5 4 3 2 1 เริ่ม !!!!
เกริ่นก่อนจะได้รู้ที่มาที่ไป ใครไม่อยากรู้ ข้ามไปค่ะ ข้ามไปปปป
ความคิดการไปแคนาดาเริ่มจากความอยากย้ายสายงานจากวิทยาศาสตร์เป็นสายภาษาค่ะ
เลยหักดิบตัวเองไปทำงานเป็น Guest Service Agent อยู่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านสุวรรณภูมิ
เลยทำให้รู้ตัวเองว่าภาษาอังกฤษอยู่ในพื้นฐานระดับประถมเลย เห้ยยย !!!! จบปริญญาตรีแต่ความรู้ประถม ไม่โอเคคคค
และตอนนั้นแม่เรารู้จักพี่คนหนึ่งที่สามารถติดต่อเอเจนซี่ต่างประเทศได้ แม่เราเลยให้ไปกับพี่คนนี้ เท่านั้น !
ความยากมาถึงตรงที่ ต้องเป็นแคนาดาโอนลี่ค่ะ ไม่มีทางเลือก เลือกจะไปก็ต้องไปค่ะ
เราเลือกเรียน Hospitality Management Co-op 1 Year : คือเรียนหกเดือนทำงานหกเดือนค่ะ
ตอนเรียนทำงานได้ 20 ชม. เรียนจบแล้วทำงานได้ 40 ชม.
จากนั้นก็เริ่มดำเนินการทุกอย่าง ทั้งการขอเอกสารเพื่อขอวีซ่า ติดต่อกับทางเอเจนซี่ที่แคนาดาโดยตรง(พี่เราเป็นคนติดต่อให้ค่ะ)
สำหรับการขอใบรับรองอาชญากรรมนะคะ เราบอกตำรวจไปตรงๆว่าเราจะไปเรียนเมืองนอก การดำเนินการขอวีซ่าค่อนข้างนาน เลยอยากรีบยื่นเอกสารเร็วที่สุด ขอร้องเค้าเค้าก็เร่งให้นะคะ
ส่วนการรอวีซ่าขึ้นอยู่กับการดำเนินการของสถานทูตค่ะ เรารอประมาณสองเดือน วีซ่าผ่านก็ไปตรวจร่างกายแล้วก็รออีกเกือบเดือน
จากนั้นก็จองตั๋ว เลือกบ้านโฮส แล้วบินเลย
เริ่มแล้วชีวิตที่ออกจากประเทศไทยของฉัน
วันที่ต้องเดินทางค่ะ เราเลือกไปกับ EVA ค่ะ จำไม่ผิดน่าจะประมาณ 21 ชั่วโมง จากไทยไปลงไทเป พักสามชั่วโมงแล้วไปลงแวนคูเวอร์
เรารีเควสไปตอนซื้อตั๋วเครื่องบินว่า เราเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก ภาษาไม่ได้ และต้องการแอร์โฮสเตสช่วยค่ะ
ตอนจากไทยไปไทเปไม่มีปัญหา เนื่องจากแอร์เป็นคนไทย อ่ะ ไทยพูดไทยรู้เรื่อง
พอจากไทเปไปแวนคูเวอร์เท่านั้นแหละ ปัญหาด่านแรกมา
แอร์เริ่มเสิร์ฟอาหารบนเครื่อง เออ หิวพอดี ข้าวมาล้าวววววว
แอร์โฮสเตส : Would you like @%#&$^@*!)#(&$^#@*@(
เรา : เชี่ยยยยยยย พูดอะไรอ่ะะะะะะ (คิดในใจ) ตอบไป Again please
แอร์โฮสเตส : Would you like *#)$&@*#^!($*^#*@(#)$
เรา : เออ อะไรก็เสิร์ฟมาเหอะ ไม่รู้เรื่องโว้ย (คิดในใจ) ตอบไป First one
ได้สลัดผักมาาาาา ฮือออออออ ไม่กินผักโว้ยยย แต่เอาว่ะ กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน จะร้องไห้
ในที่สุดก็ถึงแล้ว สนามบินอินเตอร์เนชั่นนอลแวนคูเวอร์ที่รักกกกกกกก
เราก็ได้เอกสารมาตอนอยู่ไทยว่าให้ไปตามทางนี้มีป้ายบอก ผ่านตม. รอ Study&Work permit
และออกจากสนามบินจะมีคนมารับไปบ้านโฮส เค้าจะชูป้ายชื่อเรา
อ่ะ ดูเหมือนง่าย เห้ย ชิวๆ พอลงมาถึงที่จะต้องผ่านตม.เท่านั้นแหละ โอ้โห !!!
แยกออกเป็นสองทาง เอ่า ไปทางไหนล่ะ ถามใครก็ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ออก ฮืออออ พ่อจ๋าแม่จ๋า
ตัดสินใจเดินตามทางคนที่ลงเครื่องลำเดียวกับเรา ไปที่ที่เป็นเครื่องแสกนพาสปอร์ตและถ่ายรูป เสร็จปุ๊บจะมีใบปริ้นออกมา แล้วเอาใบนั้นไปต่อแถวเพื่อคุยกับตำรวจตม.เพื่อออกไปเอา Study&Work permit
อ่ะ ดูเหมือนง่ายอีกใช่มั้ย แต่เครื่องนี้ถามยิบถามย่อยมาก คือไม่รู้เรื่อง แปลไม่ออก เลยขอความช่วยเหลือจากพนักงานแถวนั้น
จากนั้นนางก็มา สปีคอิงลิชรัวๆใส่เราเลยค่ะ @^#*$($)%_%)!)#* อ่ะ นางสอนแล้วก็ทำให้ด้วย ปุ๊บปั๊บๆ เสร็จปุ๊บ นางเดินไปเลย ไปช่วยคนอื่นเนื่องจากคนรอเยอะมากๆ ความโชคร้ายคือ ใบมันไม่ปริ้นออกมาให้เรา แล้วเครื่องมันก็เซ็ทให้เริ่มต้นทำใหม่ ฮือออ ฟังไม่ออกโว้ยยยยย แล้วคนต่อแถวข้างหลังก็รอ แน่นอนค่ะ สกิลมั่วก็มา ทำไปค่ะ และแล้วใบก็ปริ้นออกมาให้ กรี๊ดดดดดดดด
จากนั้นไปต่อแถวรอตำรวจตม.สัมภาษณ์ค่ะ
เค้าก็จะนั่งอยู่ในตู้กระจก เราก็ยื่นเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่
ตำรวจ : Why do you come to Canada?
เรา : Study
แล้วตำรวจก็ปั๊มเอกสารให้เรา
ตำรวจ : $(%&)#_#)(*$(*%)&#@)#(_@
เราหยิบเอกสารแล้วเดินออกมาเลยค่ะ ไม่รู้เรื่อง แต่พี่ที่ไทยบอกว่า ออกมาได้แล้ว เดินไปเอากระเป๋าแล้วไปเอาใบเวิร์ค
ทำตามไปค่ะ เดี๋ยวไปโชว์โง่แล้วเค้าไม่ให้ออกสนามบิน 55555555
เดินไปเอากระเป๋าแล้วเดินไปเอาใบเวิร์ค โอ้โห !!! คนเยอะเว่อวังอลังการมากค่ะ เราก็นั่งรอ เค้าก็จะเรียกคิวทีละคนค่ะ
แล้วก็ถามคำถามสองสามคำถาม และก็ปริ้นใบมาให้ค่ะ
ความกลัวคือ ถามอะไร๊ ฟังไม่ออกกกกกกก
นึกสภาพว่า ตำรวจตม.โหดๆแต่หล่ออ่ะเธอออ เรารออยู่นานมาก ลงเครื่องสามทุ่ม ณ เวลาที่รอประมาณห้าทุ่มกว่าๆแล้ว
ตำรวจก็คงเพลียๆแล้ว เค้าก็เลยรวบรวมพาสปอร์ตไปให้เค้าทีเดียว เค้าจะเซ็นต์ให้และปริ้นใบ Permit ให้เลย กรี๊ดดด
เป็นความโชคดีอย่างแรกที่สามารถสัมผัสได้
จากนั้น ตม.ก็เรียกชื่อเรา เรารับเอกสารแล้วเดินออกมา เลยแวะเข้าห้องน้ำก่อนออกจากสนามบิน
จากนั้นเดินออกไปก็จะมีตำรวจยืนอยู่จุดสุดท้ายขอดูใบทั้งหมดที่ได้มา
แต่เราลืมค่ะ ลืมไว้ที่ห้องน้ำ !!!!!!!! วิ่งสิเอ๋ วิ่งงงงงงงง !!!! ไปเอาพาสปอร์ตและเอกสารทั้งหมด โชคดีที่มันยังอยู่ที่เดิม รอดไปค่ะ
ในที่สุดดดดดดดดดดดดด ออกจากสนามบินแล้วโว้ยยยยยยยยยยยย
คนที่มารับเป็นคนเกาหลี มากันสามคนเหมือนเป็นเพื่อนกัน แล้วนางก็ชวนเราเม้าในรถจ้า สนุกสนาน
ถามว่ารู้เรื่องไหม คำตอบคือ ไม่จ้า 555555
พอไปถึงบ้านโฮส โฮสเป็นชาวฟิลิปปินส์ค่ะ ต้อนรับเราเป็นอย่างดี
มีความออกไปนั่งกินข้าว ดูทีวีกับเค้า เม้ามอยสนุกสนาน รู้เรื่องไหม ก็ไม่อีกนั่นแหละ 555555
นอกจากภาษาอังกฤษ ภาษาตะกะล็อคก็มานะจ้ะ อินเตอร์เนชั่นแนลสุดสุดดดดด
หลังจากพบปะพูดคุยแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย ก็เข้าห้องมาเอาของออกจากกระเป๋า และ นอนนนนค่ะ ร่างกายเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ
ทริคการจัดกระเป๋ามาจากไทยคือ เราต้องไม่อดตายค่ะะะะ 55555
ตื่นเช้ามา โฮสของเราก็พาไปซื้อ Compass card เป็นบัตรที่ใช้ขึ้นรถบัสและรถไฟฟ้าค่ะ
เติมเงินรายเดือน จะขึ้นบัสหรือรถไฟฟ้าไปไหนก็ได้ กี่รอบก็ได้ ราคาขึ้นอยู่กับโซนที่เลือกใช้นะคะ
ป้ายรถบัสจะมีเลขประจำป้ายอยู่สามารถเช็คเวลาได้ด้วยว่าจะมาถึงป้ายเมื่อไหร่
และคนขับก็เฟรนลี่มากกกก ไม่น่ากลัวเลยค่ะ
การนัดเจอกันครั้งแรกของเอเจนซี่ที่แคนาดา
เค้านัดเราไปเจอก่อนที่เราจะเริ่มเรียน เพื่อทำการเปิดบัญชีและเปิดซิมจะได้ติดต่อคนอื่นได้
ให้แผนที่มาหนึ่งอัน แล้วก็บอกว่าต้องไปติดต่อใคร แล้วตบท้ายด้วยคำว่า ยูต้องโกบายยัวเซ้ลนะ
เดี๋ยววว ตอนตกลงกันที่ไทยไหนบอกมีคนพาไปส่งไงงงงง
ทำไมให้ไปคนเดียวล่ะะะะะะ คิดในใจค่ะ พูดไม่ได้ เถียงไม่ทัน ไปคนเดียวก็ได้
เดินไปค่ะ ไม่นั่งรถบัสใดใดทั้งสิ้น เพราะไม่รู้ว่ารถบัสไปทางไหน
มือถือก็ใช้ไม่ได้ ยังไม่มีซิม และแน่นอนว่ากูเกิ้ลแม็บก็ไม่สามารถใช้ได้ค่ะ
ในที่สุดดดดด ก็หลงทาง!!!! เอ่า ทำไงล่ะทีนี้ หลงทางอ่ะ กางแผนที่สิ กางมันตรงนั้นแหละะะะ
แล้วก็มีฝรั่งใจดี เข้ามาถามว่าเราจะไปไหน เค้าจะชี้ทางให้ วิธีนี้ได้ผลลลลล
ไปถูกต้องตามไดเรคชั่นที่เค้าบอกมาเลยค่ะ
เทคนิคเมื่อหลงทาง คือกางแผนที่แล้วทำหน้าโง่ค่ะ คนแคนาดาใจดีจริงๆ
การเรียนวันแรกของฉัน
วันแรกของการเรียนมาถึง ไม่เป็นอย่างที่วาดฝันไว้ เนื่องจากโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเล็กๆค่ะ
เหมือนกับว่า ต้องเรียนปนกับเด็กเก่าที่เค้าเรียนมาก่อนแล้ว และแน่นอนค่ะว่า เค้าก็ต้องเป็นเพื่อนกันมาก่อน
และแน่นอนอีกค่ะว่า เพื่อนที่เรียนมาก่อนแล้วเค้าก็สปีคอิงลิชได้มากพอแล้วนั่นเอง
ความซวยที่สองตามมาติดๆแบบไม่ต้องรีรอ คืออาจารย์ไม่ใช่ native ! เป็นสำเนียงประเทศอื่น ไม่แน่ใจว่าเป็นเสปนหรือฝรั่งเศส
แต่ที่รู้ ฟังไม่ออกเลยสักคำ ฮืออออออออ สู้เขานะลูกกกกกก !!!!
ความซวยที่สาม ต้องไปรีวิวบทที่เรียนมาหน้าห้องให้เพื่อนฟัง การท่องสคริปต์ไปสอบสปีคกิ้งตอนปริญญาตรีไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆค่ะ
เราทนอยู่ตรงนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ก็ยังไม่รู้เรื่องอีกเหมือนเคย
เราเลยไปขอเรียน ESL ก่อน ขอปรับพื้นฐานสักหน่อย อาจจะดี แต่ แต่ แต่ !!!!
ต้องเสียเงินเพิ่มค่ะะะะะะ ไม่มีอะไรได้มาฟรีฟรี
เราเลยตัดสินใจ ไม่เรียน อดทน และศึกษาเอาเองจาก text book และ หนังสือที่ห้องสมุดค่ะ
วิวตรงนี้สามารถมองเห็นจากห้องเรียนเราด้วยค่ะ สวยมาก เอาไว้มองตอนเรียนไม่รู้เรื่อง 55555
การเรียนที่นี่เป็นแบบการคุยแลกเปลี่ยนกันในห้องซะส่วนใหญ่
อาจารย์ก็คอยช่วยเหลือเป็นอย่างดี ให้เค้าย้ำกี่รอบเค้าก็ย้ำนะคะ
ทุกคนรวมถึงเพื่อนเค้าเข้าใจค่ะว่า no one is native speaker ที่นี่
นอกจากการเรียนในห้องที่โรงเรียนก็มีกิจกรรมเยอะแยะนะคะ เช่น
การไปเรียนรู้วิธีการเก็บไวน์ เสิร์ฟ และเรียนรู้รสชาติของไวน์
ไปดู Vancouver Convention Centre
ไป PNE Play land ค่ะ เราชอบเครื่องเล่นอันสุดท้ายที่สุด วิวสวยมาก ไปลองกันดูนะคะ
วันฮาโลวีนค่ะ ประชันการแต่งตัวกันสุดฤทธิ์ มีรางวัลให้เยอะแยะเลยค่ะ
การทำงานในแวนคูเวอร์
เราหางานจากเว็บ Craigslist เพียงแค่ส่งเรซูเม่ไปหาเค้าค่ะ เค้าจะอีเมลล์กลับมาถ้าเค้าสนใจ
เราได้งานทำในครัวที่ร้านอาหารอิตาเลียนอยู่ West Vancouver ซึ่งไกลจากบ้านเรามากมาก
แต่ก็ทำนะ เพราะ ณ ตอนนั้นเราเลือกมากไม่ได้จริงๆ
สนุกมากกกกกกกกก เราอยู่ในครัวกับเจ้าของที่เป็นชาวอิตาเลียน
ช่วยเค้าเตรียมของ ทำพวก Appertizer ง่ายๆ และก็เมนูอาหารหวานค่ะ
เนื่องจากเราอยู่กับเชฟสองคนในครัว เราเลยสนิทกันมาก ทำงานได้เงินได้ลองเบียร์นอกฟรีด้วย ถือว่าคุ้ม 55555
ทำงานได้ประมาณสามเดือน สนุกแต่เงินน้อย(ถ้าหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด)และไกล เลยตัดสินใจลาออก
เสียใจมากมากกกกกก แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปค่ะ
พอเราเรียนจบ ก็ถึงเวลาทำงาน Full Time สักที !
เราชอบที่นี่มากที่สุด เพราะเพื่อนที่ทำงานดีมากมาก ทุกคนสอนงานเรา แถมสอนภาษาเราอีกด้วย
นี่คือที่ทำงานของเรา ตำแหน่ง Line cook ก็ทำอาหารให้ลูกค้านั่นแหละค่ะ
เมเนเจอร์ก็จะเป็นคนสอนทำทุกอย่าง เราอยู่ในส่วนของ Grilled Station
มันจะร้อนมากมากสำหรับคนที่นั่น แต่สำหรับเราสบายมากค่ะ อากาศที่ไทยยังร้อนกว่าอีก 555555
ร้านนี้คือดีย์มากมากค่ะ เงินดี เพื่อนดี หัวหน้าดี แถมข้าวฟรีอีกต่างหาก คุ้มเวอร์ !
เดี๋ยวไว้มาต่อเรื่องของกินและที่เที่ยวนะคะ จุ๊บบ
เมื่อคนโง่ภาษาอังกฤษอย่างฉันไป Study & Work in Canada
อาจจะมีบางคำที่เราพิมพ์ไปเพื่ออรรถรสในการเล่าเรื่องราว งดดราม่านะคะ พรีสสสส
เกริ่นก่อนจะได้รู้ที่มาที่ไป ใครไม่อยากรู้ ข้ามไปค่ะ ข้ามไปปปป
ความคิดการไปแคนาดาเริ่มจากความอยากย้ายสายงานจากวิทยาศาสตร์เป็นสายภาษาค่ะ
เลยหักดิบตัวเองไปทำงานเป็น Guest Service Agent อยู่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านสุวรรณภูมิ
เลยทำให้รู้ตัวเองว่าภาษาอังกฤษอยู่ในพื้นฐานระดับประถมเลย เห้ยยย !!!! จบปริญญาตรีแต่ความรู้ประถม ไม่โอเคคคค
และตอนนั้นแม่เรารู้จักพี่คนหนึ่งที่สามารถติดต่อเอเจนซี่ต่างประเทศได้ แม่เราเลยให้ไปกับพี่คนนี้ เท่านั้น !
ความยากมาถึงตรงที่ ต้องเป็นแคนาดาโอนลี่ค่ะ ไม่มีทางเลือก เลือกจะไปก็ต้องไปค่ะ
เราเลือกเรียน Hospitality Management Co-op 1 Year : คือเรียนหกเดือนทำงานหกเดือนค่ะ
ตอนเรียนทำงานได้ 20 ชม. เรียนจบแล้วทำงานได้ 40 ชม.
จากนั้นก็เริ่มดำเนินการทุกอย่าง ทั้งการขอเอกสารเพื่อขอวีซ่า ติดต่อกับทางเอเจนซี่ที่แคนาดาโดยตรง(พี่เราเป็นคนติดต่อให้ค่ะ)
สำหรับการขอใบรับรองอาชญากรรมนะคะ เราบอกตำรวจไปตรงๆว่าเราจะไปเรียนเมืองนอก การดำเนินการขอวีซ่าค่อนข้างนาน เลยอยากรีบยื่นเอกสารเร็วที่สุด ขอร้องเค้าเค้าก็เร่งให้นะคะ
ส่วนการรอวีซ่าขึ้นอยู่กับการดำเนินการของสถานทูตค่ะ เรารอประมาณสองเดือน วีซ่าผ่านก็ไปตรวจร่างกายแล้วก็รออีกเกือบเดือน
จากนั้นก็จองตั๋ว เลือกบ้านโฮส แล้วบินเลย
เริ่มแล้วชีวิตที่ออกจากประเทศไทยของฉัน
วันที่ต้องเดินทางค่ะ เราเลือกไปกับ EVA ค่ะ จำไม่ผิดน่าจะประมาณ 21 ชั่วโมง จากไทยไปลงไทเป พักสามชั่วโมงแล้วไปลงแวนคูเวอร์
เรารีเควสไปตอนซื้อตั๋วเครื่องบินว่า เราเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก ภาษาไม่ได้ และต้องการแอร์โฮสเตสช่วยค่ะ
ตอนจากไทยไปไทเปไม่มีปัญหา เนื่องจากแอร์เป็นคนไทย อ่ะ ไทยพูดไทยรู้เรื่อง
พอจากไทเปไปแวนคูเวอร์เท่านั้นแหละ ปัญหาด่านแรกมา
แอร์เริ่มเสิร์ฟอาหารบนเครื่อง เออ หิวพอดี ข้าวมาล้าวววววว
แอร์โฮสเตส : Would you like @%#&$^@*!)#(&$^#@*@(
เรา : เชี่ยยยยยยย พูดอะไรอ่ะะะะะะ (คิดในใจ) ตอบไป Again please
แอร์โฮสเตส : Would you like *#)$&@*#^!($*^#*@(#)$
เรา : เออ อะไรก็เสิร์ฟมาเหอะ ไม่รู้เรื่องโว้ย (คิดในใจ) ตอบไป First one
ได้สลัดผักมาาาาา ฮือออออออ ไม่กินผักโว้ยยย แต่เอาว่ะ กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน จะร้องไห้
ในที่สุดก็ถึงแล้ว สนามบินอินเตอร์เนชั่นนอลแวนคูเวอร์ที่รักกกกกกกก
เราก็ได้เอกสารมาตอนอยู่ไทยว่าให้ไปตามทางนี้มีป้ายบอก ผ่านตม. รอ Study&Work permit
และออกจากสนามบินจะมีคนมารับไปบ้านโฮส เค้าจะชูป้ายชื่อเรา
อ่ะ ดูเหมือนง่าย เห้ย ชิวๆ พอลงมาถึงที่จะต้องผ่านตม.เท่านั้นแหละ โอ้โห !!!
แยกออกเป็นสองทาง เอ่า ไปทางไหนล่ะ ถามใครก็ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ออก ฮืออออ พ่อจ๋าแม่จ๋า
ตัดสินใจเดินตามทางคนที่ลงเครื่องลำเดียวกับเรา ไปที่ที่เป็นเครื่องแสกนพาสปอร์ตและถ่ายรูป เสร็จปุ๊บจะมีใบปริ้นออกมา แล้วเอาใบนั้นไปต่อแถวเพื่อคุยกับตำรวจตม.เพื่อออกไปเอา Study&Work permit
อ่ะ ดูเหมือนง่ายอีกใช่มั้ย แต่เครื่องนี้ถามยิบถามย่อยมาก คือไม่รู้เรื่อง แปลไม่ออก เลยขอความช่วยเหลือจากพนักงานแถวนั้น
จากนั้นนางก็มา สปีคอิงลิชรัวๆใส่เราเลยค่ะ @^#*$($)%_%)!)#* อ่ะ นางสอนแล้วก็ทำให้ด้วย ปุ๊บปั๊บๆ เสร็จปุ๊บ นางเดินไปเลย ไปช่วยคนอื่นเนื่องจากคนรอเยอะมากๆ ความโชคร้ายคือ ใบมันไม่ปริ้นออกมาให้เรา แล้วเครื่องมันก็เซ็ทให้เริ่มต้นทำใหม่ ฮือออ ฟังไม่ออกโว้ยยยยย แล้วคนต่อแถวข้างหลังก็รอ แน่นอนค่ะ สกิลมั่วก็มา ทำไปค่ะ และแล้วใบก็ปริ้นออกมาให้ กรี๊ดดดดดดดด
จากนั้นไปต่อแถวรอตำรวจตม.สัมภาษณ์ค่ะ
เค้าก็จะนั่งอยู่ในตู้กระจก เราก็ยื่นเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่
ตำรวจ : Why do you come to Canada?
เรา : Study
แล้วตำรวจก็ปั๊มเอกสารให้เรา
ตำรวจ : $(%&)#_#)(*$(*%)&#@)#(_@
เราหยิบเอกสารแล้วเดินออกมาเลยค่ะ ไม่รู้เรื่อง แต่พี่ที่ไทยบอกว่า ออกมาได้แล้ว เดินไปเอากระเป๋าแล้วไปเอาใบเวิร์ค
ทำตามไปค่ะ เดี๋ยวไปโชว์โง่แล้วเค้าไม่ให้ออกสนามบิน 55555555
เดินไปเอากระเป๋าแล้วเดินไปเอาใบเวิร์ค โอ้โห !!! คนเยอะเว่อวังอลังการมากค่ะ เราก็นั่งรอ เค้าก็จะเรียกคิวทีละคนค่ะ
แล้วก็ถามคำถามสองสามคำถาม และก็ปริ้นใบมาให้ค่ะ
ความกลัวคือ ถามอะไร๊ ฟังไม่ออกกกกกกก
นึกสภาพว่า ตำรวจตม.โหดๆแต่หล่ออ่ะเธอออ เรารออยู่นานมาก ลงเครื่องสามทุ่ม ณ เวลาที่รอประมาณห้าทุ่มกว่าๆแล้ว
ตำรวจก็คงเพลียๆแล้ว เค้าก็เลยรวบรวมพาสปอร์ตไปให้เค้าทีเดียว เค้าจะเซ็นต์ให้และปริ้นใบ Permit ให้เลย กรี๊ดดด
เป็นความโชคดีอย่างแรกที่สามารถสัมผัสได้
จากนั้น ตม.ก็เรียกชื่อเรา เรารับเอกสารแล้วเดินออกมา เลยแวะเข้าห้องน้ำก่อนออกจากสนามบิน
จากนั้นเดินออกไปก็จะมีตำรวจยืนอยู่จุดสุดท้ายขอดูใบทั้งหมดที่ได้มา
แต่เราลืมค่ะ ลืมไว้ที่ห้องน้ำ !!!!!!!! วิ่งสิเอ๋ วิ่งงงงงงงง !!!! ไปเอาพาสปอร์ตและเอกสารทั้งหมด โชคดีที่มันยังอยู่ที่เดิม รอดไปค่ะ
ในที่สุดดดดดดดดดดดดด ออกจากสนามบินแล้วโว้ยยยยยยยยยยยย
คนที่มารับเป็นคนเกาหลี มากันสามคนเหมือนเป็นเพื่อนกัน แล้วนางก็ชวนเราเม้าในรถจ้า สนุกสนาน
ถามว่ารู้เรื่องไหม คำตอบคือ ไม่จ้า 555555
พอไปถึงบ้านโฮส โฮสเป็นชาวฟิลิปปินส์ค่ะ ต้อนรับเราเป็นอย่างดี
มีความออกไปนั่งกินข้าว ดูทีวีกับเค้า เม้ามอยสนุกสนาน รู้เรื่องไหม ก็ไม่อีกนั่นแหละ 555555
นอกจากภาษาอังกฤษ ภาษาตะกะล็อคก็มานะจ้ะ อินเตอร์เนชั่นแนลสุดสุดดดดด
หลังจากพบปะพูดคุยแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย ก็เข้าห้องมาเอาของออกจากกระเป๋า และ นอนนนนค่ะ ร่างกายเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ
ทริคการจัดกระเป๋ามาจากไทยคือ เราต้องไม่อดตายค่ะะะะ 55555
ตื่นเช้ามา โฮสของเราก็พาไปซื้อ Compass card เป็นบัตรที่ใช้ขึ้นรถบัสและรถไฟฟ้าค่ะ
เติมเงินรายเดือน จะขึ้นบัสหรือรถไฟฟ้าไปไหนก็ได้ กี่รอบก็ได้ ราคาขึ้นอยู่กับโซนที่เลือกใช้นะคะ
และคนขับก็เฟรนลี่มากกกก ไม่น่ากลัวเลยค่ะ
การนัดเจอกันครั้งแรกของเอเจนซี่ที่แคนาดา
เค้านัดเราไปเจอก่อนที่เราจะเริ่มเรียน เพื่อทำการเปิดบัญชีและเปิดซิมจะได้ติดต่อคนอื่นได้
ให้แผนที่มาหนึ่งอัน แล้วก็บอกว่าต้องไปติดต่อใคร แล้วตบท้ายด้วยคำว่า ยูต้องโกบายยัวเซ้ลนะ
เดี๋ยววว ตอนตกลงกันที่ไทยไหนบอกมีคนพาไปส่งไงงงงง
ทำไมให้ไปคนเดียวล่ะะะะะะ คิดในใจค่ะ พูดไม่ได้ เถียงไม่ทัน ไปคนเดียวก็ได้
เดินไปค่ะ ไม่นั่งรถบัสใดใดทั้งสิ้น เพราะไม่รู้ว่ารถบัสไปทางไหน
มือถือก็ใช้ไม่ได้ ยังไม่มีซิม และแน่นอนว่ากูเกิ้ลแม็บก็ไม่สามารถใช้ได้ค่ะ
ในที่สุดดดดด ก็หลงทาง!!!! เอ่า ทำไงล่ะทีนี้ หลงทางอ่ะ กางแผนที่สิ กางมันตรงนั้นแหละะะะ
แล้วก็มีฝรั่งใจดี เข้ามาถามว่าเราจะไปไหน เค้าจะชี้ทางให้ วิธีนี้ได้ผลลลลล
ไปถูกต้องตามไดเรคชั่นที่เค้าบอกมาเลยค่ะ
เทคนิคเมื่อหลงทาง คือกางแผนที่แล้วทำหน้าโง่ค่ะ คนแคนาดาใจดีจริงๆ
การเรียนวันแรกของฉัน
วันแรกของการเรียนมาถึง ไม่เป็นอย่างที่วาดฝันไว้ เนื่องจากโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเล็กๆค่ะ
เหมือนกับว่า ต้องเรียนปนกับเด็กเก่าที่เค้าเรียนมาก่อนแล้ว และแน่นอนค่ะว่า เค้าก็ต้องเป็นเพื่อนกันมาก่อน
และแน่นอนอีกค่ะว่า เพื่อนที่เรียนมาก่อนแล้วเค้าก็สปีคอิงลิชได้มากพอแล้วนั่นเอง
ความซวยที่สองตามมาติดๆแบบไม่ต้องรีรอ คืออาจารย์ไม่ใช่ native ! เป็นสำเนียงประเทศอื่น ไม่แน่ใจว่าเป็นเสปนหรือฝรั่งเศส
แต่ที่รู้ ฟังไม่ออกเลยสักคำ ฮืออออออออ สู้เขานะลูกกกกกก !!!!
ความซวยที่สาม ต้องไปรีวิวบทที่เรียนมาหน้าห้องให้เพื่อนฟัง การท่องสคริปต์ไปสอบสปีคกิ้งตอนปริญญาตรีไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆค่ะ
เราทนอยู่ตรงนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ก็ยังไม่รู้เรื่องอีกเหมือนเคย
เราเลยไปขอเรียน ESL ก่อน ขอปรับพื้นฐานสักหน่อย อาจจะดี แต่ แต่ แต่ !!!!
ต้องเสียเงินเพิ่มค่ะะะะะะ ไม่มีอะไรได้มาฟรีฟรี
เราเลยตัดสินใจ ไม่เรียน อดทน และศึกษาเอาเองจาก text book และ หนังสือที่ห้องสมุดค่ะ
วิวตรงนี้สามารถมองเห็นจากห้องเรียนเราด้วยค่ะ สวยมาก เอาไว้มองตอนเรียนไม่รู้เรื่อง 55555
การเรียนที่นี่เป็นแบบการคุยแลกเปลี่ยนกันในห้องซะส่วนใหญ่
อาจารย์ก็คอยช่วยเหลือเป็นอย่างดี ให้เค้าย้ำกี่รอบเค้าก็ย้ำนะคะ
ทุกคนรวมถึงเพื่อนเค้าเข้าใจค่ะว่า no one is native speaker ที่นี่
นอกจากการเรียนในห้องที่โรงเรียนก็มีกิจกรรมเยอะแยะนะคะ เช่น
การไปเรียนรู้วิธีการเก็บไวน์ เสิร์ฟ และเรียนรู้รสชาติของไวน์
ไปดู Vancouver Convention Centre
ไป PNE Play land ค่ะ เราชอบเครื่องเล่นอันสุดท้ายที่สุด วิวสวยมาก ไปลองกันดูนะคะ
วันฮาโลวีนค่ะ ประชันการแต่งตัวกันสุดฤทธิ์ มีรางวัลให้เยอะแยะเลยค่ะ
เราได้งานทำในครัวที่ร้านอาหารอิตาเลียนอยู่ West Vancouver ซึ่งไกลจากบ้านเรามากมาก
แต่ก็ทำนะ เพราะ ณ ตอนนั้นเราเลือกมากไม่ได้จริงๆ
สนุกมากกกกกกกกก เราอยู่ในครัวกับเจ้าของที่เป็นชาวอิตาเลียน
ช่วยเค้าเตรียมของ ทำพวก Appertizer ง่ายๆ และก็เมนูอาหารหวานค่ะ
เนื่องจากเราอยู่กับเชฟสองคนในครัว เราเลยสนิทกันมาก ทำงานได้เงินได้ลองเบียร์นอกฟรีด้วย ถือว่าคุ้ม 55555
ทำงานได้ประมาณสามเดือน สนุกแต่เงินน้อย(ถ้าหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด)และไกล เลยตัดสินใจลาออก
เสียใจมากมากกกกกก แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปค่ะ
พอเราเรียนจบ ก็ถึงเวลาทำงาน Full Time สักที !
เราชอบที่นี่มากที่สุด เพราะเพื่อนที่ทำงานดีมากมาก ทุกคนสอนงานเรา แถมสอนภาษาเราอีกด้วย
นี่คือที่ทำงานของเรา ตำแหน่ง Line cook ก็ทำอาหารให้ลูกค้านั่นแหละค่ะ
เมเนเจอร์ก็จะเป็นคนสอนทำทุกอย่าง เราอยู่ในส่วนของ Grilled Station
มันจะร้อนมากมากสำหรับคนที่นั่น แต่สำหรับเราสบายมากค่ะ อากาศที่ไทยยังร้อนกว่าอีก 555555
ร้านนี้คือดีย์มากมากค่ะ เงินดี เพื่อนดี หัวหน้าดี แถมข้าวฟรีอีกต่างหาก คุ้มเวอร์ !
เดี๋ยวไว้มาต่อเรื่องของกินและที่เที่ยวนะคะ จุ๊บบ