เอาหละครับ ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ทนอ่านมาได้ถึง 2 ตอนนะครับ และที่สำคัญขอบคุณทุกกำลังใจที่บอกมาไม่ว่าจะทาง facebook twitter pantip ให้ผมเขียนต่อไปด้วยนะครับ ตอนแรกเห็นไม่ค่อยมีคนอ่านก็แอบท้อ แต่พอเห็นว่าอย่างน้อยมีคนได้ประโยชน์จากที่เราเขียนจริงๆ ถึงแม้มันจะคนเดียว ผมก็ดีใจและมีแรงฮึดอยากจะเขียนต่อเพื่อทุกคนที่อ่านเลยครับ เรามาต่อกันตอนที่สามดีกว่านะครับ
ใครยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 ไปอ่านได้ที่ตามลิ้งค์นี้นะครับ
แด่ผู้กล้าแห่งสมรภูมิ GMAT Part 1 : Introduction อะไรคือ GMAT?
http://ppantip.com/topic/30717243
แด่ผู้กล้าแห่งสมรภูมิ GMAT Part 2 : 9 Scary Facts of GMAT
http://ppantip.com/topic/30719964
ตอนนี้เราจะเริ่มเข้าสู่เรื่องของการเตรียมตัวสอบแล้วครับ หลังจากสองตอนแรกเป็นการเล่าเรื่องภาพรวมกว้างๆของข้อสอบไป เรามาดูกันดีกว่าว่าถ้าคนๆนึงจะสอบ GMAT เค้าจะต้องทำอะไรกันบ้าง!
Step 1 : รู้จัก GMAT !
ขั้นตอนแรกก่อนที่จะสอบสำหรับผมคือการทำความรู้จัก GMAT ครับ เข้าใจว่ามันคือข้อสอบอะไร (อย่างที่ 2 ตอนแรกผมได้บอกไป) และที่สำคัญ มหาวิทยาลัย หลักสูตรที่คุณอยากจะเรียนต้องใช้หรือเปล่า ถ้าไม่ต้องใช้ ก็แนะนำว่าเอาเวลาที่จะต้องมาสอบ GMAT ไปเตรียมเขียน SOP essay ดีกว่าครับ ฮ่าๆ ผมคิดว่าทุกคนที่ได้อ่านของผมมาตั้งแต่ 2 ตอนแรก ก็คงผ่าน Step1 นี้ไปได้แล้วนะครับ เอาหละครับ หลังจากที่รู้จักกับ GMAT ไปอย่างกว้างๆแล้ว เรามาต่อที่ขั้นต่อไปกันเลยครับ
Step 2 : วางแผนการสอบ
ขั้นที่สองคือการวางแผนการสอบครับ ก่อนอื่นเลย อยากให้ทุกคนต้องทราบกำหนดการตัวเองก่อนว่า
ตัวเองจะต้องใช้คะแนน GMAT เมื่อไหร่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็คือใช้ก่อนยื่น Applicationนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น MBA ของที่สหรัฐอเมริกาจะปิดรับสมัครรอบแรกในเดือน ตุลาคม ดังนั้นคะแนนเราก็ควรจะพร้อมก่อนเดือนตุลาคมนั่นเองครับ
ทีนี้พอทราบแล้วว่าตัวเองต้องมีคะแนนภายในเดือนไหน อยากให้ทุกคนเตรียมตัว GMAT ล่วงหน้าไว้เนิ่นๆครับ นานเท่าไหร่ได้ยิ่งดีครับ เพราะ
คะแนน GMAT นั้นเก็บไว้ได้ 5 ปี ครับ ที่บอกให้เตรียมตัวล่วงหน้านานๆนั้นไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมว่า GMAT มันยากอะครับพูดตรงๆ การที่จะสอบรอบเดียวให้ได้เลยมันก็ดีครับ แต่ก็ยากเหมือนกัน ดังนั้นควรจะเตรียมตัวล่วงหน้านานๆ และที่สำคัญคือคนส่วนใหญ่ที่จะสอบ GMAT มันเป็นคนที่ทำงานประจำ อย่างสำหรับผมนะครับ ผมต้องใช้คะแนนตอนตุลาคมครับ ผมเริ่มเตรียมตัว ตั้งแต่ ธันวาคมก่อนหน้าครับ โดยการสอบ TOEFL ไปก่อนอย่างแรกเลยครับ เสร็จได้คะแนน TOEFL ที่น่าพอใจเดือนกุมภาพันธ์ และผมก็เตรียม GMAT ต่อทันทีตั้งแต่เดือนมีนาคมครับ ผมวางแผนไว้เลยตั้งแต่แรกว่าเผื่อเวลาไว้สอบGMAT 4 ครั้ง 4 เดือน เพราะ
GMAT สอบได้แค่ 1ครั้งทุกๆ 30วัน ครับ ดังนั้นถ้าสมมุติรอบแรกที่สอบทำคะแนนได้ไม่ดี ต้องรอใหม่อีกหนึ่งเดือน ผมเลยต้องรีบวางเวลาไว้ว่าจะสอบ พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม และคิดว่า ภายในสิงหาคมคะแนนต้องพร้อม เพื่อจะได้มีเวลาอย่างน้อยอีก 1 เดือนในการเตรียม Application ครับ โดยเดือนที่ผมวางแผนจะสอบ ผมก็ตั้งใจว่าลาอ่านหนังสือในช่วงนั้นด้วย ดังนั้นก็ต้องเลือกเดือนที่อาจจะเป็น Low season ของงาน หรืองานไม่หนักมาก เพื่อที่จะได้มีเวลาอ่านหนังสือหลังเลิกงาน หรือลาอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านได้ครับ (โปรดระวังหัวหน้าคุณด้วย 555)
ดังนั้นคำแนะนำเรื่องการวางแผนการสอบของผมคือ
1.เตรียมตัวล่วงหน้านานๆ ยิ่งนานยิ่งดีครับ โดยเฉพาะพวกที่จะยื่นปริญญาโท คุณจะต้องเตรียมทั้ง GMAT TOEFL Essay ซึ่งผมบอกเลยว่า เตรียมตัวล่วงหน้าเป็นปี ไม่เสียหายเลยครับ
2.ให้วางแผนเผื่อว่าจะสอบหลายครั้งไว้ก่อน อาจจะเหมือนมองโลกในแง่ร้าย แต่เผื่อไว้ก่อนดีกว่าไม่ทันนะครับ
3.ดูช่วงที่ว่างที่สุดในการทำงาน หรือหาช่วงที่รู้สึกว่างๆ และเอาช่วงนั้นมาเตรียมตัว หรือถ้าคุณสามารถคุยกับหัวหน้าได้ ก็บอกเลยว่า ช่วงนี้ผมอาจจะขอลา หรืออาจจะใช้เวลาเตรียมสอบ GMAT ไปด้วยนะครับ
4.ผมอยากแนะนำให้สอบ TOEFL ก่อนในกรณีที่ต้องสอบทั้ง TOEFL และ GMAT ครับ เพราะ TOEFLเป็นการ Review ภาษาอังกฤษตัวเองได้อย่างดีเลย และมันจะเป็นการเพิ่ม step ความยากตัวเองให้แบบไม่ก้าวกระโดดเกินไป ขึ้นไปทีละขั้น จะได้ปรับตัวได้ดีกับตอนสอบ GMAT ครับ
5.จำไว้ว่า GMAT สอบได้แค่ 1 ครั้ง ทุกๆ 30วัน ดังนั้นวางแผนเวลาดีๆ! เพราะผมเจอหลายคนที่พอ dead line ใกล้จะมาถึง แต่คะแนน GMAT มันยังได้ไม่ถึงเป้า เป็นอะไรที่ผมว่าโคตรเครียดเลยครับ!
ดังนั้นโดยสรุปเลยคือ รู้ว่าจะต้องใช้คะแนนเมื่อไหร่ วางแผนว่าจะสอบช่วงเดือนไหน เอาให้ไม่กระชั้นชิดเกินไป ผมว่าซัก 3-4 เดือนก่อนต้องใช้คะแนนน่าจะกำลังดีครับ !
STEP 3 : เริ่มต้นการอ่านหนังสือ! เตรียมตัวด้วยหนังสือที่ใช่!
ขั้นตอนที่สามหลังจากวางแผนเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงการเริ่มต้นอ่านหนังสือครับ แต่ก่อนอื่นเลย คำถามที่หลายคนคงสงสัยคือ จะใช้ หนังสืออะไรดี? อันนี้คือความเห็นส่วนตัวของผมซึ่งก็ได้คำแนะนำมาจากคนอื่นอีกทีนะครับ ผมแนะนำหนังสือดังต่อไปนี้ครับ
1.GMAT Official Guidebook latest Edition
เล่มแรกที่แนะนำถือได้ว่าเป็น A MUST! เลย ก็คือหนังสือของ Official Guidebook ผมจะขอเรียกว่า OG ละกันนะครับ หนังสือ OG นั้น เป็นหนังสือที่เขียนโดนคนออกข้อสอบ GMAT เองเลยครับ ในเล่มนี้ เนื้อหาก็มีครบถ้วนดี ไม่ว่าจะเป็น ข้อสอบGMAT คืออะไร มีกี่ Part แต่ละพาร์ทเป็นอะไร ข้อดีของเล่มนี้คือเนื้อหา Quantitative ที่ผมว่าอ่านในเล่มนี้ ก็จะได้ Math Vocabulary ครบถ้วนเลย เล่มเดียวผมว่าพอเลยในส่วนของเนื้อหา Quantitative ครับ ข้อด้อยเล็กๆคือเนื้อหาในส่วน Verbal ที่อาจจะมีไปน้อยไปนิด ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ แต่ถ้าอ่านเองแล้วฝึกทำจากโจทย์ก็พอไหวครับ แต่ที่เป็นข้อดีสุดๆของเล่มนี้คือ โจทย์ตัวอย่าง และแบบฝึกหัดพร้อมเฉลยที่เรียกได้ว่ามีให้ทำกันเป็นร้อยข้อครับ ซึ่งโจทย์เหล่านี้ก็คือข้อสอบ GMAT เก่าๆที่เคยออกในอดีตนั่นเองครับ ดังนั้นเล่มนี้จะเป็นเล่มที่แนวโจทย์ตรงกับข้อสอบ GMAT ในวันจริงมากที่สุด และมีเฉลยครบถ้วนดีมากที่สุดครับ ดังนั้นเล่มนี้ ถ้าจะสอบ GMAT ยังไงก็ต้องมีครับนี่บอกเลย!
2.Manhattan GMAT : Sentence Correction (book No.8)
เล่มนี้ผลิตโดยสำนักพิมพ์ของ Manhattan ครับ ซึ่ง Manhattan เนี่ยทำหนังสือออกมาประมาณ 10 เล่มได้ ก็จะแบ่งเป็นเล่มละ Part ครับ แต่สำหรับผม และคนไทยแล้ว Part ที่น่าจะมีปัญหากันมากที่สุดคือพาร์ท SC หรือ Grammar ซึ่งเล่มนี้ ข้อดีของมันเลยคือ เนื้อหา Grammar ที่แน่นมาก และผมว่าอ่านเนื้อหา Grammar เล่มนี้ เล่มเดียวอยู่เลยครับ อธิบายชัดเจน เข้าใจง่าย แบ่งเป็นบทๆชัดเจน และแถมท้ายเล่มจะมีบอกว่า โจทย์แบบนี้อยู่ในข้อไหนในหนังสือ OG latest edition ครับ ดังนั้น เล่มนี้เป็นเล่มที่ผมว่ามีประโยชน์ต่อการฝึกฝน Sentence Correction ได้ดีมากๆเลยครับ สำหรับในส่วน Verbal Part อื่นๆ ผมไม่ได้ซื้อมานะครับ แต่ส่วนตัวผมคิดว่า Part Reading Comprehension ต้องอาศัยการฝึกฝนส่วนตัวเป็นหลักมากกว่าหนังสือเสริมไม่น่าจะมีประโยชน์เท่าใด และ Critical Reasoning นั้นน่าจะเป็น พาร์ทที่ทำความเข้าใจเองได้ และคนไทยทำได้มากที่สุดอยู่แล้ว และที่สำคัญการฝึก Critical Reasoning ของสำนักอื่นที่ไม่ใช่ผู้ออกข้อสอบ GMAT บางทีเขาก็อาจจะคิดคนละแบบกับคนออกข้อสอบ และเฉลยข้อตัวอย่างของเขาไปในแนวที่เขาคิด ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับข้อสอบจริงๆ ทำให้เราอาจจะเขวๆไปได้ครับ ดังนั้น พวกแนวการวัด Logic ผมเลยอยากให้ Strictly อ่านอยู่ใน Official Guidebook เพื่อให้เรามี mindset แบบเดียวกับคนออกข้อสอบครับ สำหรับรายละเอียดแต่ละ Part ของ Verbal ผมจะมาเขียนเล่าต่อไปนะครับ
และพอมามองใน Part Quantitative ของสำนักพิมพ์ Manhattan ผมไม่ได้ซื้อมาอ่านนะครับ แต่เล่มที่หลายคนแนะนำคือเล่ม Number Properties ที่จะเป็นการทวนพวกทฤษฏีทางเลขคณิตเช่นพวก กฏการบวก ลบ คูณ หาร สมการ ตัวแปร เช่นถ้า X>0 ,Y>0 then X*Y>0 อะไรพวกนี้ครับ ถ้าคนไหนแม่นอยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อก็ได้ครับ สำหรับผม ผมมองว่า ผมเน้นเรียนรู้ไปจากโจทย์แบบฝึกหัดเลย ผมเลขไม่ได้ซื้อครับ แต่ถ้าคนไหน พวกทฤษฏีหลักๆของเลข เริ่มลืมกันแล้ว ก็ซื้อมาทบทวนก็ดีนะครับ
แต่ประเด็นของ Quantitative ของ Manhattan คือตัวแบบฝึกหัดมันยากกว่าข้อสอบจริงมากครับ! ดังนั้นถ้าคนไหนรู้สึกว่าแบบ ทำ OG ได้หมด ง่ายมาก อยากฝึกฝนตัวเองมากขึ้นเจอโจทย์ระดับเทพก็สามารถซื้อ Manhattan Part Quantitative มาฝึกฝนเพิ่มเติมได้ครับ แต่ถ้าหากมีเวลาไม่มากนัก ผมว่าทำแค่ใน OG ก็พอครับ และจะเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้ตัวเองด้วย เพราะของ Manhattan Part Quantitative ยากกว่าข้อสอบจริงอย่างมีนัยสำคัญเลยครับ ผมทำตอนแรก แทบช๊อค เกือบถอดใจ นี่ถ้าไม่ได้มาฝึกของ OG คงคิดแล้วว่า Quant. ตายแน่! ฮ่าๆ
แต่ในส่วนของเนื้อหา Number Properties ขออนุญาตไม่อธิบายมาก เพราะไม่ได้ซื้อมาอ่านครับ
3. 1 or 2 GMAT Official Guidebook old Edition
ข้อสามนี้เป็นคำแนะนำของผมเองครับ หนังสือพวกนี้อาจจะหายากหน่อยนะครับ แต่ถ้าสามารถหาได้จะดีมากเลยครับ ผมอยากให้ทุกคนไปลองหา Official Guidebook Edition ที่เก่ากว่า edition ปัจจุบันซัก 2-3 edition ครับ สาเหตุที่ให้หามาเพราะ ในแต่ละ edition แบบฝึกหัดในเล่มจะมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆครับ ดังนั้นถ้าสามารถหา edition ที่เก่าลงไปซัก 2-3 edition ได้ จะทำให้เรามีโจทย์ใหม่ๆเพิ่มมาอีกเยอะเลยครับ เหมาะมากสำหรับการฝึกฝนก่อนสอบครับ หลายคนบอกว่า อาจจะสามารถหาโหลดตามเว็บได้ อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกัน แต่คือสำหรับผม ตอนที่ผมสอบใช้ edition 13th คือฉบับล่าสุด และพี่สาวผม มี 11th edition อยู่ที่บ้านพอดี ผมก็นำเล่มนั้นมาฝึกทำโจทย์ทั้งเล่มอีกรอบ พบว่ามีโจทย์ใหม่ๆเต็มเลยครับ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้ามีแบบฝึกหัดมาก ก็จะมีประโยชน์กับการสอบ GMAT มากๆครับ
4.The Official Guide for GMAT® Verbal and Quantitative Review
สำหรับคนที่หา older edition ของ OG ไม่ได้ ทาง OG เขาก็มีออกหนังสือคล้ายๆหนังสือตะลุยโจทย์มาให้พวกเราทำครับ ซึ่งผมมองว่าอันนี้ดีมากๆ และควรมีครับ จากการที่ผมลองทำดูจะพบว่า หนังสือตะลุยโจทย์จะมีโจทย์ซ้ำกับ OG edition เก่าๆบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดครับ ดังนั้น เล่มนี้ก็ A must อีกเล่มเลยครับ ถึงแม้ว่าจะมี OG edition เก่าๆแล้วก็ตามครับ และยิ่งหาถ้า edition เก่าไม่ได้ ยิ่งจำเป็นต้องมีเลยครับ เล่มนี้!
หนังสือที่ผมได้แนะนำไปคือหนังสือที่ผมใช้ในการเตรียมตัวสอบ GMAT ครับ ซึ่งเพื่อนๆอาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป ยังไงก็มาแชร์กันได้เลยนะครับ เอาหละครับ หลังจากที่วางแผนการสอบได้แล้ว หนังสือพร้อมแล้ว ในตอนต่อไป เราจะมาสู่ขั้นตอนต่อไปครับ นั่นคือ การเริ่มอ่านหนังสือกัน จะใช้หนังสือที่เตรียมมาหลายต่อหลายเล่มอย่างไร และคำถามที่หลายคนคงสงสัยว่า เรียนพิเศษดีไหม ? ซึ่งผมขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าผมก็เรียน แต่ผมจะมาแชร์ในมุมมองของคนเคยเรียน ว่าแล้วมันจริงๆแล้วจำเป็นต้องเรียนรึเปล่านะครับ
คนไหนอ่านแล้ว อยากรู้อะไรเพิ่ม อยากให้ผมปรับปรุงตรงไหน บอกมาได้นะครับ อยากรู้ feedback จากผู้อ่านทุกคนครับ
แล้วเจอกันนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม และขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ผมเขียนต่อไปครับ
UPDATE!!
ตอนที่ 4 เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ มาแล้วนะครับ ติดตามได้ครับ
แด่ผู้กล้าแห่งสมรภูมิ GMAT Part 4 : เรียนหรืออ่านเอง หนึ่งคำถามสุดปวดหัว!
http://ppantip.com/topic/30729930
แด่ผู้กล้าแห่งสมรภูมิ GMAT Part 3 : Let's Start Running...(1)
ใครยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 ไปอ่านได้ที่ตามลิ้งค์นี้นะครับ
แด่ผู้กล้าแห่งสมรภูมิ GMAT Part 1 : Introduction อะไรคือ GMAT?
http://ppantip.com/topic/30717243
แด่ผู้กล้าแห่งสมรภูมิ GMAT Part 2 : 9 Scary Facts of GMAT
http://ppantip.com/topic/30719964
ตอนนี้เราจะเริ่มเข้าสู่เรื่องของการเตรียมตัวสอบแล้วครับ หลังจากสองตอนแรกเป็นการเล่าเรื่องภาพรวมกว้างๆของข้อสอบไป เรามาดูกันดีกว่าว่าถ้าคนๆนึงจะสอบ GMAT เค้าจะต้องทำอะไรกันบ้าง!
Step 1 : รู้จัก GMAT !
ขั้นตอนแรกก่อนที่จะสอบสำหรับผมคือการทำความรู้จัก GMAT ครับ เข้าใจว่ามันคือข้อสอบอะไร (อย่างที่ 2 ตอนแรกผมได้บอกไป) และที่สำคัญ มหาวิทยาลัย หลักสูตรที่คุณอยากจะเรียนต้องใช้หรือเปล่า ถ้าไม่ต้องใช้ ก็แนะนำว่าเอาเวลาที่จะต้องมาสอบ GMAT ไปเตรียมเขียน SOP essay ดีกว่าครับ ฮ่าๆ ผมคิดว่าทุกคนที่ได้อ่านของผมมาตั้งแต่ 2 ตอนแรก ก็คงผ่าน Step1 นี้ไปได้แล้วนะครับ เอาหละครับ หลังจากที่รู้จักกับ GMAT ไปอย่างกว้างๆแล้ว เรามาต่อที่ขั้นต่อไปกันเลยครับ
Step 2 : วางแผนการสอบ
ขั้นที่สองคือการวางแผนการสอบครับ ก่อนอื่นเลย อยากให้ทุกคนต้องทราบกำหนดการตัวเองก่อนว่า ตัวเองจะต้องใช้คะแนน GMAT เมื่อไหร่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็คือใช้ก่อนยื่น Applicationนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น MBA ของที่สหรัฐอเมริกาจะปิดรับสมัครรอบแรกในเดือน ตุลาคม ดังนั้นคะแนนเราก็ควรจะพร้อมก่อนเดือนตุลาคมนั่นเองครับ
ทีนี้พอทราบแล้วว่าตัวเองต้องมีคะแนนภายในเดือนไหน อยากให้ทุกคนเตรียมตัว GMAT ล่วงหน้าไว้เนิ่นๆครับ นานเท่าไหร่ได้ยิ่งดีครับ เพราะคะแนน GMAT นั้นเก็บไว้ได้ 5 ปี ครับ ที่บอกให้เตรียมตัวล่วงหน้านานๆนั้นไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมว่า GMAT มันยากอะครับพูดตรงๆ การที่จะสอบรอบเดียวให้ได้เลยมันก็ดีครับ แต่ก็ยากเหมือนกัน ดังนั้นควรจะเตรียมตัวล่วงหน้านานๆ และที่สำคัญคือคนส่วนใหญ่ที่จะสอบ GMAT มันเป็นคนที่ทำงานประจำ อย่างสำหรับผมนะครับ ผมต้องใช้คะแนนตอนตุลาคมครับ ผมเริ่มเตรียมตัว ตั้งแต่ ธันวาคมก่อนหน้าครับ โดยการสอบ TOEFL ไปก่อนอย่างแรกเลยครับ เสร็จได้คะแนน TOEFL ที่น่าพอใจเดือนกุมภาพันธ์ และผมก็เตรียม GMAT ต่อทันทีตั้งแต่เดือนมีนาคมครับ ผมวางแผนไว้เลยตั้งแต่แรกว่าเผื่อเวลาไว้สอบGMAT 4 ครั้ง 4 เดือน เพราะ GMAT สอบได้แค่ 1ครั้งทุกๆ 30วัน ครับ ดังนั้นถ้าสมมุติรอบแรกที่สอบทำคะแนนได้ไม่ดี ต้องรอใหม่อีกหนึ่งเดือน ผมเลยต้องรีบวางเวลาไว้ว่าจะสอบ พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม และคิดว่า ภายในสิงหาคมคะแนนต้องพร้อม เพื่อจะได้มีเวลาอย่างน้อยอีก 1 เดือนในการเตรียม Application ครับ โดยเดือนที่ผมวางแผนจะสอบ ผมก็ตั้งใจว่าลาอ่านหนังสือในช่วงนั้นด้วย ดังนั้นก็ต้องเลือกเดือนที่อาจจะเป็น Low season ของงาน หรืองานไม่หนักมาก เพื่อที่จะได้มีเวลาอ่านหนังสือหลังเลิกงาน หรือลาอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านได้ครับ (โปรดระวังหัวหน้าคุณด้วย 555)
ดังนั้นคำแนะนำเรื่องการวางแผนการสอบของผมคือ
1.เตรียมตัวล่วงหน้านานๆ ยิ่งนานยิ่งดีครับ โดยเฉพาะพวกที่จะยื่นปริญญาโท คุณจะต้องเตรียมทั้ง GMAT TOEFL Essay ซึ่งผมบอกเลยว่า เตรียมตัวล่วงหน้าเป็นปี ไม่เสียหายเลยครับ
2.ให้วางแผนเผื่อว่าจะสอบหลายครั้งไว้ก่อน อาจจะเหมือนมองโลกในแง่ร้าย แต่เผื่อไว้ก่อนดีกว่าไม่ทันนะครับ
3.ดูช่วงที่ว่างที่สุดในการทำงาน หรือหาช่วงที่รู้สึกว่างๆ และเอาช่วงนั้นมาเตรียมตัว หรือถ้าคุณสามารถคุยกับหัวหน้าได้ ก็บอกเลยว่า ช่วงนี้ผมอาจจะขอลา หรืออาจจะใช้เวลาเตรียมสอบ GMAT ไปด้วยนะครับ
4.ผมอยากแนะนำให้สอบ TOEFL ก่อนในกรณีที่ต้องสอบทั้ง TOEFL และ GMAT ครับ เพราะ TOEFLเป็นการ Review ภาษาอังกฤษตัวเองได้อย่างดีเลย และมันจะเป็นการเพิ่ม step ความยากตัวเองให้แบบไม่ก้าวกระโดดเกินไป ขึ้นไปทีละขั้น จะได้ปรับตัวได้ดีกับตอนสอบ GMAT ครับ
5.จำไว้ว่า GMAT สอบได้แค่ 1 ครั้ง ทุกๆ 30วัน ดังนั้นวางแผนเวลาดีๆ! เพราะผมเจอหลายคนที่พอ dead line ใกล้จะมาถึง แต่คะแนน GMAT มันยังได้ไม่ถึงเป้า เป็นอะไรที่ผมว่าโคตรเครียดเลยครับ!
ดังนั้นโดยสรุปเลยคือ รู้ว่าจะต้องใช้คะแนนเมื่อไหร่ วางแผนว่าจะสอบช่วงเดือนไหน เอาให้ไม่กระชั้นชิดเกินไป ผมว่าซัก 3-4 เดือนก่อนต้องใช้คะแนนน่าจะกำลังดีครับ !
STEP 3 : เริ่มต้นการอ่านหนังสือ! เตรียมตัวด้วยหนังสือที่ใช่!
ขั้นตอนที่สามหลังจากวางแผนเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงการเริ่มต้นอ่านหนังสือครับ แต่ก่อนอื่นเลย คำถามที่หลายคนคงสงสัยคือ จะใช้ หนังสืออะไรดี? อันนี้คือความเห็นส่วนตัวของผมซึ่งก็ได้คำแนะนำมาจากคนอื่นอีกทีนะครับ ผมแนะนำหนังสือดังต่อไปนี้ครับ
1.GMAT Official Guidebook latest Edition
เล่มแรกที่แนะนำถือได้ว่าเป็น A MUST! เลย ก็คือหนังสือของ Official Guidebook ผมจะขอเรียกว่า OG ละกันนะครับ หนังสือ OG นั้น เป็นหนังสือที่เขียนโดนคนออกข้อสอบ GMAT เองเลยครับ ในเล่มนี้ เนื้อหาก็มีครบถ้วนดี ไม่ว่าจะเป็น ข้อสอบGMAT คืออะไร มีกี่ Part แต่ละพาร์ทเป็นอะไร ข้อดีของเล่มนี้คือเนื้อหา Quantitative ที่ผมว่าอ่านในเล่มนี้ ก็จะได้ Math Vocabulary ครบถ้วนเลย เล่มเดียวผมว่าพอเลยในส่วนของเนื้อหา Quantitative ครับ ข้อด้อยเล็กๆคือเนื้อหาในส่วน Verbal ที่อาจจะมีไปน้อยไปนิด ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ แต่ถ้าอ่านเองแล้วฝึกทำจากโจทย์ก็พอไหวครับ แต่ที่เป็นข้อดีสุดๆของเล่มนี้คือ โจทย์ตัวอย่าง และแบบฝึกหัดพร้อมเฉลยที่เรียกได้ว่ามีให้ทำกันเป็นร้อยข้อครับ ซึ่งโจทย์เหล่านี้ก็คือข้อสอบ GMAT เก่าๆที่เคยออกในอดีตนั่นเองครับ ดังนั้นเล่มนี้จะเป็นเล่มที่แนวโจทย์ตรงกับข้อสอบ GMAT ในวันจริงมากที่สุด และมีเฉลยครบถ้วนดีมากที่สุดครับ ดังนั้นเล่มนี้ ถ้าจะสอบ GMAT ยังไงก็ต้องมีครับนี่บอกเลย!
2.Manhattan GMAT : Sentence Correction (book No.8)
เล่มนี้ผลิตโดยสำนักพิมพ์ของ Manhattan ครับ ซึ่ง Manhattan เนี่ยทำหนังสือออกมาประมาณ 10 เล่มได้ ก็จะแบ่งเป็นเล่มละ Part ครับ แต่สำหรับผม และคนไทยแล้ว Part ที่น่าจะมีปัญหากันมากที่สุดคือพาร์ท SC หรือ Grammar ซึ่งเล่มนี้ ข้อดีของมันเลยคือ เนื้อหา Grammar ที่แน่นมาก และผมว่าอ่านเนื้อหา Grammar เล่มนี้ เล่มเดียวอยู่เลยครับ อธิบายชัดเจน เข้าใจง่าย แบ่งเป็นบทๆชัดเจน และแถมท้ายเล่มจะมีบอกว่า โจทย์แบบนี้อยู่ในข้อไหนในหนังสือ OG latest edition ครับ ดังนั้น เล่มนี้เป็นเล่มที่ผมว่ามีประโยชน์ต่อการฝึกฝน Sentence Correction ได้ดีมากๆเลยครับ สำหรับในส่วน Verbal Part อื่นๆ ผมไม่ได้ซื้อมานะครับ แต่ส่วนตัวผมคิดว่า Part Reading Comprehension ต้องอาศัยการฝึกฝนส่วนตัวเป็นหลักมากกว่าหนังสือเสริมไม่น่าจะมีประโยชน์เท่าใด และ Critical Reasoning นั้นน่าจะเป็น พาร์ทที่ทำความเข้าใจเองได้ และคนไทยทำได้มากที่สุดอยู่แล้ว และที่สำคัญการฝึก Critical Reasoning ของสำนักอื่นที่ไม่ใช่ผู้ออกข้อสอบ GMAT บางทีเขาก็อาจจะคิดคนละแบบกับคนออกข้อสอบ และเฉลยข้อตัวอย่างของเขาไปในแนวที่เขาคิด ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับข้อสอบจริงๆ ทำให้เราอาจจะเขวๆไปได้ครับ ดังนั้น พวกแนวการวัด Logic ผมเลยอยากให้ Strictly อ่านอยู่ใน Official Guidebook เพื่อให้เรามี mindset แบบเดียวกับคนออกข้อสอบครับ สำหรับรายละเอียดแต่ละ Part ของ Verbal ผมจะมาเขียนเล่าต่อไปนะครับ
และพอมามองใน Part Quantitative ของสำนักพิมพ์ Manhattan ผมไม่ได้ซื้อมาอ่านนะครับ แต่เล่มที่หลายคนแนะนำคือเล่ม Number Properties ที่จะเป็นการทวนพวกทฤษฏีทางเลขคณิตเช่นพวก กฏการบวก ลบ คูณ หาร สมการ ตัวแปร เช่นถ้า X>0 ,Y>0 then X*Y>0 อะไรพวกนี้ครับ ถ้าคนไหนแม่นอยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อก็ได้ครับ สำหรับผม ผมมองว่า ผมเน้นเรียนรู้ไปจากโจทย์แบบฝึกหัดเลย ผมเลขไม่ได้ซื้อครับ แต่ถ้าคนไหน พวกทฤษฏีหลักๆของเลข เริ่มลืมกันแล้ว ก็ซื้อมาทบทวนก็ดีนะครับ
แต่ประเด็นของ Quantitative ของ Manhattan คือตัวแบบฝึกหัดมันยากกว่าข้อสอบจริงมากครับ! ดังนั้นถ้าคนไหนรู้สึกว่าแบบ ทำ OG ได้หมด ง่ายมาก อยากฝึกฝนตัวเองมากขึ้นเจอโจทย์ระดับเทพก็สามารถซื้อ Manhattan Part Quantitative มาฝึกฝนเพิ่มเติมได้ครับ แต่ถ้าหากมีเวลาไม่มากนัก ผมว่าทำแค่ใน OG ก็พอครับ และจะเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้ตัวเองด้วย เพราะของ Manhattan Part Quantitative ยากกว่าข้อสอบจริงอย่างมีนัยสำคัญเลยครับ ผมทำตอนแรก แทบช๊อค เกือบถอดใจ นี่ถ้าไม่ได้มาฝึกของ OG คงคิดแล้วว่า Quant. ตายแน่! ฮ่าๆ
แต่ในส่วนของเนื้อหา Number Properties ขออนุญาตไม่อธิบายมาก เพราะไม่ได้ซื้อมาอ่านครับ
3. 1 or 2 GMAT Official Guidebook old Edition
ข้อสามนี้เป็นคำแนะนำของผมเองครับ หนังสือพวกนี้อาจจะหายากหน่อยนะครับ แต่ถ้าสามารถหาได้จะดีมากเลยครับ ผมอยากให้ทุกคนไปลองหา Official Guidebook Edition ที่เก่ากว่า edition ปัจจุบันซัก 2-3 edition ครับ สาเหตุที่ให้หามาเพราะ ในแต่ละ edition แบบฝึกหัดในเล่มจะมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆครับ ดังนั้นถ้าสามารถหา edition ที่เก่าลงไปซัก 2-3 edition ได้ จะทำให้เรามีโจทย์ใหม่ๆเพิ่มมาอีกเยอะเลยครับ เหมาะมากสำหรับการฝึกฝนก่อนสอบครับ หลายคนบอกว่า อาจจะสามารถหาโหลดตามเว็บได้ อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกัน แต่คือสำหรับผม ตอนที่ผมสอบใช้ edition 13th คือฉบับล่าสุด และพี่สาวผม มี 11th edition อยู่ที่บ้านพอดี ผมก็นำเล่มนั้นมาฝึกทำโจทย์ทั้งเล่มอีกรอบ พบว่ามีโจทย์ใหม่ๆเต็มเลยครับ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้ามีแบบฝึกหัดมาก ก็จะมีประโยชน์กับการสอบ GMAT มากๆครับ
4.The Official Guide for GMAT® Verbal and Quantitative Review
สำหรับคนที่หา older edition ของ OG ไม่ได้ ทาง OG เขาก็มีออกหนังสือคล้ายๆหนังสือตะลุยโจทย์มาให้พวกเราทำครับ ซึ่งผมมองว่าอันนี้ดีมากๆ และควรมีครับ จากการที่ผมลองทำดูจะพบว่า หนังสือตะลุยโจทย์จะมีโจทย์ซ้ำกับ OG edition เก่าๆบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดครับ ดังนั้น เล่มนี้ก็ A must อีกเล่มเลยครับ ถึงแม้ว่าจะมี OG edition เก่าๆแล้วก็ตามครับ และยิ่งหาถ้า edition เก่าไม่ได้ ยิ่งจำเป็นต้องมีเลยครับ เล่มนี้!
หนังสือที่ผมได้แนะนำไปคือหนังสือที่ผมใช้ในการเตรียมตัวสอบ GMAT ครับ ซึ่งเพื่อนๆอาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป ยังไงก็มาแชร์กันได้เลยนะครับ เอาหละครับ หลังจากที่วางแผนการสอบได้แล้ว หนังสือพร้อมแล้ว ในตอนต่อไป เราจะมาสู่ขั้นตอนต่อไปครับ นั่นคือ การเริ่มอ่านหนังสือกัน จะใช้หนังสือที่เตรียมมาหลายต่อหลายเล่มอย่างไร และคำถามที่หลายคนคงสงสัยว่า เรียนพิเศษดีไหม ? ซึ่งผมขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าผมก็เรียน แต่ผมจะมาแชร์ในมุมมองของคนเคยเรียน ว่าแล้วมันจริงๆแล้วจำเป็นต้องเรียนรึเปล่านะครับ
คนไหนอ่านแล้ว อยากรู้อะไรเพิ่ม อยากให้ผมปรับปรุงตรงไหน บอกมาได้นะครับ อยากรู้ feedback จากผู้อ่านทุกคนครับ แล้วเจอกันนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม และขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ผมเขียนต่อไปครับ
UPDATE!!
ตอนที่ 4 เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ มาแล้วนะครับ ติดตามได้ครับ
แด่ผู้กล้าแห่งสมรภูมิ GMAT Part 4 : เรียนหรืออ่านเอง หนึ่งคำถามสุดปวดหัว!
http://ppantip.com/topic/30729930