เมื่อปลายปีที่แล้วตกงานค่ะเนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนทำให้แผนกเราโดนยุบ บริษัทเก่ามีลักษณะการทำงานที่ต้องไปบริษัทฯ พิมพ์ลายนิ้วมือเข้าออกเหมือนมนุษย์ออฟฟิศทั่วไป โชคดีที่ได้งานใหม่ไวและเป็นบริษัทเกี่ยวกับ Tech Company เราเลยสามารถทำงานจากบ้านได้ เราเลยมีการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ ตอนแรกรู้สึกงุนงงเล็กน้อยเพราะไม่เคยนั่งทำงานที่บ้านหลายวันติดกัน เราจะเข้าอออฟฟิศสัปดาห์ละ 2 วัน ช่วงนี้ชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วเลยอยากแชร์ประสบการณ์ work from home ให้เพื่อนๆ พันทิปได้อ่านกันค่ะ
1.
ที่ทำงานอยู่เพียง 10 ก้าวจากห้องนอน เราเคยได้ยินคำกล่าวนี้จากคนที่นั่งทำงานอยู่บ้าน พอมาได้ทำงานจริงก็เป็นดังนั้น เราตื่นขึ้นมา ข้ามปัญหาเรื่องฝนตก รถติด มลภาวะเป็นพิษไป เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เลย บางทีนะยังไม่ได้ทันแปรงฟันเลยก็นั่งทำงานก่อนซะแล้ว
2.
24x7 นี่เราเองไม่ใช่ 7-11 นะ อย่างที่บอกว่าเราทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสื่อสาร เราเลยต้องเปิดรับข้อมูลตลอดเวลา ถ้ามีงานเร่งด่วน วันหยุด เสาร์ อาทิตย์ สงกรานต์ก็ทำงานนะ แต่ในขณะเดียวกันวันธรรมดา เราก็มีเวลาแว่บไปทำธุระอื่นได้บ้าง หรือบางทีก็ต้องทำใจนะว่าตีสองแล้วยังทำงานอยู่เลย
นี่เราเอง รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั๊ยคะ
3.
สื่อสารสำคัญ ทั้งเครื่องมือการสื่อสารและวิธีการสื่อสาร เราเพิ่งมาติดสัญญาณเนตใหม่ราคา 599 บาทก็ตอนที่เริ่มทำงานจากบ้านนี่แหละ (เมื่อก่อนใช้สัญญาณเนตจากมือถือ) เนตคอนโดเราไม่ค่อยมีปัญหา สัญญาณเสถียรดี ส่วนการสื่อสารกับผู้ร่วมงานที่อยู่ห่างไกล เราใช้วิธี Skype ถึงกัน Line ถึงกันบ้าง อยากได้อะไรแบบไหนก็จะส่งเป็นรูปภาพ reference ไปให้ทีมดู สำหรับเรานะการสื่อสารแบบไม่เห็นหน้าทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นอาจจะเป็นเพราะว่าการสื่อสารมันมีการยืนยันด้วยลายลักษณ์อักษรที่พิมพ์มาทั้งในอีเมล์ ใน Line ใน Skype เป็นสิ่งที่บอกว่าต้องทำงานให้ได้ตามนั้น
4.
ค่าไฟฟ้าเพิ่มแต่ค่าเดินทางลดลง จากเมื่อก่อนอยู่คนเดียวในคอนโดเสียค่าไฟประมาณ 400-500 บาท แต่พออยู่บ้านเพิ่มขึ้นเสียค่าไฟเพิ่มขึ้นสูงสุดประมาณ 800 กว่าบาทเพราะแอบเปิดแอร์ตอนกลางวันช่วงเดือนเมษายน พอมาเทียบกับค่าเดินทางแล้ว การทำงานที่บ้านประหยัดกว่าเยอะ
5.
Work Life ไม่ Balance เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ เนื่องจากทำงานที่บ้านได้ บางทีก็ทำงานดึกดื่นกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็จะได้เวลานอนแล้ว เราเลยต้องมาหาความสมดุลในความไม่สมดุลนั้น พูดยังงี้มันอาจจะดูงงๆ เลยจะอธิบายให้ฟังว่า บางทีก็ต้องหาเวลาออกกำลังกายบ้างแต่พอออกกำลังกายเสร็จก็มานั่งทำงานต่อ บางทีก็พาแม่ไปกินข้าว พบปะเพื่อนฝูงบ้างแต่หลังจากนั้นก็กลับทำงานต่อ
6.
ห่างหายจาก office syndrome เมื่อก่อนเราปวดหลัง ปวดไหล่ มึนหัวบ่อยๆ จนต้องไปกายภาพบำบัด ตอนนี้เราพบว่าอาการเหล่านั้นหายไป อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศภายในห้องเรามันถ่ายเทสะดวกกว่าที่ออฟฟิศ เบื่อเราก็เดินไปเดินมาได้บ้าง และอย่างที่บอก เราออกกำลังกายได้มากขึ้นทำให้ไม่มีอาการปวดหลังเท่าไร
เปลี่ยนบรรยากาศทำงานบ้าง นั่งอยู่ในห้องมันก็เบื่อๆ
7.
ช่วงบ่ายเป็นเวลาที่น่าท้าทายของคนทำงานที่บ้านเพราะมันง่วงนอนค่ะ แถมที่นอนยังอยู่ใกล้แค่เดินไปถึง เราใช้วิธีหลบไปทำงานอยู่บริเวณส่วนกลางของคอนโดบ้าง เห็นสีเขียวๆ ลมเย็นๆ ช่วยให้เคลิ้มขึ้นไปอีก...ถ้ามันรู้สึกง่วงมากนักก็นอนมันซะเลยก็มันทำงานที่บ้านไง ไม่มีใครเห็น อิอิ
8.
น้ำหนักลดลง น่าจะประมาณสัก 2 กิโลได้นะ เดาเอาจากกางเกงกับกระโปรงที่เคยคับตอนนี้สามารถนำกลับมาใส่ใหม่ได้ เพราะเราไม่ค่อยกินจุบจิบเหมือนเมื่อก่อน สมัยก่อนตอนอยู่ออฟฟิศประจำจะมีของกินเล่นวางไว้ กินเป็นหมู่คณะมันอร่อยดี พอมาทำงานที่บ้าน ไม่ค่อยมีของกิน เลยกินเป็นมื้อหลักเท่านั้น
9. Post-it เราจะมีแผ่นโฟสต์อิทติดไว้ในวันที่มุ่งมั่นอยากทำงานให้เสร็จว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง ถ้าเราทำได้ตามที่ลิสต์ไว้ เรารู้สึกแฮ้ปปี้ จบงานในวันนั้น ปิดจ็อบ
10. ปัญหาของการทำงานส่วนมากไม่ใช่เรื่องงานแต่คือเรื่องคน การทำงานที่บ้านมันช่วยเรื่องลดการปะทะกับผู้คนที่เราไม่ชอบหน้าไปได้มากกกก ไม่มีการเมาท์มอย ไม่มีการว่าร้ายใส่กันหรือถ้าว่าเราก็ไม่ได้อยู่ในที่ทำงานถือว่าไม่ได้ยิน เมื่อก่อนเรานอยด์เรื่องการว่าร้ายใส่กันนะแต่ตอนนี้ไม่แคร์แล้ว แค่ทำงานให้เสร็จตามแผนที่กำหนดก็คือขั้นสุดแล้ว
ตารางจดงาน คือเอาจริงๆ นะกลับมาอ่านลายมือตัวเองแล้วพบว่าอ่านไม่รู้เรื่อง ถถถถ
ไม่ว่าเพื่อนๆ จะทำงานที่ออฟฟิศหรือเป็นมนุษย์ทำงานที่บ้านอย่างเรา ถ้าเบื่องานตัวเอง หมดไฟในการทำงาน หรือเจอปัญหาอะไรที่ทำงานก็แล้วแต่ ในฐานะที่เคยตกงานมาก่อน เราอยากจะบอกว่าเครียดเพราะมีงานทำดีกว่าเครียดเพราะตกงาน ความจนมันน่ากลัวนะเพื่อนๆ (เป็นคำกล่าวที่เอามาจากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง) ขอเป็นกำลังใจให้มนุษย์สู้งานทุกคนค่ะ
รีวิว Work from home เบื่อก็พัก หนักก็ทำได้ วิถีชีวิตของการทำงานยุคใหม่
2. 24x7 นี่เราเองไม่ใช่ 7-11 นะ อย่างที่บอกว่าเราทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสื่อสาร เราเลยต้องเปิดรับข้อมูลตลอดเวลา ถ้ามีงานเร่งด่วน วันหยุด เสาร์ อาทิตย์ สงกรานต์ก็ทำงานนะ แต่ในขณะเดียวกันวันธรรมดา เราก็มีเวลาแว่บไปทำธุระอื่นได้บ้าง หรือบางทีก็ต้องทำใจนะว่าตีสองแล้วยังทำงานอยู่เลย
4. ค่าไฟฟ้าเพิ่มแต่ค่าเดินทางลดลง จากเมื่อก่อนอยู่คนเดียวในคอนโดเสียค่าไฟประมาณ 400-500 บาท แต่พออยู่บ้านเพิ่มขึ้นเสียค่าไฟเพิ่มขึ้นสูงสุดประมาณ 800 กว่าบาทเพราะแอบเปิดแอร์ตอนกลางวันช่วงเดือนเมษายน พอมาเทียบกับค่าเดินทางแล้ว การทำงานที่บ้านประหยัดกว่าเยอะ
6. ห่างหายจาก office syndrome เมื่อก่อนเราปวดหลัง ปวดไหล่ มึนหัวบ่อยๆ จนต้องไปกายภาพบำบัด ตอนนี้เราพบว่าอาการเหล่านั้นหายไป อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศภายในห้องเรามันถ่ายเทสะดวกกว่าที่ออฟฟิศ เบื่อเราก็เดินไปเดินมาได้บ้าง และอย่างที่บอก เราออกกำลังกายได้มากขึ้นทำให้ไม่มีอาการปวดหลังเท่าไร
8. น้ำหนักลดลง น่าจะประมาณสัก 2 กิโลได้นะ เดาเอาจากกางเกงกับกระโปรงที่เคยคับตอนนี้สามารถนำกลับมาใส่ใหม่ได้ เพราะเราไม่ค่อยกินจุบจิบเหมือนเมื่อก่อน สมัยก่อนตอนอยู่ออฟฟิศประจำจะมีของกินเล่นวางไว้ กินเป็นหมู่คณะมันอร่อยดี พอมาทำงานที่บ้าน ไม่ค่อยมีของกิน เลยกินเป็นมื้อหลักเท่านั้น
9. Post-it เราจะมีแผ่นโฟสต์อิทติดไว้ในวันที่มุ่งมั่นอยากทำงานให้เสร็จว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง ถ้าเราทำได้ตามที่ลิสต์ไว้ เรารู้สึกแฮ้ปปี้ จบงานในวันนั้น ปิดจ็อบ
10. ปัญหาของการทำงานส่วนมากไม่ใช่เรื่องงานแต่คือเรื่องคน การทำงานที่บ้านมันช่วยเรื่องลดการปะทะกับผู้คนที่เราไม่ชอบหน้าไปได้มากกกก ไม่มีการเมาท์มอย ไม่มีการว่าร้ายใส่กันหรือถ้าว่าเราก็ไม่ได้อยู่ในที่ทำงานถือว่าไม่ได้ยิน เมื่อก่อนเรานอยด์เรื่องการว่าร้ายใส่กันนะแต่ตอนนี้ไม่แคร์แล้ว แค่ทำงานให้เสร็จตามแผนที่กำหนดก็คือขั้นสุดแล้ว