อีกมุมมองนึง ของ ทฤษฎีผลประโยชน์

กระทู้สนทนา
เด็กรุ่นใหม่และผู้ใหญ่ไร้เดียงสาที่ถูกดึงให้หลงเข้ามาในตลาดด้วยคำว่า รวย

หลาย ๆ คนถูกใจในทฤษฎีผลประโยชน์ ที่ว่าด้วยคนส่วนใหญ่จะเป็นคนเสียผลประโยชน์และคนส่วนน้อยจะเป็นคนได้ประโยชน์ (80:20) ร่วมด้วยประโยคอมตะ “จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า และจงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว” มาใช้มั่ว ๆ ในทุกสถานการณ์ โดยไปยึดว่า ถ้าคนส่วนใหญ่มีมุมมองแบบไหน ถ้าเราสวน เราจะเป็นฝ่ายถูก

ในหนังสือ The Alchemy of Finance ของปรมาจารย์ Soros นั้นได้อธิบายช่วง boom-bust process ไว้ได้อย่างน่าสนใจ
ซึ่งช่วง boom นั้นเป็นช่วงที่ราคาของสินทรัพย์ ค่อย ๆ ไต่สูงขึ้น จนเกิดสภาวะที่เรียกว่าฟองสบู่ และช่วง bust ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาของสินทรัพย์ตกลงหลังจากฟองสบู่แตก

จะเห็นได้ว่าในช่วง boom นั้นจริง ๆ แล้ว คนส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์ เพราะเป็นช่วงที่ราคาขึ้น คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะซื้ออะไรไว้ที่ราคาไหน

ซื้อแล้วก็ขายได้แพงกว่าเดิม
ซื้อแล้วก็ขายได้แพงกว่าเดิม

เมื่อ commitment ทางจิตวิทยาของคนส่วนใหญ่ยังคงไปในทางเดียวกันว่าราคามันแพงได้อีก ราคามันก็จะขึ้นไปได้เรื่อย ๆ โดยช่วงเวลานี้จะกินเวลานานจนเกิดภาวะที่เรียกว่าฟองสบู่ ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างความสุขให้คนส่วนใหญ่เพราะสินทรัพย์ส่วนใหญ่ราคามันไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ และเรื่องราวแห่งความสำเร็จใน process นี้ สร้างตำนานบทใหม่ให้กับผู้คนมากมายที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็วดึงดูดให้ผู้คนที่มองเห็นความฝันเข้ามาในตลาดมากขึ้น

จนกระทั่งเมื่อราคาของสินทรัพย์เริ่มแพงเกินไปจนคนเริ่มรู้สึกอยากจะขายมากกว่าอยากจะซื้อ และไม่รู้สึกอยากจะกลับมาซื้ออีกที่ราคาใน level นี้ ราคาสินทรัพย์ก็จะเริ่มตกลงมา และจะเข้าสู่ช่วง bust ซึ่งมักจะกินเวลาสั้นกว่า

การลดลงของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นเหตุผลให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่เสียผลประโยชน์ ดับความฝันที่จะเข้ามาแสวงหาความร่ำรวย จนต้องออกจากตลาดไปอย่างเจ็บช้ำ ซึ่งก็เหมือนกับเป็นบทสรุปว่า คนส่วนใหญ่แม้ว่าจะเป็นฝ่ายได้ผลประโยชน์มาเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายผลประโยชน์ก็ยังตกอยู่กับคนส่วนน้อยอยู่ดี ซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันสนับสนุนทฤษฎีผลประโยชน์

แต่ถ้าเอาแค่บทสรุปนี้มาใช้ในทุกสถานการณ์ ลื้ออาจจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ตรงกับที่หวังเอาไว้ก็ได้

เช่น สมมุติเห็นว่าช่วงนี้ย่อยขายตลอด แล้วเห็นว่าหรั่งซื้อ ตลอด แล้วก็ไปคิดเอาเองว่า ย่อยนี่มันจะต้องขายหมูแน่ ๆ ทุกคนมองลงกันหมด นักวิเคราะห์บอกอาจจะไปทดสอบแนวรับ 1700 เราก็เลยสวนซื้อตามหรั่งด้วย
ถามว่า ถ้า index มันลงไป 3 ปี หรั่งมันก็ตามซื้อ ไปเรื่อย ๆ 3 ปี แล้วลื้อยังตามซื้อ แบบมันไหวมั๊ย ?
Scale มันต่างกัน strategy ก็ต่างกัน แล้วไปสวนย่อยตามมัน แบบนี้ลื้อไหวมั๊ย

ที่พูดนี่ไม่ใช่ทฤษฎีผลประโยชน์ไม่ดี แต่มันเอามาใช้มั่ว ๆ แบบไม่ดูบริบทไม่ได้

อย่างล่าสุดแปะได้ฟังเซียนท่านหนึ่ง อธิบายเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว

เซียนเล่าว่า ช่วงนั้นคนมองลงกันหมด ไม่มีใครมองขึ้นเลย ทำให้ราคาพรีเมี่ยมของคอลออปชั่นถูกมาก ๆ ท่านเซียนก็เลยซื้อสะสมไว้เยอะมาก แล้วหลังจากนั้น index ก็กระชากยาว วิ่งรวดเดียวเป็น 100 จุด สร้างกำไรมหาศาลหลายเท่าตัวให้กับท่านเซียนในพริบตา
แล้วก็มาเปรียบเทียบกับช่วงนี้ว่า ช่วงนี้คนก็มองลงกันหมด ตามหลักทฤษฎีผลประโยชน์ ถ้าเราซื้อคอลออปชั่นสะสมไว้ แล้ว index วิ่งขึ้น เราจะทำกำไรได้มหาศาลเหมือนช่วงปลายปีที่แล้ว

แปะฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ

ข้อแรก ราคาพรีเมี่ยมของออปชั่นตอนช่วงที่ตลาดนิ่ง ๆ ก่อนกระชากเมื่อปีที่แล้ว มันถูกมาก ๆ เพราะตลาดมัน volatility ต่ำ ไม่ใช่แค่ call อย่างเดียวที่ต่ำ ฝั่ง put เองก็ต่ำ มันไม่ได้เกี่ยว...อะไรเลยกับที่บอกว่าคนมองลงกันหมด แต่เพราะตลาดมันไม่ขยับไปฝั่งไหนเลย

ข้อสอง ตอนนี้ตลาด volatility สูง ต่อให้เดาถูกว่าตลาดจะขึ้น ก็ไม่มีทางทำกำไรได้มหาศาลเหมือนปีที่แล้วแน่นอน เพราะต้นทุนค่าพรีเมี่ยมมันแพงกว่าหลายเท่าตัว

แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ เซียนท่านนี้ยังคงได้รับแรงศรัทธาจากสาวกอยู่เป็นจำนวนมาก

กลยุทธ์ของลื้อคืออะไร
หน้าตักมากขนาดไหน สายป่านยาวแค่ไหน
ไม่ใช่เอะอะก็สวนย่อย สวนย่อย
ดูถูกย่อยจนลืมดูตัวเอง ว่าตัวเองเป็นใคร

ถ้าลื้อไม่โลภ เกินกว่าความรู้ที่มี ลื้อจะไม่หมดตัว

credit : FB อาแปะแกะกราฟ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่