หลายๆคนคงอยากไปเที่ยว ไปช้อป เข้าวัดเดินช้อปชิมชิลล์แต่อาจจะติดเรื่องเวลาและตังค์ในกระเป๋า วันนี้เลยจะมาเขียนรีวิว สถานที่ช้อปชิมชิลล์ ในเมืองกรุงมาฝากเพื่อนๆชาวพันทิปกันจ้าา
• พูดถึงวังหลังแน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะนางคือสถานที่ติดอันดับโพลตลาดของกินในเมืองกรุงเลยก็ว่าได้ จะไปกับเพื่อนเป็นแก๊ง หรือจูงมือแฟนไปตะลอนสองต่อสองก็รับรองว่าเวิร์คจ้าาา
เกริ่นมาเยอะเรามาเริ่มเดินทางกันเลย ตามมาจ้าตามมาาาาา
สถานีแรก : รังสิต - สนามหลวง ( ป้ายรถเมล์รังสิต ตรงก่อนถึงสถานีรถไฟรังสิต หรือจะรอขึ้นตรงฟิวเจอร์ก็ได้เด้อออ )
• เราเลือกขึ้นรถเมล์ สาย 59 รังสิตสนามหลวง ที่ท่ารถเขียนว่ารถออกทุกๆ 15 นาทีเพราะฉะนั้นทุกท่านจะไม่เสียเวลารอรถนานแน่นอน( แต่รถจะติดนาจาาา ตัวเลือกสำหรับคนขี้เกียจรอรถไฟแบบเราสองคนเรื่อยๆไม่รีบร้อน ) จากรังสิตยิงตรงสู่สนามหลวงแบบไม่เปลี่ยนสถานีใดๆทั้งสิ้น นั่งชิลล์ๆ มองวิวรายทาง
• ค่าโดยสายตกคนละ 23 บาทถ้วน
สถานีที่ 2 : สนามหลวง – ท่าช้าง
• ถึงสถานีนี้เราสองคนก้าวขายาวๆ เฉิดฉายประหนึ่งว่าทุกๆที่คือรันเวย์ ป่าวหรอกฝนตกเลยรีบ ลงรถเมล์ปุบก็จะงงๆหน่อยว่าที่นี่สนามหลวงหรือ China town ทัวร์จีนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกก ทุกคนต้องเดินอย่างระมัดระวังนะคะ ไม่อย่างนั่นจะโดนร่ม Made in china เฉี่ยวหัวแบบเรา จุดแรกที่เราต้องไปเลยคือ ท่าเรือท่าช้างค่ะ เพื่อที่จะขึ้นเรือไปท่าวังหลัง การเดินทางคือต้องข้ามถนนไปยังฝั่งมหาวิทยาลัยศิลปากรค่ะ ระหว่างทางเพื่อนๆจะได้รับกลิ่นอายของความคลาสสิคเก่าแก่ของสถาปัตยกรรม เดินมาไม่นานค่ะใช้เวลาประมาน 10-15 นาทีก็ถึงท่าช้าง
ปล. หากเพื่อนๆไม่ทราบทางจริงๆ ถามคนแถวนั้นได้เลยจ้า ใจดีมั๊กๆ
• ค่าโดยสาร 0 บาทเลยจ้า เดินเพื่อสุขภาพกายและตังค์ในกระเป๋า
สถานีที่ 3 : ท่าช้าง – วังหลัง
• และในที่สุดที่ยังไปไม่สุด เราก็มาถึงท่าช้างสักที มาถึงที่ท่าช้างเพื่อนๆที่มากันแรกๆต้องอ่านดีๆนะคะ ปากทางจะมีทั้งเรือเหมา และเรือบลาๆๆๆ แต่เรือข้ามฝากที่เราเลือกนั่งจะอยู่สุดซอยติดโป๊ะเรือเลยก็ว่าได้ พอถึงปุ๊บเราก็เดินทางไปชำระเงินค่าโดยสารแล้วไปรอขึ้นเรือได้เลยจ้าาาาา
ปล. หากเรือยังไม่มาให้รอบนท่าก่อนน้า อย่าไปยืนรอที่โป๊ะเรือล่ะ อันตรายเด้ออออ ปห. เป็นห่วง
• ค่าโดยสารเรือข้ามฝาก ท่าช้าง - วังหลัง คนละ 3.50 บาท ถูกจริงไรจริงค่ะคุ๊ณณณณณ
สถานีที่ 4 : วังหลัง – วัดระฆัง
• สุดของความสุดจริงๆสักที ในที่สุดเราก็ถึงจุดหมายปลายทาง ลงเรือท่าวังหลังแล้วทุกคนก็พร้อม Go on ไปยังจุดต่างๆที่เตรียมมาในหัวสมอง ที่ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องกินๆๆๆๆๆ และกิน แต่สถานีแรกเราดิ่งมาวัดระฆังก่อนใครเพื่อนเนื่องจากเราจะเก็บวังหลังไว้กินให้สาแก่ใจ ตรงดิ่งจากท่าเรือลัดเลาะเข้าซอยตลาดวังหลังตลอดเส้นทางจะเป็นถนนแคบๆ ที่มีแต่อาหารๆๆเพราะฉะนั้นสายกินอย่างเราข่มใจไว้สู เดินจนทะลุมาถึงวัดระฆังบรรยากาศในวัดเงียบและสงบเนื่องจากเป็นวันเสาร์ที่ฝนตกโปรยปรายจึงไม่ค่อยวุ่นวายนัก มาวัดทั้งทีไหว้พระขอพรสักหน่อยเพื่อสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว
หลังจากไหว้พระเสร็จใครคอเสี่ยงโชคเสี่ยงดวงมาค่ะ ต้องมาเขย่าเซียมซี ซึ่งเราก็จัดคนละแกร๊กสองแกร๊กเซียมซีก็ล่วงลงมา เลข 17 ไปจ้าาาา ให้เซียมซีทำนายกันนน เนื่องจากนางกึ่งดีกึ่งร้ายใบเซียมซีที่ตั้งใจไว้ว่าจะเอามาเลยขอ Say no ! ไว้ดีกว่า แต่ขอบอกว่าเซียมซีที่นี่แม่นอยู่เด้ออออ
หลังจากไหว้พระ เสี่ยงเซียมซีพอหอมปากหอมคอเราก็มาต่อกันจ้าาา ให้ขนมปังปลา ใจอ่ะอยากให้ปลา แต่นกพิราบมันมาจากไหนไม่รู้ เลยต้องจำใจให้นางด้วย แบ่งๆกันนะเจ้านกเจ้าปลา
ค่าใช้จ่าย : ค่าดอกไม้คนละ 20 บาท
ขนมปัง 20 บาท หาร 2 ตกคนละ 10 บาท
สถานีที่ 5 : วังหลัง
มาจ้าาาาา ถึงเวลาที่รอคอย ระหว่างเดินทางจากวังหลังแน่นอนว่าขามาสายตาเราแสกนของกินไว้เรียบร้อยแล้ว ร้านแรกที่คิดไว้ว่าจะเข้าไปคือร้าน คุณแดง ก๋วยจั๊บญวนแต่เนื่องจากคนเยอะเลยขอป้ายหน้าดีกว่าจ้าา
เดินมาตามทางจะมีทั้งของฝากและของกิน แต่สายตาของเราสองคนแน่นอนว่าโฟกัสของกินได้ชัดเจนกว่าเหนือสิ่งอื่นใด ร้านแรกที่แวะเลยคือร้าน อัญชลีแหนมเนือง สั่งมาค่ะ ชุดกลางราคา 85 บาท เป็น 85 บาทที่เยอะมากเว่อออออออออ รสชาติก็อร่อยดีคะ ขนาดห่อกลับบ้านรสชาติยังคงดีเยี่ยม
ร้านต่อมาจากของคาวเรามาต่อของหวานกันค่ะ ร้านที่ 2 ที่แวะมาละลายทรัพย์คือร้านสายไหม ที่ขายทั้ง บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง ซาหริ่ม ทับทิมกรอบ แต่วันที่เราไปทับทิมกรอบหมด เราก็จัดซาหริ่มมาชุดนึงหิ้วกลับบ้านตามเคย อยากจะบอกว่าสายหวานต้องลอง คอซาหริ่มต้องไปชิมนางจ้า เส้นซาหริ่มมีความเหนียวหนึบหนับกำลังพอดี ความหวานของน้ำเชื่อมและตัวกะทิหอมอบควันเทียนเป็นอะไรที่ลงตัวม๊ากกกกกกกก แกเอ้ยเต็ม 10 ให้ 100 ไปเลยยยย
หลังจากได้เจ้าซาหริ่มที่รักมาไว้ในครอบครอง ก็สดใสละไปต่อจ้าาาา มาถึงที่วังหลังทั้งทีจะไม่แวะกิน ซูชิ by อรทัย หรือร้าน อรทัยซูชิวังหลังนั่นเอง ไม่แวะไม่ได้เด้อ เดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องเด้อ เห็นร่ำลือกันมานานแสนนาน
เอาว่ะ พอประตูอัตโนมัติเปิดผ่าง สองเท้าก็ก้าวเข้าไปในร้านอย่างไม่ลังเล ร้านซูชิที่ติดแอร์สามารถนั่งกินได้ชิลล์ๆ ใครอยากห่อกลับบ้านหน้าร้านมีให้เลือกเลยจ้า ส่วนเราสองคนนั้นเลือกที่จะนั่งกินที่ร้านเพราะว่าไม่ได้กินไรกันมาตั้งแต่เช้าแล้ววววว ที่ร้านจะมี 2 ชั้นนะคะ เราสองคนนั่งชั้นแรกเพราะความหิวโต๊ะไหนว่างก็นั่งเลยค่ะไม่รีรอ จับเมนูเปิดมาปุ๊บอ้าว นึกว่ามีแค่ซูชิ เซตข้าว และ เครื่องดื่ม ต่างๆก็มีเยอะแยะในราคาที่จับต้องได้ ด้วยความหิวโหยจัดมาจ้า ข้าวเซตปลาซาบะย่าง 1 ชุด ข้าวแกงกระหรี่อีก 1 ชุด ส่วนซูชิเราเลือกสั่งเองเป็นชิ้นแทนชุดคะ ซูขิหน้าแซลม่อน 2 ชิ้น หน้าไข่ปลาแซลม่อน 2 ชิ้น ยำสาหร่าย 2 ชิ้น ปูอัดห่อสาหร่าย 4 ชิ้น ในส่วนของเครื่องดื่มมาค่ะดีดนิ้ว แป๊ปซี่ 1 เหยือก ในการสั่งอาหารจะใช้การติ๊กเมนูในใบสั่งอาหาร แล้วค่อยให้พนักงานจัดอาหารตามใบสั่ง รอประมาณ 10 นาทีของก็มาครบ ถึงเวลารีวิวอาหารกันแล้วค่ะทุกๆค๊นนนนนนน
เริ่มจากข้าวปลาซาบะย่างที่มาพร้อมกับยำสาหร่าย คือดีงามมากนะ ปลานางมีความช่ำ มีความมันๆหอมๆ บวกกับยำสาหร่าย แต่ส่วนตัวเราว่ายำสาหร่ายปกตินะ ไม่หวือหวาหรือรู้สึกอู้หู้วววววอะไรขนาดเน้ แต่ด้วยความหิวโหยของตัวดิฉันเอง ทำให้ข้าวเซตนี้อร่อยดีค่ะ ชอบสุดก็ตรงปลาที่นางมาชิ้นโตๆให้คะแนน 10/10
มาต่อที่ซูชิกันค่ะ เราจะรีวิวโดยภาพรวมนะ ความแตกต่างของซูชิที่นี่กับที่อื่นเราว่าก็ไม่เห็นความแตกต่างอะไรมากมายนะ แซลม่อนนางไม่สดเลยเนื้อยุ่ยๆนิดหน่อยแต่สมกับราคาดี ถือว่าพอหักล้างได้ ยำสาหร่ายก็เช่นกันนางไม่แตกต่างจากยำสาหร่ายที่อื่นเลย แม้แต่ 0.00 ก็ไม่มีความแตกต่าง ส่วนไข่ปลาที่วางแปะหน้าประมาณ 3 จุดนั้นดิฉันไม่ได้รับรู้รสชาติของนางสักนิดเดียวเนื่องจากพอเข้าปากนางก็โดนข้าวกลบไปมิดคะแนนของซูชิให้ 5/10 คะแนน ส่วนแป๊บซี่นางยังคงทำหน้าที่แป๊บซี่ได้ดีเหมือนเดิม คงความซาบซ่า รักษามาตรฐาน ให้คะแนน 10/10 คะแนน 555555555
ค่าใช้จ่าย : ค่าแหนมเนือง 85 บาท
ค่าซาหริ่ม 25 บาท
ค่าข้าว 278 บาท
ค่าซูชิแซลม่อน 2 ชิ้น 14 บาท
ค่าซูชิปูอัดห่อสาหร่าย 10 บาท
ค่าซูชิไข่แซลม่อน 14 บาท
ค่าน้ำ 1เหยือก 49 บาท
ทั้งหมดหาร 2 ตกคนละ 237.50 บาท
จบทริปกินทั้งหมดก็เดินเท้าไปตามทางที่มาจ้าาาาาา
สถานีที่ 6 : วังหลัง – ท่าช้าง
มาจ้ะมาาาา กินเสร็จสับได้เวลากลับบ้านพอดีไปที่ท่าเรือกันค่ะทุกคนที่ท่านี้ทุกคนสามารถนั่งเรือกลับไปได้โดยที่ไปจ่ายตังในจุดที่เราจ่ายตอนขามาได้เลยค่ะ แต่เพื่อนๆต้องดูเรือดีๆน้าาาา เพราะถึงแม้เพื่อนๆจะรอเรือกลับท่าช้างก็จริงแต่เรือที่มาอาจจะเป็นเรือไปท่าพระจันทร์ หรือท่ามหาราชก็ได้ จุดสังเกตุคือบนเรือจะมีป้ายติดไว้ว่าจากท่าไหนไปท่าไหน กันไว้จะได้ไม่นั่งเรือเสียเที่ยวนาจาาาา
ค่าโดยสาร : คนละ 3.5 บาทเหมือนเดิมเพิ่มเติมคืออิ่มมาก
สถานีที่ 7 สนามหลวง - จตุจักร
หลังจากจ้ำอ้าวเดินเท้าจากท่าช้างมารอรถเมล์ที่ป้ายรถประจำทาง ผ่านคันแล้วคันเล่า 59 ของเราก็ยังไม่มาสักที เราเลยต้องตัดสินใจขึ้นรถเมล์ครีมแดงสายสายอะไรเราก็จำมิได้แล้วววววว 555555 กระเป๋ารถเมล์บอกไปสุดแค่จตุจักรเราเลยไปลงจตุจักรแทน อยากบอกว่ารถเมล์สายนี้นางเกิดมาเพื่อชั่วโมงเร่งรีบ ชั่วโมงทำเวลาโดยแท้จริง จะ Fast ไรเบอร์นั้น ตีคู่มากับสาย 8 แต่นางแซงแบบไม่เห็นฝุ่น ไม่แคร์เวิลด์ใดๆทั้งสิ้น ใครยืนนี่มือนึงจับราว อีกมือกำพระกันเลยทีเดียวเชียว
ค่ารถโดยสาร : ประมาณคนละ 6 บาท
สถานีที่ 8 จตุจักร - รังสิต
ผ่านความ Fast ของสายรถเมล์สายที่แล้ว ก็มาต่อความชิลล์ด้วยรถเมล์ปรับอากาศสาย ปอ.29 ที่ส่งตรงถึงรังสิตกันเลยทีเดียว อยากจะบอกว่าปรับโหมดปรับอารมณ์กันไม่ทันเลยทีเดียว ปอ.29 นางมีความนิ่มนวล และเนิบนาบเนื่องจากเย็นวันเสาร์ และด้วยความขึ้นจากจตุจักรคนเยอะเว่อมากจนต้องพึ่งลำแข้งตัวเองอีกแล้วจ้า ยืนยาวมาจนถึงดอนเมืองกว่าจะได้นั่ง พอนั่งได้แปบๆก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพแล้วจ้ารังสิตที่รัก จบทริปตะลอนกินท่าวังหลังไปแบบชุ่มช่ำกระเพาะอาหาร กับต้นทุนที่ไม่ถึง 500 บาท อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งบุญ กันเลยทีเดียววว
ค่าโดยสาร : คนละ 21 บาท
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่ารถเมล์ 59 : คนละ 23 บาท
ค่าเรือข้ามฝาก : ไป - กลับคนละ 7 บาท
ค่าดอกไม้ : คนละ 20 บาท
ค่าขนมปังปลา : คนละ 10 บาท
ค่าอาหาร : คนละ 237.50 บาท
ค่ารถเมล์ขากลับ : คนละ 6.50 บาท
ค่ารถสาย 29 : คนละ 21 บาท
รวม คนละ 325 บาท ตัวเบายาวๆไปเลยจ้าาาาาาา ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจก็อย่าลืมแวะไปกันน้า ส่วนเนื้อหาในการรีวิวหากผิดพลาดยังไง เพื่อนๆก็ให้อภัยกันด้วยนะจ๊ะ บรั๊ยบายยยยยย
One day trip ( เที่ยววัดระฆัง – วังหลังกำตังค์ไป 300 )
หลายๆคนคงอยากไปเที่ยว ไปช้อป เข้าวัดเดินช้อปชิมชิลล์แต่อาจจะติดเรื่องเวลาและตังค์ในกระเป๋า วันนี้เลยจะมาเขียนรีวิว สถานที่ช้อปชิมชิลล์ ในเมืองกรุงมาฝากเพื่อนๆชาวพันทิปกันจ้าา
• พูดถึงวังหลังแน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะนางคือสถานที่ติดอันดับโพลตลาดของกินในเมืองกรุงเลยก็ว่าได้ จะไปกับเพื่อนเป็นแก๊ง หรือจูงมือแฟนไปตะลอนสองต่อสองก็รับรองว่าเวิร์คจ้าาา
เกริ่นมาเยอะเรามาเริ่มเดินทางกันเลย ตามมาจ้าตามมาาาาา
• เราเลือกขึ้นรถเมล์ สาย 59 รังสิตสนามหลวง ที่ท่ารถเขียนว่ารถออกทุกๆ 15 นาทีเพราะฉะนั้นทุกท่านจะไม่เสียเวลารอรถนานแน่นอน( แต่รถจะติดนาจาาา ตัวเลือกสำหรับคนขี้เกียจรอรถไฟแบบเราสองคนเรื่อยๆไม่รีบร้อน ) จากรังสิตยิงตรงสู่สนามหลวงแบบไม่เปลี่ยนสถานีใดๆทั้งสิ้น นั่งชิลล์ๆ มองวิวรายทาง
• ค่าโดยสายตกคนละ 23 บาทถ้วน
• ถึงสถานีนี้เราสองคนก้าวขายาวๆ เฉิดฉายประหนึ่งว่าทุกๆที่คือรันเวย์ ป่าวหรอกฝนตกเลยรีบ ลงรถเมล์ปุบก็จะงงๆหน่อยว่าที่นี่สนามหลวงหรือ China town ทัวร์จีนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกก ทุกคนต้องเดินอย่างระมัดระวังนะคะ ไม่อย่างนั่นจะโดนร่ม Made in china เฉี่ยวหัวแบบเรา จุดแรกที่เราต้องไปเลยคือ ท่าเรือท่าช้างค่ะ เพื่อที่จะขึ้นเรือไปท่าวังหลัง การเดินทางคือต้องข้ามถนนไปยังฝั่งมหาวิทยาลัยศิลปากรค่ะ ระหว่างทางเพื่อนๆจะได้รับกลิ่นอายของความคลาสสิคเก่าแก่ของสถาปัตยกรรม เดินมาไม่นานค่ะใช้เวลาประมาน 10-15 นาทีก็ถึงท่าช้าง
ปล. หากเพื่อนๆไม่ทราบทางจริงๆ ถามคนแถวนั้นได้เลยจ้า ใจดีมั๊กๆ
• ค่าโดยสาร 0 บาทเลยจ้า เดินเพื่อสุขภาพกายและตังค์ในกระเป๋า
• และในที่สุดที่ยังไปไม่สุด เราก็มาถึงท่าช้างสักที มาถึงที่ท่าช้างเพื่อนๆที่มากันแรกๆต้องอ่านดีๆนะคะ ปากทางจะมีทั้งเรือเหมา และเรือบลาๆๆๆ แต่เรือข้ามฝากที่เราเลือกนั่งจะอยู่สุดซอยติดโป๊ะเรือเลยก็ว่าได้ พอถึงปุ๊บเราก็เดินทางไปชำระเงินค่าโดยสารแล้วไปรอขึ้นเรือได้เลยจ้าาาาา
ปล. หากเรือยังไม่มาให้รอบนท่าก่อนน้า อย่าไปยืนรอที่โป๊ะเรือล่ะ อันตรายเด้ออออ ปห. เป็นห่วง
• ค่าโดยสารเรือข้ามฝาก ท่าช้าง - วังหลัง คนละ 3.50 บาท ถูกจริงไรจริงค่ะคุ๊ณณณณณ
• สุดของความสุดจริงๆสักที ในที่สุดเราก็ถึงจุดหมายปลายทาง ลงเรือท่าวังหลังแล้วทุกคนก็พร้อม Go on ไปยังจุดต่างๆที่เตรียมมาในหัวสมอง ที่ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องกินๆๆๆๆๆ และกิน แต่สถานีแรกเราดิ่งมาวัดระฆังก่อนใครเพื่อนเนื่องจากเราจะเก็บวังหลังไว้กินให้สาแก่ใจ ตรงดิ่งจากท่าเรือลัดเลาะเข้าซอยตลาดวังหลังตลอดเส้นทางจะเป็นถนนแคบๆ ที่มีแต่อาหารๆๆเพราะฉะนั้นสายกินอย่างเราข่มใจไว้สู เดินจนทะลุมาถึงวัดระฆังบรรยากาศในวัดเงียบและสงบเนื่องจากเป็นวันเสาร์ที่ฝนตกโปรยปรายจึงไม่ค่อยวุ่นวายนัก มาวัดทั้งทีไหว้พระขอพรสักหน่อยเพื่อสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว
หลังจากไหว้พระเสร็จใครคอเสี่ยงโชคเสี่ยงดวงมาค่ะ ต้องมาเขย่าเซียมซี ซึ่งเราก็จัดคนละแกร๊กสองแกร๊กเซียมซีก็ล่วงลงมา เลข 17 ไปจ้าาาา ให้เซียมซีทำนายกันนน เนื่องจากนางกึ่งดีกึ่งร้ายใบเซียมซีที่ตั้งใจไว้ว่าจะเอามาเลยขอ Say no ! ไว้ดีกว่า แต่ขอบอกว่าเซียมซีที่นี่แม่นอยู่เด้ออออ
หลังจากไหว้พระ เสี่ยงเซียมซีพอหอมปากหอมคอเราก็มาต่อกันจ้าาา ให้ขนมปังปลา ใจอ่ะอยากให้ปลา แต่นกพิราบมันมาจากไหนไม่รู้ เลยต้องจำใจให้นางด้วย แบ่งๆกันนะเจ้านกเจ้าปลา
ค่าใช้จ่าย : ค่าดอกไม้คนละ 20 บาท
ขนมปัง 20 บาท หาร 2 ตกคนละ 10 บาท
มาจ้าาาาา ถึงเวลาที่รอคอย ระหว่างเดินทางจากวังหลังแน่นอนว่าขามาสายตาเราแสกนของกินไว้เรียบร้อยแล้ว ร้านแรกที่คิดไว้ว่าจะเข้าไปคือร้าน คุณแดง ก๋วยจั๊บญวนแต่เนื่องจากคนเยอะเลยขอป้ายหน้าดีกว่าจ้าา
เดินมาตามทางจะมีทั้งของฝากและของกิน แต่สายตาของเราสองคนแน่นอนว่าโฟกัสของกินได้ชัดเจนกว่าเหนือสิ่งอื่นใด ร้านแรกที่แวะเลยคือร้าน อัญชลีแหนมเนือง สั่งมาค่ะ ชุดกลางราคา 85 บาท เป็น 85 บาทที่เยอะมากเว่อออออออออ รสชาติก็อร่อยดีคะ ขนาดห่อกลับบ้านรสชาติยังคงดีเยี่ยม
ร้านต่อมาจากของคาวเรามาต่อของหวานกันค่ะ ร้านที่ 2 ที่แวะมาละลายทรัพย์คือร้านสายไหม ที่ขายทั้ง บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง ซาหริ่ม ทับทิมกรอบ แต่วันที่เราไปทับทิมกรอบหมด เราก็จัดซาหริ่มมาชุดนึงหิ้วกลับบ้านตามเคย อยากจะบอกว่าสายหวานต้องลอง คอซาหริ่มต้องไปชิมนางจ้า เส้นซาหริ่มมีความเหนียวหนึบหนับกำลังพอดี ความหวานของน้ำเชื่อมและตัวกะทิหอมอบควันเทียนเป็นอะไรที่ลงตัวม๊ากกกกกกกก แกเอ้ยเต็ม 10 ให้ 100 ไปเลยยยย
หลังจากได้เจ้าซาหริ่มที่รักมาไว้ในครอบครอง ก็สดใสละไปต่อจ้าาาา มาถึงที่วังหลังทั้งทีจะไม่แวะกิน ซูชิ by อรทัย หรือร้าน อรทัยซูชิวังหลังนั่นเอง ไม่แวะไม่ได้เด้อ เดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องเด้อ เห็นร่ำลือกันมานานแสนนาน
เอาว่ะ พอประตูอัตโนมัติเปิดผ่าง สองเท้าก็ก้าวเข้าไปในร้านอย่างไม่ลังเล ร้านซูชิที่ติดแอร์สามารถนั่งกินได้ชิลล์ๆ ใครอยากห่อกลับบ้านหน้าร้านมีให้เลือกเลยจ้า ส่วนเราสองคนนั้นเลือกที่จะนั่งกินที่ร้านเพราะว่าไม่ได้กินไรกันมาตั้งแต่เช้าแล้ววววว ที่ร้านจะมี 2 ชั้นนะคะ เราสองคนนั่งชั้นแรกเพราะความหิวโต๊ะไหนว่างก็นั่งเลยค่ะไม่รีรอ จับเมนูเปิดมาปุ๊บอ้าว นึกว่ามีแค่ซูชิ เซตข้าว และ เครื่องดื่ม ต่างๆก็มีเยอะแยะในราคาที่จับต้องได้ ด้วยความหิวโหยจัดมาจ้า ข้าวเซตปลาซาบะย่าง 1 ชุด ข้าวแกงกระหรี่อีก 1 ชุด ส่วนซูชิเราเลือกสั่งเองเป็นชิ้นแทนชุดคะ ซูขิหน้าแซลม่อน 2 ชิ้น หน้าไข่ปลาแซลม่อน 2 ชิ้น ยำสาหร่าย 2 ชิ้น ปูอัดห่อสาหร่าย 4 ชิ้น ในส่วนของเครื่องดื่มมาค่ะดีดนิ้ว แป๊ปซี่ 1 เหยือก ในการสั่งอาหารจะใช้การติ๊กเมนูในใบสั่งอาหาร แล้วค่อยให้พนักงานจัดอาหารตามใบสั่ง รอประมาณ 10 นาทีของก็มาครบ ถึงเวลารีวิวอาหารกันแล้วค่ะทุกๆค๊นนนนนนน
เริ่มจากข้าวปลาซาบะย่างที่มาพร้อมกับยำสาหร่าย คือดีงามมากนะ ปลานางมีความช่ำ มีความมันๆหอมๆ บวกกับยำสาหร่าย แต่ส่วนตัวเราว่ายำสาหร่ายปกตินะ ไม่หวือหวาหรือรู้สึกอู้หู้วววววอะไรขนาดเน้ แต่ด้วยความหิวโหยของตัวดิฉันเอง ทำให้ข้าวเซตนี้อร่อยดีค่ะ ชอบสุดก็ตรงปลาที่นางมาชิ้นโตๆให้คะแนน 10/10
มาต่อที่ซูชิกันค่ะ เราจะรีวิวโดยภาพรวมนะ ความแตกต่างของซูชิที่นี่กับที่อื่นเราว่าก็ไม่เห็นความแตกต่างอะไรมากมายนะ แซลม่อนนางไม่สดเลยเนื้อยุ่ยๆนิดหน่อยแต่สมกับราคาดี ถือว่าพอหักล้างได้ ยำสาหร่ายก็เช่นกันนางไม่แตกต่างจากยำสาหร่ายที่อื่นเลย แม้แต่ 0.00 ก็ไม่มีความแตกต่าง ส่วนไข่ปลาที่วางแปะหน้าประมาณ 3 จุดนั้นดิฉันไม่ได้รับรู้รสชาติของนางสักนิดเดียวเนื่องจากพอเข้าปากนางก็โดนข้าวกลบไปมิดคะแนนของซูชิให้ 5/10 คะแนน ส่วนแป๊บซี่นางยังคงทำหน้าที่แป๊บซี่ได้ดีเหมือนเดิม คงความซาบซ่า รักษามาตรฐาน ให้คะแนน 10/10 คะแนน 555555555
ค่าใช้จ่าย : ค่าแหนมเนือง 85 บาท
ค่าซาหริ่ม 25 บาท
ค่าข้าว 278 บาท
ค่าซูชิแซลม่อน 2 ชิ้น 14 บาท
ค่าซูชิปูอัดห่อสาหร่าย 10 บาท
ค่าซูชิไข่แซลม่อน 14 บาท
ค่าน้ำ 1เหยือก 49 บาท
ทั้งหมดหาร 2 ตกคนละ 237.50 บาท
จบทริปกินทั้งหมดก็เดินเท้าไปตามทางที่มาจ้าาาาาา
มาจ้ะมาาาา กินเสร็จสับได้เวลากลับบ้านพอดีไปที่ท่าเรือกันค่ะทุกคนที่ท่านี้ทุกคนสามารถนั่งเรือกลับไปได้โดยที่ไปจ่ายตังในจุดที่เราจ่ายตอนขามาได้เลยค่ะ แต่เพื่อนๆต้องดูเรือดีๆน้าาาา เพราะถึงแม้เพื่อนๆจะรอเรือกลับท่าช้างก็จริงแต่เรือที่มาอาจจะเป็นเรือไปท่าพระจันทร์ หรือท่ามหาราชก็ได้ จุดสังเกตุคือบนเรือจะมีป้ายติดไว้ว่าจากท่าไหนไปท่าไหน กันไว้จะได้ไม่นั่งเรือเสียเที่ยวนาจาาาา
ค่าโดยสาร : คนละ 3.5 บาทเหมือนเดิมเพิ่มเติมคืออิ่มมาก
หลังจากจ้ำอ้าวเดินเท้าจากท่าช้างมารอรถเมล์ที่ป้ายรถประจำทาง ผ่านคันแล้วคันเล่า 59 ของเราก็ยังไม่มาสักที เราเลยต้องตัดสินใจขึ้นรถเมล์ครีมแดงสายสายอะไรเราก็จำมิได้แล้วววววว 555555 กระเป๋ารถเมล์บอกไปสุดแค่จตุจักรเราเลยไปลงจตุจักรแทน อยากบอกว่ารถเมล์สายนี้นางเกิดมาเพื่อชั่วโมงเร่งรีบ ชั่วโมงทำเวลาโดยแท้จริง จะ Fast ไรเบอร์นั้น ตีคู่มากับสาย 8 แต่นางแซงแบบไม่เห็นฝุ่น ไม่แคร์เวิลด์ใดๆทั้งสิ้น ใครยืนนี่มือนึงจับราว อีกมือกำพระกันเลยทีเดียวเชียว
ค่ารถโดยสาร : ประมาณคนละ 6 บาท
ผ่านความ Fast ของสายรถเมล์สายที่แล้ว ก็มาต่อความชิลล์ด้วยรถเมล์ปรับอากาศสาย ปอ.29 ที่ส่งตรงถึงรังสิตกันเลยทีเดียว อยากจะบอกว่าปรับโหมดปรับอารมณ์กันไม่ทันเลยทีเดียว ปอ.29 นางมีความนิ่มนวล และเนิบนาบเนื่องจากเย็นวันเสาร์ และด้วยความขึ้นจากจตุจักรคนเยอะเว่อมากจนต้องพึ่งลำแข้งตัวเองอีกแล้วจ้า ยืนยาวมาจนถึงดอนเมืองกว่าจะได้นั่ง พอนั่งได้แปบๆก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพแล้วจ้ารังสิตที่รัก จบทริปตะลอนกินท่าวังหลังไปแบบชุ่มช่ำกระเพาะอาหาร กับต้นทุนที่ไม่ถึง 500 บาท อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งบุญ กันเลยทีเดียววว
ค่าโดยสาร : คนละ 21 บาท
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่ารถเมล์ 59 : คนละ 23 บาท
ค่าเรือข้ามฝาก : ไป - กลับคนละ 7 บาท
ค่าดอกไม้ : คนละ 20 บาท
ค่าขนมปังปลา : คนละ 10 บาท
ค่าอาหาร : คนละ 237.50 บาท
ค่ารถเมล์ขากลับ : คนละ 6.50 บาท
ค่ารถสาย 29 : คนละ 21 บาท
รวม คนละ 325 บาท ตัวเบายาวๆไปเลยจ้าาาาาาา ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจก็อย่าลืมแวะไปกันน้า ส่วนเนื้อหาในการรีวิวหากผิดพลาดยังไง เพื่อนๆก็ให้อภัยกันด้วยนะจ๊ะ บรั๊ยบายยยยยย