สอบใบประกอบโรคศิลป์ ขั้นที่1 เรียนที่จีน

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวนิดนึงค่ะ ตอนนี้ จขกท ศึกษาอยู่ ชั้นปี 3 ที่ Fudan university ในมณฑล Shanghai

การสอบใบประกอบโรคศิลป์นั้นแบ่งเป็นสามขั้นตอน อย่างที่เคยเขียนไว้ในรีวิวแรก
https://ppantip.com/topic/35498035/comment8

ค่ะ และคนที่เรียนที่ประเทศจีนแบบ จขกทเนี่ย ก็มีแรงกดดันที่สูงกว่าเด็กนักเรียนที่ไทย แน่นอนว่าเราไม่ได้เรียนหลักสูตรเดียวกับที่ไทยเป๊ะๆ ดังนั้นการไปสอบใบประกอบโรคศิลป์ก็แน่นอนว่าต้องมีการเตรียมตัวที่หนักหน่วงกว่าเด็กที่เรียนที่ไทยค่ะ โดยปกติแล้วเด็กที่เรียนที่จีนจะไปสอบในรอบที่สองของปี คือเดือน พฤศจิกายน แต่ว่า จขกท สอบในรอบเมษายนพร้อมกับเพื่อนๆที่ไทย เพราะอยากลองดูค่ะ และเราก็ผ่านการเรียนเทียบเท่าชั้นพรีคลีนิคไม่ต่ำกว่าสองปีแล้ว ดังนั้นการไปลองดูก็ไม่เสียหายค่ะ การเตรียมตัวของ จขกท จะหนักนิดนึงตรงที่ต้องอ่านเรื่องโรคต่างๆและเรื่องยาเองทั้งหมด การเตรียมตัวทั้งหมดก่อนไปสอบใช้เวลา5 เดือนโดยประมาณ ซึ่งใน5 เดือนนี้ก็ยังเรียนในคลาสที่มหาวิทยาลัยตามปกติค่ะ

1.) การเตรียมตัว และ หนังสือ
การเตรียมตัวของจขกท เริ่มที่การหาหนังสือค่ะ ว่าจะอ่านเล่มไหน เนื้อหาอะไรบ้าง อย่างแรกจขกท ก็ถามจากเพื่อนที่ไทยกับรุ่นพี่ค่ะ ผลก็ได้ตรงกันว่าอ่านเล่ม First aid ซึ่งจะสรุปรวมเนื้อหาทั้งหมดได้ดีมากแต่จะไม่มีคำอธิบายหรือระบุรายละเอียดยิบย่อย ซึ่งถ้าไม่เคยเรียนมาก่อนก็จะงงๆ ก่งก๊งได้ ถึงจะเป็นเล่มที่สรุปรวมแล้วแต่ความหนาของหนังสือก็อาจทำให้หลายๆคนท้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มอ่านได้ค่ะ 555 ดังนั้นเราต้องมีวินัยค่ะ ฮึบๆ เทคนิคของจขกทคือ อะไรที่เรียนเราในห้องเราจะกลับมาอ่านในเล่มนี้ด้วยและอ่านเป็น chapter ไป โดยไม่ได้เรียงค่ะ แบบอันไหนเรียนก็อ่าน แต่อันไหนที่ยังไม่เรียนแต่อยู่ในบทนั้นๆก็อ่านไปเลยค่ะ แต่ว่าถ้าคิดว่า chapter ไหนยากก็ข้าม แต่ก็มาตามเก็บตามอ่านตอนอารมณ์ดีๆหัวแล่นๆ อ่านและจำ และท่อง และ ท่อง และ ท่อง และท่อง สำคัญมากๆตรงท่องค่ะ คือก่อนสอบนี่จขกท จำได้เกือบทุกหน้าในเล่ม First aid เลยค่ะ คือเราอยากมั่นใจว่าเข้าไปในห้องสอบแล้วอย่างน้อยเราจะอ่านโจทย์และนึกอะไรได้บ้าง ไม่ใช่เข้าไปเป็นหมูให้ข้อสอบทับเล่นค่ะ 555 ดังนั้นก็ต้องมีวินัยในการท่องค่ะ ถึงมันจะเยอะมาก แต่ถ้าเราแบ่งสัดส่วนในการจำและทำอย่างต่อเนื่อง จขกท เชื่อว่าทุกคนก็สามารถจำได้ และทำข้อสอบได้ค่ะ

นอกจาก First aid แล้ว Question and answer USMLE ก็ช่วยเพิ่มทักษะในการวิเคาระห์โจทย์ได้ดีค่ะ รวมไปถึงข้อสอบเก่าๆ ที่จขกท ไปยืมซีล็อกมาจากรุ่นพี่ และเพื่อนที่ไทย นั่นก็เป็นอีกหลักสำคัญที่ช่วยให้ ชินและคุ้นกับแนวข้อสอบค่ะ แต่เอาจริงๆแบบไม่โลกสวยนะคะ ข้อสอบเก่าไม่ค่อยตรงค่ะ เรียกได้ว่าตรงเป๊ะๆมีแค่ข้อสองข้อค่ะ ดังนั้นการที่หวังจะจำแต่ข้อสอบหรือจำคำตอบไป บอกได้ว่าไม่ Work แน่นอน คอนเฟริมเบยยยย สิ่งที่เราต้องทำคืออ่านเนื้อหาค่ะเน้นเนื้อหาไปเยอะๆ เน้นเข้าใจและจำ

2.) Comment เกี่ยวกับข้อสอบ
จากประสบการณ์ตรง จขกท คิดว่า ข้อสอบยากพอสมควรค่ะ ไม่เพียงแต่สำหรับเด็กที่เรียนแพทย์ที่จีน เพราะ ตอนออกจากห้องสอบก็ได้ยิน นักศึกษาที่ไทยบ่นกันคะ 555 แอบไปยืนฟังอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกันเด็กที่ไทย แน่นอนว่าที่ไทยได้เปรียบไปแล้วกว่าสามสิบเปอร์เซนต์ เพราะเนื้อหาที่เรียนที่จีนไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมดของเนื้อหาที่จะสอบ และพวกโรคประหลาดๆ หรือพยาธิแปลกๆบางตัวที่พบในไทยแบบ specifically แน่นอนว่าเราก็ไม่ได้เรียนค่ะ ดังนั้นเด็กที่เรียนแพทย์ที่จีนอย่างจขกท ต้องมีวินัยและต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวหนักกว่าที่ไทยหน่อยนึง โดยส่วนตัวแล้วถ้าอ่านเนื้อหาครบและเข้าใจมันประมาณสัก 80 เปอร์เซนต์(ในเล่ม First aid) คิดว่าไม่น่ามีปัญหากับข้อสอบขั้นที่1นะคะ ส่วนการไปเรียนพิเศษเพิ่มนั้นจขกท ไม่ขอพูดถึงเพราะไม่ได้ไปเรียนค่ะ ไม่ทราบจริงๆว่าช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่ตอนนั้นเห็นว่าค่าเรียนแอบแพงค่ะ เลยตัดสินใจลุยอ่านเอง 555 เป็นคนมีความแอบ งกค่ะ555
ข้อสอบจะเป็นเป็นภาคเช้ากับภาคบ่าย ซึ่งจะมีทั้งหมด 300 ข้อ เช้า 150 ข้อ บ่าย 150 สิ่งที่ต้องเตรียมไปมีแค่ใบสมัครสอบกับบัตรประชาชนค่ะ พวกดินสอยางลบทางสนามสอบจัดเตรียมไว้ให้ จขกท เลือกสนามสอบที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะเดินทางสะดวกและอยากไปเดินวังหลังค่ะ <=ไม่ค่อยเกี่ยว ><˜ 555 มีเวลาทั้งหมดสามชั่วโมงต่อ 150 ข้อในการทำข้อสอบ ความยาวของโจทย์จะสั้นยาวคละกันไป ข้อที่ยาวที่สุดไม่เท่าในเล่ม Question and Answer ของ USMLE บางข้อมีภาพปลากรอบ เอ้ย ประกอบให้ดูด้วยซึ่งส่วนมากใช้ในการวิเคาระห์โรค ส่วนข้างหลังปกข้อสอบจะมีค่ามาตรฐานต่างๆเขียนไว้ให้ เช่นค่าโซเดียม แคลเซียม ออกซิเจน ในเลือด คือค่าที่ใช้บ่อยก็ควรจำไว้ค่ะจะได้ไม่เสียเวลามาเปิดดู สำหรับจขกท ช่วงเช้ารู้สึกว่าข้อสอบยากค่ะ ซึ่งข้อสอบนี้ต้องบอกก่อนว่าจะคละทุกๆอย่างทุกๆวิชา ไว้ด้วยกัน อยากบอกว่าเกือบทำไม่ทัน แบบหมดเวลาพอดีเป๊ะไม่มีเวลาทวนคำตอบอีกรอบเลยค่ะ ดังนั้นค่าปกติต่างๆจำไว้ก็อาจจะช่วยให้วิเคราะห์ได้เร็วขึ้นนิดนุง ควรจำไว้บ้างจะดีกว่า ส่วนช่วงบ่ายสำหรับตัวจขกท รู้สึกชิวกว่าช่วงเช้า ช่วงบ่ายเน้นออกเรื่องยาหลายข้ออยู่ แต่ก็คละๆกัน อ๋ออออวว แล้วจะบอกว่าปีนี้ออกคำนวณหลายข้อมากกก ซึ่งจขกท ไม่ได้อ่านไปค่ะ เพราะเคยได้ยินมาว่าออกน้อย แต่พอไปเจอนี่อึ้งค่ะ ทำไม่ได้ คือมันดูง่าย ถ้ารู้สูตรน่าจะไม่ยากค่ะ แต่จขกท ไม่อ่านไปเลย เสียดายอยู่เหมือนกันค่ะ แงๆๆ T^T
หลังจากสอบเสร็จ รอผลสอบประมาณสองอาทิตย์ค่ะ ซึ่งในช่วงที่รอผลเป็นอะไรที่ลุ้นและตื่นเต้นมาก คือความรู้สึกหลังจากออกจากห้องสอบมันงงๆ ไม่แน่ใจว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนบวกกับไม่ได้ข้อคำนวณตอนนั้นก็ตุ่มๆต่อมๆ อยู่ว่าจะรอดมั้ยน้าาาาาาาาา แต่พอผลออกมาก็หายเหนื่อยค่ะ คุ้มค่ากับทีนั่งอ่านนั่งจำสุดๆ ผลคะแนนเทียบกับเพื่อนๆที่ไทย และก็รุ่นพี่ที่ไปสอบ ถือว่าไม่เลวค่ะ แต่ขออนุญาต ไม่กล่าวเป็นตัวเลขเนอะ เอาเป็นว่าผ่านก็ฟินนนนนนน˜ สรุปว่าการเรียนแพทย์ที่จีน จะ work ไม่ work ขึ้นอยู่กับผู้เรียนล้วนๆค่ะ
พอ จบ แยก ไม่ดราม่าค่ะ 555

สำหรับน้องๆหรือผู้ปกครองที่สนใจมาเรียนที่จีน สามารถสอบถามหรือปรึกษาได้นะคะ หรือว่าจะเข้าไปสอบถามผ่านเพจ intexcel ในเฟสบุ๊ค ก็ได้ค่ะ อ่ออออ และก็ตอนนี้จขกท กำลังจะเปิดเพจใหม่เป็นเพจติดตามชีวิตหมอๆค่ะ ถ่ายเองตัดต่อเอง ยังไงถ้าเพจเสร็จแล้วฝากติดตามด้วยนะคะ เดี๋ยวจะเอาลิ้งก์มาแปะไว้ ขอบคุณค่าาาาาา ^/\^

Youtube:https://www.youtube.com/watch?v=Vvqkw6PZvck&list=UUSlav_056hIzOECoDXIHXIw&index=16
Line: Supassara.mutanon
Wechat: lovessupassara
Facebook: https://www.facebook.com/Intexcelle/
*****Page ใหม่นะคะ https://www.facebook.com/The-Little-Doctor-516813898788791/?modal=admin_todo_tour*****
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่