กรมราชทัณฑ์กำลังเสพติดวิธี "ลดโทษแล้วลดโทษอีก" แก่นักโทษทั่วประเทศที่ผ่านมา อีกทั้งไม่ยอมสร้างคุกเพิ่มให้เพียงพอกับอาชญากรโดยอ้างโน่นอ้างนี่บิดเบือนอย่างไม่ละอาย ดังนี้
๑. ราชทัณฑ์อ้างว่า " ปฎิบัติต่อผู้ต้องขังด้วยความเมตตาให้โอกาสสำนึกกลับตัว "
แต่ความจริงคือ การลงโทษของรัฐต่อผู้กระทำผิดนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อให้สำนึกหลาบจำอย่างเดียว แต่ยังต้องทำเพื่อ
- ให้คนอื่นๆเกรงกลัวไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
- เยียวยาจิตใจของเจ้าทุกข์ เหยื่อ ญาติมิตรเหยื่อ และสุจริตชนทั่วไป
- ความปลอดภัยของสังคม
สรุปคือ เค้าให้เมตตาเห็นใจต่อเหยื่อและสุจริตชนทั่วไปเป็นหลัก แล้วให้เด็ดขาดบังคับคดีต่อผู้ต้องขังให้สาสมแก่โทษเป็นหลัก
และให้กรมราชทัณฑ์เป็นฝ่ายบู๊ ในงานยุติธรรม (ต้องใช้อำนาจทางกำลังและอาวุธเพื่อควบคุม พันธนาการ กักกันทุจริตชนให้เด็ดขาด) เพื่อเป็นไปตามคำตัดสินของฝ่ายบุ๋น (ศาล)
๒. อ้างว่า " รีบคืนคนสำนึกแล้วกลับสู่และเป็นกำลังแก่สังคม "
แต่ความจริงคือ ราชทัณฑ์กำลังมักง่ายเพียงเพื่อให้งานของตัวเองง่ายสบายขึ้น ไม่คำนึงถึงสังคมโดยรวม ด้วยการใช้วิธี " ลดโทษแล้วลดโทษอีก " เพื่อจูงใจให้นักโทษทั่วไปไม่แข็งขืนแสดงพิษสง สงบว่าง่ายเพราะได้รับความหวังว่าจะได้ออกจากคุกเร็ววัน กับเพื่อแก้ปัญหาคุกแออัด เอามือซุกหีบจะไม่สร้างคุกเพิ่ม
๓. อ้างว่า " การสร้างคุกเพิ่มไม่ได้ช่วยลดอาชญากรรม "
แต่ความจริงตือ ตอนนี้โจรลักวิ่งชิงปล้นฉ้อโกงเต็มบ้านเมืองแทบจะเอาทุกอย่างกันแล้ว เศรษฐกิจฝืดขนาดนี้ แรงงานถูกเบียดจากคนต่างด้าวขนาดนี้ ผู้คนแย่งกันทำมาหากินขนาดนี้ คุณยิ่งอุตริปล่อยนักโทษโดยใช่เหตุแบบที่ผ่านมา ก็ย่อมยิ่งมาเพิ่มปัญหาทั้งตรงและอ้อม
๔. ถ้าเกิดกรมจะอ้างว่า " การลดโทษประจำส่วนหนึ่งเป็นพระราชประสงค์ "
แต่ความจริงคือ การลดโทษอภัยโทษโดยพระราชประสงค์นี้เป็นธรรมเนียม แต่กฎความเหมาะสมพอดี การเสนอชื่อใครขึ้นไป เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
พวกเรารู้ไหมว่า คุกทึ่แออัดมานานได้มามีผลต่อการตัดสินลงโทษของศาลที่เบาลงโดยใช่เหตุด้วย เช่น ให้ประกันตัวง่ายขึ้น ให้รอลงอาญาง่ายขึ้น สารภาพลดโทษให้ทั้งๆที่จำนนต่อหลักฐานสารภาพแทบไม่เกิดประโยชน์ ให้คุมประพฤติหรือบำเพ็ญประโยชน์ไม่กี่วัน(ทั้งๆที่ควรติดคุก)ง่ายขึ้น
อีกไม่นานโจรหลายคนจะไม่ต้องติดคุก แต่ติดกำไลข้อเท้าGPS.แทนแสนสบาย เหยื่อและสุจริตชนต้องใจฝ่อทำตาปริบๆ
กรมราชทัณฑ์มักง่ายบกพร่องงานยุติธรรมอย่างมาก
๑. ราชทัณฑ์อ้างว่า " ปฎิบัติต่อผู้ต้องขังด้วยความเมตตาให้โอกาสสำนึกกลับตัว "
แต่ความจริงคือ การลงโทษของรัฐต่อผู้กระทำผิดนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อให้สำนึกหลาบจำอย่างเดียว แต่ยังต้องทำเพื่อ
- ให้คนอื่นๆเกรงกลัวไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
- เยียวยาจิตใจของเจ้าทุกข์ เหยื่อ ญาติมิตรเหยื่อ และสุจริตชนทั่วไป
- ความปลอดภัยของสังคม
สรุปคือ เค้าให้เมตตาเห็นใจต่อเหยื่อและสุจริตชนทั่วไปเป็นหลัก แล้วให้เด็ดขาดบังคับคดีต่อผู้ต้องขังให้สาสมแก่โทษเป็นหลัก
และให้กรมราชทัณฑ์เป็นฝ่ายบู๊ ในงานยุติธรรม (ต้องใช้อำนาจทางกำลังและอาวุธเพื่อควบคุม พันธนาการ กักกันทุจริตชนให้เด็ดขาด) เพื่อเป็นไปตามคำตัดสินของฝ่ายบุ๋น (ศาล)
๒. อ้างว่า " รีบคืนคนสำนึกแล้วกลับสู่และเป็นกำลังแก่สังคม "
แต่ความจริงคือ ราชทัณฑ์กำลังมักง่ายเพียงเพื่อให้งานของตัวเองง่ายสบายขึ้น ไม่คำนึงถึงสังคมโดยรวม ด้วยการใช้วิธี " ลดโทษแล้วลดโทษอีก " เพื่อจูงใจให้นักโทษทั่วไปไม่แข็งขืนแสดงพิษสง สงบว่าง่ายเพราะได้รับความหวังว่าจะได้ออกจากคุกเร็ววัน กับเพื่อแก้ปัญหาคุกแออัด เอามือซุกหีบจะไม่สร้างคุกเพิ่ม
๓. อ้างว่า " การสร้างคุกเพิ่มไม่ได้ช่วยลดอาชญากรรม "
แต่ความจริงตือ ตอนนี้โจรลักวิ่งชิงปล้นฉ้อโกงเต็มบ้านเมืองแทบจะเอาทุกอย่างกันแล้ว เศรษฐกิจฝืดขนาดนี้ แรงงานถูกเบียดจากคนต่างด้าวขนาดนี้ ผู้คนแย่งกันทำมาหากินขนาดนี้ คุณยิ่งอุตริปล่อยนักโทษโดยใช่เหตุแบบที่ผ่านมา ก็ย่อมยิ่งมาเพิ่มปัญหาทั้งตรงและอ้อม
๔. ถ้าเกิดกรมจะอ้างว่า " การลดโทษประจำส่วนหนึ่งเป็นพระราชประสงค์ "
แต่ความจริงคือ การลดโทษอภัยโทษโดยพระราชประสงค์นี้เป็นธรรมเนียม แต่กฎความเหมาะสมพอดี การเสนอชื่อใครขึ้นไป เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
พวกเรารู้ไหมว่า คุกทึ่แออัดมานานได้มามีผลต่อการตัดสินลงโทษของศาลที่เบาลงโดยใช่เหตุด้วย เช่น ให้ประกันตัวง่ายขึ้น ให้รอลงอาญาง่ายขึ้น สารภาพลดโทษให้ทั้งๆที่จำนนต่อหลักฐานสารภาพแทบไม่เกิดประโยชน์ ให้คุมประพฤติหรือบำเพ็ญประโยชน์ไม่กี่วัน(ทั้งๆที่ควรติดคุก)ง่ายขึ้น
อีกไม่นานโจรหลายคนจะไม่ต้องติดคุก แต่ติดกำไลข้อเท้าGPS.แทนแสนสบาย เหยื่อและสุจริตชนต้องใจฝ่อทำตาปริบๆ