ซิตี้
เมื่อพูดถึง “คราม” หลายคนอาจจะนึกถึงอัลบั้มดังเมื่อปี พ.ศ. 2553 ของวงดนตรีที่ชื่อ บอดี้สแลม หรืออาจจะเลยไปถึงการเล่นมุกคาเฟ่ต่างๆ นานา แต่เชื่อเหลือเกินว่ายังมีอีกหลายคนที่นึกถึงศาสตร์การย้อมผ้าโบราณของไทย ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี
แต่ใครจะคิดว่า สินค้าจากผ้าครามจะไปปรากฏตัวอยู่บนดิสเพลย์หลักของร้านขายของที่ระลึกของสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ ในลีกการฟาดแข้งที่ทั่วโลกยกย่องว่าตื่นเต้นเร้าใจที่สุดอย่างพรีเมียร์ลีก ผลผลิตจากสมองและฝีมือคนไทยจากจังหวัดสกลนคร ได้เดินทางไปไกลจนถึงประเทศอังกฤษเลยทีเดียว
ดิสเพลย์ที่ร้านขายของที่ระลึกของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้
แม้จะมีการพยายามนำพาเทคนิคการย้อมครามออกสู่ตลาดโลกแตกต่างสเกลกันไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ในตอนนี้ “คราม” ได้ออกสู่โลกกว้างอย่างแท้จริง ในวันที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้นำพาครามไปสู่คอลเลกชั่นสินค้าที่ระลึกประจำสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ คิง เพาเวอร์ เป็นเจ้าของนั่นเอง
“ทางเรามีแนวคิดที่จะนำภูมิปัญญาท้องถิ่นจากชุมชนต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพฯ และผ่านออกไปสู่ระดับโลกครับ นั่นเป็นสิ่งที่เราพยายามเสมอมา” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าว แต่สิ่งที่เราสงสัยนอกเหนือจากนั้นก็คือ เหตุใดเขาจึงนำ “คราม” มาเป็นตัวชูโรง
คอลเลกชั่น INDIGO
อัยยวัฒน์ เล่าว่า ผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาไทยที่ควรอนุรักษ์และส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทของคนไทยอย่าง คิง เพาเวอร์ ที่เชื่อในศักยภาพของคนไทย และมุ่งมั่นสนับสนุนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคนไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกมาโดยตลอด
และนั่นก็คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการผ้าย้อมครามคอลเลกชั่น “INDIGO” ในครั้งนี้นั่นเอง
โดยคอลเลกชั่นดังกล่าวได้เริ่มจัดจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ในแมตช์ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เล่นในรังของตนเองเป็นนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2017-2018 ต้อนรับผู้มาเยือนอย่าง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่วนแฟนๆ ชาวไทยไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผลิตภัณฑ์จากคอลเลกชั่นนี้มีขายที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา
โมเดิร์นคราม
การเผยโฉมครั้งแรกของ “INDIGO” นั้นประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 7 ชนิด เริ่มด้วย เสื้อยืดลายปัก เสื้อยืดลายพิมพ์ เสื้อโปโล ผ้าพันคอ หมวกแก๊ป หมวกไหมพรม และกระเป๋าใส่ของอเนกประสงค์ คาดเดาว่าจะมีการนำครามไปต่อยอดผลิตสินค้าอีกหลายชนิดแน่นอน
เสื้อโปโลจากคอลเลกชั่น INDIGO
ความน่าสนใจของคอลเลกชั่นแรกนี้ นอกจากการผสมดีไซน์ร่วมสมัยเข้ากับเทคนิคการย้อมผ้าโบราณของไทยเราแล้ว ยังมีเรื่องของความน่าดึงดูดจากสโมสรฟุตบอล “จิ้งจอกสยาม” ที่กลายมาเป็นขวัญใจคนไทยในช่วงเวลา 8 ปีที่ คิง เพาเวอร์ ได้ทำการซื้อกิจการและบริหารสโมสรจนกระทั่งได้แชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่น 2015-2016 ได้อย่างสวยงาม รวมถึงเป็นการหักปากกาเซียนของนักวิจารณ์ทุกสำนักอย่างราบคาบ
หมวกแก๊ปที่ควรมีไว้ในครอบครอง
ในแง่ของการออกแบบที่ต้องผสมผสานทั้งความเป็นไทย ความพิเศษของผ้า ความทันสมัย ใส่ได้จริง พร้อมทั้งแรงศรัทธาจากแฟนบอล สัญลักษณ์ บวกกับมาสคอต Filbert Fox ลงไปด้วยนั้น เรียกได้ว่าทีมคิง เพาเวอร์ ตอบโจทย์ได้อย่างดีทีเดียว เพราะว่าสินค้าทุกชิ้นในคอลเลกชั่น INDIGO สามารถสื่อสารได้ทุกจุดที่ตั้งโจทย์ขึ้นมา ไม่ว่าจะในแง่ความสวยงาม การอนุรักษ์ และการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่เวทีโลก รวมไปถึงความคลั่งไคล้ในความเป็น เลสเตอร์ ซิตี้ ทุกคนน่าจะสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ไม่ว่าจะเป็น หรือไม่ได้เป็นแฟนบอลก็ตาม
เสื้อยืดลายพิมพ์และลายปัก
แต่ในเมื่อนี่คือเทคนิคการย้อมผ้าแบบโบราณอย่างแท้จริงของประเทศไทย อัยยวัฒน์ มีความกังวลหรือไม่ว่าแฟนบอลชาวต่างชาติของ เลสเตอร์ ซิตี้ จะมีอาการ “ไม่อิน” เกิดขึ้น “ผมว่าพวกเขาเข้าใจนะ ชาวเลสเตอร์และชาวต่างชาติในปัจจุบันชื่นชอบผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติอยู่แล้ว และครามก็มีประวัติที่น่าสนใจ และได้รับการเผยแพร่มาอย่างยาวนาน” มากไปกว่านั้นเขายังอธิบายต่อว่า ครามเป็นพืชมหัศจรรย์ เป็นสีเก่าแก่ของโลกที่มีอดีตยาวนานร่วม 6,000 ปี และถือว่าเป็น “ราชาแห่งสีย้อม” อย่างไม่ต้องสงสัย
กว่าจะเป็นคราม
แน่นอนว่าการนำศาสตร์พื้นบ้านมาผสมผสานกับดีไซน์ที่ทันสมัยเป็นครั้งแรกย่อมเกิดปัญหาและอุปสรรคบ้างไม่มากก็น้อย เพราะเจ้าต้นไม้ใบสีเขียวที่มีดอกช่อกลีบชมพูแดงอย่าง “คราม” นั้น กว่าจะทำให้ได้เฉดสีฟ้าอ่อนจนถึงน้ำเงินเข้มอย่างที่เราคุ้นตากัน ก็ต้องผ่านกรรมวิธีแบบดั้งเดิมมากมาย หลังจากเก็บใบครามสดจากต้นบ่มกับน้ำฝน 1 วัน (ย้ำว่าต้องเป็นน้ำฝนเท่านั้น) ใส่ปูนแดง กวน กรองน้ำ เพื่อสกัดจุลินทรีย์ออกมา แล้วก็ต้องเลี้ยงจุลินทรีย์ครามด้วยน้ำฝน เหล้าขาว กล้วยน้ำว้า จนได้สีดิบ ซึ่งเป็นสีเหลืองสุก จากนั้นจึงทำการม้วน มัด และจุ่มในสีดิบ เมื่อสีเกิดการออกซิเดชั่นกับอากาศ จึงแปรเปลี่ยนเป็นสีคราม และลวดลายไม่มีซ้ำอย่างที่เราเห็นกัน
ผ่านกระบวนการมากมาย
อัยยวัฒน์ กล่าวเสริมต่ออีกว่า “ในบางขั้นตอน เราต้องมีการเรียนรู้และเตรียมการผลิตเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมการย้อมผ้าของชุมชนนี้เน้นการย้อมจากเส้นใย แต่สำหรับการย้อมให้ คิง เพาเวอร์ จะเป็นการย้อมจากเสื้อสำเร็จรูป จึงจำเป็นต้องเรียนรู้การย้อมผ้าที่แตกต่างจากวิถีการผลิตแบบดั้งเดิม รวมไปถึงจำนวนต้นครามที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าก็ยังมีจำกัดอีกด้วย”
แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ เราจะได้สัมผัสกับเอกลักษณ์อันโดดเด่นของครามมากมาย อาทิ กันยุง ระบายอากาศ เนื้อผ้านุ่ม สีจากธรรมชาติ 100% ป้องกันรังสียูวี รวมถึงผ้าครามแต่ละชิ้นที่มีลายและสีต่างกันไป เรียกได้ว่า เสื้อ ผ้าพันคอ หรือหมวกเลสเตอร์ ซิตี้ ในคอลเลกชั่นครามนี้ ใส่อย่างไรก็ไม่ซ้ำใครแน่นอน
คิง เพาเวอร์ คราม เพาเวอร์
อัยยวัฒน์ เผยกับเราว่า คอลเลกชั่นครามนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าในขณะนี้ กระแสรักษ์โลกที่ทุกประเทศได้พยายามรณรงค์ขอความร่วมมือเลือกใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมก็กำลังเป็นที่สนใจนั่นเอง
ในร้านขายของที่ระลึกของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้
โดยโปรเจกต์ INDIGO นั้นอยู่ภายใต้โครงการเพื่อสังคม “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ในด้าน Community Power (อีก 3 ด้านที่เหลือได้แก่ Sport Power, Music Power และ Education & Health Power) ซึ่งทาง คิง เพาเวอร์ ได้ร่วมพัฒนาสินค้าร่วมกับชุมชนต่างๆ เพื่อสร้างอาชีพและกระจายรายได้ออกไปให้ทั่วถึง
ในส่วนของ “คราม” คิง เพาเวอร์ ได้ใช้เวลาร่วม 2 ปีกว่าในการเข้าไปร่วมพัฒนาสินค้ากับชุมชนบ้านนาขาม จังหวัดสกลนคร จังหวัดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่ที่ผลิตครามได้สวยงามที่สุดในประเทศไทย ทีมงานของ คิง เพาเวอร์ เล่าให้เราฟังว่า เป็นการเข้าไปเรียนรู้ และทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง มากกว่าที่จะเข้าไปสั่งซื้อของเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงการพัฒนาในระยะยาว ทั้งสองฝ่ายต่างต้องปรับวิธีทำงานเข้าหากันและกัน โดยใช้จุดมุ่งหมายเป็นหลัก ในช่วงแรกชุมชนยังไม่เข้าใจในระบบการผลิต และจำนวนออเดอร์ แต่เมื่อได้เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ทางศิลปินครามทั้งหลายก็มีความภาคภูมิใจที่ผลงานของพวกเขาไปเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลระดับโลก ทางคิง เพาเวอร์ ก็ได้เรียนรู้ถึงวิถีไทยและศาสตร์การย้อมผ้าอย่างถ่องแท้ ในขณะที่ชุมชนก็มีความเข้าใจในการออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ การผลิต การตลาด และช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น
“เร็วๆ นี้เราจะมีโครงการที่ส่งเสริมภูมิปัญญาของคนไทยอีกหลายโครงการ อยากให้ติดตามกันต่อไปนะครับ” อัยยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.sanook.com/sport/703427/
ใต้ฟ้าสี “คราม” ของ เลสเตอร์ ซิตี้ - คิง เพาเวอร์ นำภูมิปัญญาชาวไทยสู่ตลาดโลก
เมื่อพูดถึง “คราม” หลายคนอาจจะนึกถึงอัลบั้มดังเมื่อปี พ.ศ. 2553 ของวงดนตรีที่ชื่อ บอดี้สแลม หรืออาจจะเลยไปถึงการเล่นมุกคาเฟ่ต่างๆ นานา แต่เชื่อเหลือเกินว่ายังมีอีกหลายคนที่นึกถึงศาสตร์การย้อมผ้าโบราณของไทย ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี
แต่ใครจะคิดว่า สินค้าจากผ้าครามจะไปปรากฏตัวอยู่บนดิสเพลย์หลักของร้านขายของที่ระลึกของสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ ในลีกการฟาดแข้งที่ทั่วโลกยกย่องว่าตื่นเต้นเร้าใจที่สุดอย่างพรีเมียร์ลีก ผลผลิตจากสมองและฝีมือคนไทยจากจังหวัดสกลนคร ได้เดินทางไปไกลจนถึงประเทศอังกฤษเลยทีเดียว
ดิสเพลย์ที่ร้านขายของที่ระลึกของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้
แม้จะมีการพยายามนำพาเทคนิคการย้อมครามออกสู่ตลาดโลกแตกต่างสเกลกันไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ในตอนนี้ “คราม” ได้ออกสู่โลกกว้างอย่างแท้จริง ในวันที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้นำพาครามไปสู่คอลเลกชั่นสินค้าที่ระลึกประจำสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ คิง เพาเวอร์ เป็นเจ้าของนั่นเอง
“ทางเรามีแนวคิดที่จะนำภูมิปัญญาท้องถิ่นจากชุมชนต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพฯ และผ่านออกไปสู่ระดับโลกครับ นั่นเป็นสิ่งที่เราพยายามเสมอมา” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าว แต่สิ่งที่เราสงสัยนอกเหนือจากนั้นก็คือ เหตุใดเขาจึงนำ “คราม” มาเป็นตัวชูโรง
คอลเลกชั่น INDIGO
อัยยวัฒน์ เล่าว่า ผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาไทยที่ควรอนุรักษ์และส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทของคนไทยอย่าง คิง เพาเวอร์ ที่เชื่อในศักยภาพของคนไทย และมุ่งมั่นสนับสนุนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคนไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกมาโดยตลอด
และนั่นก็คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการผ้าย้อมครามคอลเลกชั่น “INDIGO” ในครั้งนี้นั่นเอง
โดยคอลเลกชั่นดังกล่าวได้เริ่มจัดจำหน่ายเป็นครั้งแรกที่ เดอะ ซิตี้ แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ในแมตช์ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เล่นในรังของตนเองเป็นนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2017-2018 ต้อนรับผู้มาเยือนอย่าง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่วนแฟนๆ ชาวไทยไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผลิตภัณฑ์จากคอลเลกชั่นนี้มีขายที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา
โมเดิร์นคราม
การเผยโฉมครั้งแรกของ “INDIGO” นั้นประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 7 ชนิด เริ่มด้วย เสื้อยืดลายปัก เสื้อยืดลายพิมพ์ เสื้อโปโล ผ้าพันคอ หมวกแก๊ป หมวกไหมพรม และกระเป๋าใส่ของอเนกประสงค์ คาดเดาว่าจะมีการนำครามไปต่อยอดผลิตสินค้าอีกหลายชนิดแน่นอน
เสื้อโปโลจากคอลเลกชั่น INDIGO
ความน่าสนใจของคอลเลกชั่นแรกนี้ นอกจากการผสมดีไซน์ร่วมสมัยเข้ากับเทคนิคการย้อมผ้าโบราณของไทยเราแล้ว ยังมีเรื่องของความน่าดึงดูดจากสโมสรฟุตบอล “จิ้งจอกสยาม” ที่กลายมาเป็นขวัญใจคนไทยในช่วงเวลา 8 ปีที่ คิง เพาเวอร์ ได้ทำการซื้อกิจการและบริหารสโมสรจนกระทั่งได้แชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่น 2015-2016 ได้อย่างสวยงาม รวมถึงเป็นการหักปากกาเซียนของนักวิจารณ์ทุกสำนักอย่างราบคาบ
หมวกแก๊ปที่ควรมีไว้ในครอบครอง
ในแง่ของการออกแบบที่ต้องผสมผสานทั้งความเป็นไทย ความพิเศษของผ้า ความทันสมัย ใส่ได้จริง พร้อมทั้งแรงศรัทธาจากแฟนบอล สัญลักษณ์ บวกกับมาสคอต Filbert Fox ลงไปด้วยนั้น เรียกได้ว่าทีมคิง เพาเวอร์ ตอบโจทย์ได้อย่างดีทีเดียว เพราะว่าสินค้าทุกชิ้นในคอลเลกชั่น INDIGO สามารถสื่อสารได้ทุกจุดที่ตั้งโจทย์ขึ้นมา ไม่ว่าจะในแง่ความสวยงาม การอนุรักษ์ และการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่เวทีโลก รวมไปถึงความคลั่งไคล้ในความเป็น เลสเตอร์ ซิตี้ ทุกคนน่าจะสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ไม่ว่าจะเป็น หรือไม่ได้เป็นแฟนบอลก็ตาม
เสื้อยืดลายพิมพ์และลายปัก
แต่ในเมื่อนี่คือเทคนิคการย้อมผ้าแบบโบราณอย่างแท้จริงของประเทศไทย อัยยวัฒน์ มีความกังวลหรือไม่ว่าแฟนบอลชาวต่างชาติของ เลสเตอร์ ซิตี้ จะมีอาการ “ไม่อิน” เกิดขึ้น “ผมว่าพวกเขาเข้าใจนะ ชาวเลสเตอร์และชาวต่างชาติในปัจจุบันชื่นชอบผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติอยู่แล้ว และครามก็มีประวัติที่น่าสนใจ และได้รับการเผยแพร่มาอย่างยาวนาน” มากไปกว่านั้นเขายังอธิบายต่อว่า ครามเป็นพืชมหัศจรรย์ เป็นสีเก่าแก่ของโลกที่มีอดีตยาวนานร่วม 6,000 ปี และถือว่าเป็น “ราชาแห่งสีย้อม” อย่างไม่ต้องสงสัย
กว่าจะเป็นคราม
แน่นอนว่าการนำศาสตร์พื้นบ้านมาผสมผสานกับดีไซน์ที่ทันสมัยเป็นครั้งแรกย่อมเกิดปัญหาและอุปสรรคบ้างไม่มากก็น้อย เพราะเจ้าต้นไม้ใบสีเขียวที่มีดอกช่อกลีบชมพูแดงอย่าง “คราม” นั้น กว่าจะทำให้ได้เฉดสีฟ้าอ่อนจนถึงน้ำเงินเข้มอย่างที่เราคุ้นตากัน ก็ต้องผ่านกรรมวิธีแบบดั้งเดิมมากมาย หลังจากเก็บใบครามสดจากต้นบ่มกับน้ำฝน 1 วัน (ย้ำว่าต้องเป็นน้ำฝนเท่านั้น) ใส่ปูนแดง กวน กรองน้ำ เพื่อสกัดจุลินทรีย์ออกมา แล้วก็ต้องเลี้ยงจุลินทรีย์ครามด้วยน้ำฝน เหล้าขาว กล้วยน้ำว้า จนได้สีดิบ ซึ่งเป็นสีเหลืองสุก จากนั้นจึงทำการม้วน มัด และจุ่มในสีดิบ เมื่อสีเกิดการออกซิเดชั่นกับอากาศ จึงแปรเปลี่ยนเป็นสีคราม และลวดลายไม่มีซ้ำอย่างที่เราเห็นกัน
ผ่านกระบวนการมากมาย
อัยยวัฒน์ กล่าวเสริมต่ออีกว่า “ในบางขั้นตอน เราต้องมีการเรียนรู้และเตรียมการผลิตเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมการย้อมผ้าของชุมชนนี้เน้นการย้อมจากเส้นใย แต่สำหรับการย้อมให้ คิง เพาเวอร์ จะเป็นการย้อมจากเสื้อสำเร็จรูป จึงจำเป็นต้องเรียนรู้การย้อมผ้าที่แตกต่างจากวิถีการผลิตแบบดั้งเดิม รวมไปถึงจำนวนต้นครามที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าก็ยังมีจำกัดอีกด้วย”
แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ เราจะได้สัมผัสกับเอกลักษณ์อันโดดเด่นของครามมากมาย อาทิ กันยุง ระบายอากาศ เนื้อผ้านุ่ม สีจากธรรมชาติ 100% ป้องกันรังสียูวี รวมถึงผ้าครามแต่ละชิ้นที่มีลายและสีต่างกันไป เรียกได้ว่า เสื้อ ผ้าพันคอ หรือหมวกเลสเตอร์ ซิตี้ ในคอลเลกชั่นครามนี้ ใส่อย่างไรก็ไม่ซ้ำใครแน่นอน
คิง เพาเวอร์ คราม เพาเวอร์
อัยยวัฒน์ เผยกับเราว่า คอลเลกชั่นครามนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าในขณะนี้ กระแสรักษ์โลกที่ทุกประเทศได้พยายามรณรงค์ขอความร่วมมือเลือกใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมก็กำลังเป็นที่สนใจนั่นเอง
ในร้านขายของที่ระลึกของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้
โดยโปรเจกต์ INDIGO นั้นอยู่ภายใต้โครงการเพื่อสังคม “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ในด้าน Community Power (อีก 3 ด้านที่เหลือได้แก่ Sport Power, Music Power และ Education & Health Power) ซึ่งทาง คิง เพาเวอร์ ได้ร่วมพัฒนาสินค้าร่วมกับชุมชนต่างๆ เพื่อสร้างอาชีพและกระจายรายได้ออกไปให้ทั่วถึง
ในส่วนของ “คราม” คิง เพาเวอร์ ได้ใช้เวลาร่วม 2 ปีกว่าในการเข้าไปร่วมพัฒนาสินค้ากับชุมชนบ้านนาขาม จังหวัดสกลนคร จังหวัดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่ที่ผลิตครามได้สวยงามที่สุดในประเทศไทย ทีมงานของ คิง เพาเวอร์ เล่าให้เราฟังว่า เป็นการเข้าไปเรียนรู้ และทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง มากกว่าที่จะเข้าไปสั่งซื้อของเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงการพัฒนาในระยะยาว ทั้งสองฝ่ายต่างต้องปรับวิธีทำงานเข้าหากันและกัน โดยใช้จุดมุ่งหมายเป็นหลัก ในช่วงแรกชุมชนยังไม่เข้าใจในระบบการผลิต และจำนวนออเดอร์ แต่เมื่อได้เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ทางศิลปินครามทั้งหลายก็มีความภาคภูมิใจที่ผลงานของพวกเขาไปเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลระดับโลก ทางคิง เพาเวอร์ ก็ได้เรียนรู้ถึงวิถีไทยและศาสตร์การย้อมผ้าอย่างถ่องแท้ ในขณะที่ชุมชนก็มีความเข้าใจในการออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ การผลิต การตลาด และช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น
“เร็วๆ นี้เราจะมีโครงการที่ส่งเสริมภูมิปัญญาของคนไทยอีกหลายโครงการ อยากให้ติดตามกันต่อไปนะครับ” อัยยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลจาก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้