อะไรอยู่ในภวังจิต

กระทู้สนทนา
ภวังค์ แปลตามศัพท์ว่า องค์แห่งภพ แปลโดยอรรถว่า องค์ประกอบแห่งภพ องค์ประกอบแห่งภพ คือ อะไร?

พูดง่าย ๆ วิบากนั่นแหละอยู่ในภวังคจิตเรา. ภวังคจิตจะเป็นที่เก็บอนุสัย/ธาตุ/ภพ/อุปาทาน 4. ไว้ พูดภาษาบ้าน ๆ คือ ประสบการณ์ความรู้และอารมณ์ความรู้สึกตั้งแต่เกิดมาที่เราบันทึกในสมอง/ภวังคจิตนั่นแหละ

แต่เดิมแรกเริ่มเดิมทีนั้น อวิชชาไม่ได้มี อวิชชาในที่นี้หมายถึงอาสวะที่ห่อหุ้มจิตไว้ จิตใจมนุษย์ว่างเปล่า บริสุทธิ์ แต่ว่าโง่ไร้เดียงสา พอมีอะไรมาหลอกล่อหน่อยก็หลง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทารกแรกเกิดนั้น มีอนุสัยกิเลสฝังอยู่ในจิตใจทารกนั้น ถึงแม้จะไม่รู้ตาที่กระทบรูปก็ตาม แสดงว่า อนุสัยนั้นติดตัวมาจากชาติที่แล้ว

เมื่อทารกเจริญวัย ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ผ่านอาตยนะทางตา หู จมูก ลิ้น กายทวาร เกิดความชอบ ความชังขึ้น เช่น เมื่อได้กินของอร่อย ๆ ชอบใจ ทารกก็เกิดความติดใจ เมื่อเจอสิ่งใดที่ไม่ชอบ เช่น ถูกดุด่า เฆี่ยนตี ทารกก็ฝังใจ ไม่ชอบ กลายเป็นกามุปาทานฝังไว้ในภวังคจิต

ขนบประเพณี ธรรมเนียม มารยาทที่ฝังหัวเรามาตั้งแต่เล็กจนโต ก็ฝังลงไปในภวังจิตนี้ เป็นศีลลัพพัตตุปาทาน พอใครไม่มีมารยาทกับเราเราก็จะโกรธ อย่างคนไทยเชื่อว่าหัวเป็นของสูง ใครมาเล่นหัวก็จะโกรธ แต่คนฝรั่งเขาไม่ได้สั่งสมเรื่องนี้มา ใครเล่นหัวถือเป็นเรื่องธรรมดา

เรื่องทิฏฐุปาทาน และอัตตาปาทานก็เช่นกัน
เราเรียนรู้มัน และฝังไว้ในภวังคจิต ภาษาสมัยใหม่จะเรียกจิตใต้สำนึก หรือ pre consciousness

เมื่อเกิดผัสสะ จิตเราก็ปรุง โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ในอดีตนั่นแหละ มาปรุงเพื่อให้รู้ จะเข้าไปยึดสุขยังไง จะทำให้มันเที่ยงแท้แน่นอนยังไง

คนเราเมื่อทำกรรมย่อมหนีไม่พ้นวัฏฏะนี้

กิเลส--> กรรม--> วิบาก เมื่อทำกรรมแล้ว วิบากย่อมลงไปในภวังคจิตจิต เหมือนบูมเมอแรง ขว้างออกไปแล้วกลับเข้ามาหาเรา

สิ่งที่กลับเข้ามาหาเราคือ อารมณ์ความรู้สึก/ความรู้หริประสบการณ์

ปรุงออกมาจากภวังคจิต แล้วก็กลับเข้าไปภวังจิตเราเหมือนเดิม

กิเลสอย่างหยาบจะค้างอยู่ที่ภวังค์ที่ 1 ภวังค์นี้จะเหมือนตระแกรงร่อนกิเลส กิเลสนี้มีกิเลสอย่างหยาบ กลาง ละเอียด กิเลสอย่างหนาจะค้างที่ภวังคจิตแรก มะนจะไม่สามารถผ่านไปได้ กิเลสอย่างกลางก็คือ หลังจากที่เราเข้าฌาน 1. ได้แล้ว หรือเราเรียกว่าสังโยชน์ และกิเลสอย่างละเอียด/อนุสัย จะผ่านลงไปในภวังคจิตสุดท้าย หรือ ช่วงจิตที่เป็นอรูปภพ

เกิดวิบากฝังลงไปในจิต ส่วนที่ละเอียดที่สุดเราจะเรียกว่า ธาตุ เป็นอารมณ์ คนที่คายภพเท่านั่นจึงสามารถเห็นได้ สิ่งนี้คือกิเลสอย่างละเอียดหรืออนุสัยนั่นเองตะเรียกว่าอุปาทาน 4 ก็ได้ ที่อยู่ของมันจะอยู่ระหว่างอากาสนัญจายตนะ ไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญานยตนะ ค้างที่ภวังคจิตสุดท้าย คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นตะกอน ผ่านไปไม่ได้อีกแล้ว

เมื่อเราทำกรรมก็วนเวียนกันอยู่แบบนี้ กิเลส-->กรรม--> วิบาก อนุสัย อุปาทาน ธาตุก็ทับถมทุกข์และพอกพูนกิเลสตัณหาเพิ่มไปเรื่อย ๆ

เมื่อมีผัสสะก็ออกมาปรุง เปฺ็นเหตุผลว่าทำไมยิ่งแก่เรายิ่งมีความทุกข์ทางใจมากขึ้น ภพนั่นเอง (อดีตภวังค์) เป็นปัจจัยแห่ง โทมนัส โสกะ ปริเทวะ อุปายาส ฯลฯ ตอนเป็นเป็นเด็กเราผิดหวังจากสิ่งใด ร้องไห้ก็หาย แต่พอโตขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเล็กๆน้อย จะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ง่าย ๆ  วันใดที่ความทุกข์สุกงอม เราจะทนไม่ได้ เป็นบ้า ประสาท เครียด ฆ่าตัวตาย ฯลฯ  

วันใดที่เราจะตาย จิตก็จะมายึดเหนี่ยวความรู้สึกนี้ แล้วนำไปเกิด สิ่งที่นำไปเกิดพรพุทธองค์จะเรียกว่า ธาตุ ธาตุนี้มีหลายธาตุ เช่น เนกขัมมะธาตุ ถ้าคนมีธาตุนี้ก็จะเป็นรักสันโดษ มีโลกส่วนตัวสูง กล่าวคือ สิ่งที่ฝังลงไปในภวังคจิตจะไม่หายไปไหน จะเป็นปัจจัยข้ามภพข้ามชาติ เป็นปัจจัยแห่งภพ เป็นปัจจัยแห่งอุปนิสัย และสุดท้ายกลายเป็นตัวเราและกำหนดชะตากรรมของเรา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่