เมื่อสองแม่ลูกใจกล้าพากันลากกระเป๋ามุ่งหน้าโตเกียวดิสนีย์แลนด์กันตามลำพัง มันก็จะขำๆ หน่อย เรื่องราวจะโหด มัน ฮา น้ำตาเล็ดขนาดไหน ลองมาอ่านกันดูนะคะ
จริงๆ มีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศกับลูกสาวหลายครั้งอยู่ โดยปกติจะไปกับคณะทัวร์ซึ่งดูแลจัดการทุกอย่างให้ ตามประสาคุณแม่ขี้เกียจ เอ๊ย คุณแม่ทำงานค่ะ
ทีนี้เราเกิดอยากไปโตเกียวดิสนีย์แลนด์กันอีกสักครั้ง แบบอยากไปที่นี่ที่เดียว ขีดเส้นใต้โตเกียวดิสนีย์แลนด์ โดยไม่ได้อยากไปเที่ยวส่วนอื่นๆ หรือช้อปปิ้งสิ่งใดในญี่ปุ่น ไปวัดวาอาราม พิพิธภัณฑ์ เล่นหิมะอะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น.. ก็เลยลองติดต่อไปที่บริษัท HIS ว่าเขาพอจะมีโปรแกรมอะไรที่ได้เที่ยวดิสนีย์แลนด์สองวันเลยบ้างไหม เจ้าหน้าที่ใจดีส่งโปรแกรมหนึ่งมาให้ดู ซึ่งดิฉันรู้สึกว่ามันคุ้มอยู่ ตอบโจทย์เราก็เลย รวบรวมความกล้าพากันไปสองคนแม่ลูกโดยไม่มีไกด์
แพคเกจนี้รวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับ สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ รถรับส่งที่สนามบิน บัตรเข้าดิสนีย์แลนด์ SIM การ์ดที่สามารถใช้อินเตอร์เนตได้ไม่จำกัดที่โน่น ค่าโรงแรมที่พักสองคืน โดยเราเลือกพักที่โรงแรม Sakura Sky Hotel พร้อมอาหารเช้า โรงแรมตั้งอยู่ใกล้สถานี Kinchicho
ออกตัวก่อนนะคะ ว่าคุณแม่เป็นคนขี้กลัวมาก กลัวหลงทางโดยเฉพาะการไปในประเทศที่เราไม่สามารถสื่อสารภาษาของเขาได้ คราวนี้เลยทำการบ้านหนักหน่อย โชคดีที่ข้อมูลบนเว็บไซต์ของทาง HIS และของทางโตเกียวดิสนีย์แลนด์ มีภาษาไทยและให้ข้อมูลการเดินทางไว้อย่างละเอียด ถึงกระนั้นก็ยังกลัวอยู่ดีจนต้องขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นเป็นข้อมูลเสริมไปด้วย คือ..เราก็ไม่อยากดูโก๊ะหรือทุลักทุเลมากในสายตาลูกสาว เราต้องพานางไปด้วยอย่างคล่องแคล่วและปลอดภัยงิ กราบขอบคุณทุกแหล่งข้อมูลอันมีค่าไว้ ณ ที่นี้ค่ะ
เริ่มต้นที่เที่ยวบิน เป็นการใช้บริการสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ครั้งแรกในชีวิต ตื่นตาตื่นใจพอสมควรเลยค่ะ ทาง HIS ให้เราเลือกที่นั่งได้ ทั้งขาไปและขากลับ นั่งกันสองคน เบาะนั่งสบายกว่าที่คิด มีที่รองต้นคอ หลับโงกเงกเอนซ้ายขวาไม่ค่อยเมื่อย มีหมอน ผ้าห่ม และอาหารเช้า อาหารว่าง เครื่องดื่มเสิรฟเต็มรูปแบบ ที่ประหลาดใจและชื่นชมมากเลยคือ หน้าต่างซึ่งมีระบบปรับแสง (เข้าใจว่าเป็นฟิลม์ติดกระจก) ให้เป็นสีฟ้าเข้ม ฟ้าอ่อน ตามความเหมาะสมเพื่อให้ผู้โดยสารสบายตาที่สุดระหว่างบิน (มันเป็นเที่ยวบินเช้าซึ่งเราต้องบินผ่านส่วนที่แสงจ้ามาก) คือ สายการบินยุโรปใหญ่ๆ ยังต้องเลื่อนม่านหน้าต่างขึ้นลงตามคำสั่งกัปตันอยู่เลย อันนี้คือดิจิตอลถนอมสายตาที่แท้ทรู ใช้พื้นที่คุ้มมาก แล้วยังมีจอส่วนตัวทุกที่นั่งแม้ในชั้นประหยัดด้วย สองแม่ลูกก็เพลิดเพลินเลยค่ะ แม้จะบินยาวถึง 5 ชั่วโมงกว่า
ก่อนถึงสนามบินนาริตะ เจ้าหน้าที่ต้อนรับบนเครื่องแจกแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองให้เรากรอก ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรค่ะ แค่ต้องระบุชื่อโรงแรมที่เราไปพักและหมายเลขโทรศัพท์ แล้วก็แบบฟอร์มสำหรับศุลกากรอีกหนึ่งใบ ซึ่งเราเป็นแม่ลูกกันเขาก็ให้เรากรอกแค่ใบเดียว การผ่านด่านตรงนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หายห่วง
ออกมาปุ๊บ เราก็เห็นคนถือป้ายชื่อเรายืนรอรับเราอยู่ (แบบที่เราเคยเห็นในหนัง ฮา) เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ โดยเขาอธิบายว่าเราต้องรอผู้โดยสารจากประเทศอื่นอีก 2-3 คนเพื่อนั่งรถตู้ไปโรงแรมด้วยกัน รถตู้ใหม่ นั่งสบาย ขับเร็วและดีพุ่งไปส่งถึงหน้าโรงแรมเลยค่ะ.. เช็คอินเรียบร้อย ห้องพักน่ารักอบอุ่นแบบญี่ปุ่น เตียงนอนจัดเรียบร้อยสะอาดสะอ้านน่านอนสุดๆ มีโต๊ะญี่ปุ่น (คงต้องเรียกแบบนี้ละนะคะ) ไว้นั่งทำงานหรือทานอาหารได้ด้วย ห้องอาบน้ำและห้องน้ำจริงๆ แยกกันคนละส่วน (คงป้องกันกลิ่น) ตู้เสื้อผ้า ตู้ติดผนัง ตู้เย็น แบบ built-in ติดผนังหมด ใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วคุ้มจริงๆ น่าทึ่งมาก ห้องที่พักเป็นห้องมุม น่าจะ 32 ตารางเมตรโดยประมาณนะคะ มีเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ กาต้มน้ำร้อน ชา กาแฟ และเครื่องใช้ที่จำเป็นในห้องน้ำครบเลยค่ะ ยกเว้น หมวกคลุมผม แต่เขามีสายคาดผมให้
ข้อมูลที่รู้มาคือ เราสามารถนั่งรถเมล์จากแถวๆ หน้าโรงแรมไปถึงโตเกียวดิสนีย์แลนด์ได้เลย ต่อเดียว ซึ่งถูกใจเรามาก เพราะเมื่อเห็นเส้นทางรถไฟของญี่ปุ่นแล้ว ข้าน้อยอาจไม่รอด เพื่อนชาวญี่ปุ่นบอกว่าถ้าเลือกนั่งรถไฟ เราต้องไปต่อที่สถานีโตเกียว แล้วเปลี่ยนสาย ใช้เวลาอีก 15 นาทีเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ รถไฟอาจจะแน่นมากเพราะเป็นวันทำงานทั้งคนทำงานและนักเรียนนักศึกษาคงใช้บริการแน่นขนัด และเราก็ต้องรอจนกว่าจะเบียดขึ้นไปได้
แต่เนื่องจากเราต้องการใช้เวลาอยู่ดิสนีย์แลนด์ให้นานที่สุด บวกกับความเป็นคนขี้กลัว เพื่อนจึงแนะนำให้นั่งรถเมล์ทั้งขาไปและกลับเพราะจะได้นั่งยาวไป งีบหลับได้ตามอัธยาศัยถ้าเหนื่อย
เราตื่นเช้าตรู่มาสำรวจหาป้ายรถเมล์ตามแผนที่ค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วก็อ่านแผนที่ไม่เก่งเลย ที่สำคัญพยายามถามทางพนักงาน 7-11 พนักงาน Family Mart พนักงานโรงแรม จนได้ความว่ามันคือป้ายไหนแน่ เพราะแถวนั้นมีหลายป้ายเลยค่ะ เราเช็คตารางเวลารถ จนรู้ว่ามีรถออกจากป้ายเวลา 7.00 น และ 7.30 น และห่างไปทุกๆ 30 นาที เป็นรถโดยสารที่บริหารงานโดย Tobu Bus และ Keisei Bus เพื่อนแนะนำให้ไปรอก่อนเพราะถ้ามีผู้โดยสารเต็มรถ เราต้องรอคันใหม่ เขาไม่ให้ยืนโหนรถเมล์แบบบ้านเรา เราก็เลยไปยืนตากฝนรอลุ้น หนาวสั่นกันสองแม่ลูก แต่มันไม่ได้มีแค่เรานะคะ แถวยาวทีเดียว
เราแวะไปซื้อบัตร SUICA ตามคำแนะนำของเพื่อนที่สถานีรถไฟค่ะ เขาบอกว่าบัตรนี้ใช้ขึ้นรถเมล์ รถไฟและใช้จ่ายเงินตามร้านสะดวกซื้อได้ด้วย ซื้อไป 2000 เยน มีค่ามัดจำบัตร 500 เยน ค่ารถเมล์จากสถานีคินชิโชไปดิสนีย์แลนด์คนละ 720 เยนค่ะ นั่งไปกลับได้สบาย
ต่อแถวขึ้นรถเมล์ซึ่งมาตรงเวลามาก เราก็แตะบัตรตรงแถวๆ คนขับแล้วก็ขึ้นไปนั่ง แบบว่าตื่นเต้นกันสองแม่ลูก มันจะจอดป้ายไหนบ้างวะ แล้วเราจะรู้ไหมว่ามันถึงแล้ว เพราะถ้าเขาไม่พูดภาษาอังกฤษกันแบบนี้เราแย่แน่ ปรากฎว่าบนรถมีประกาศเป็นภาษาอังกฤษและมีข้อความภาษาอังกฤษขึ้น รถจอดแค่สองป้ายเท่านั้นค่ะ ป้ายแรกคือ Kasai และป้ายต่อไปก็คือดิสนีย์ซี แล้วตามด้วยดิสนีย์แลนด์ ใช้เวลาเดินทางเบ็ดเสร็จ 45 นาที ถึงหน้าทางเข้าดิสนีย์แลนด์ ดินแดนในฝันของเราเลยค่ะ
กระทู้นี้ขอเท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมาเล่าการผจญภัยสไตล์เรา ณ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ให้ฟังกันค่ะ คุณแม่คุณลูก หรือท่านใดที่คิดจะเดินทางไปกันเองดูบ้าง ลองดูนะคะ บอกเลยว่าง่ายกว่าที่คิด นี่จากใจคนที่ไม่ชอบเดินทางและกลัวหลงทางเลยนะคะ หวังว่าข้อมูลที่เล่าสู่กันฟังจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ
แม่ลูกอินดี้ตะลุยดิสนีย์โตเกียว
จริงๆ มีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศกับลูกสาวหลายครั้งอยู่ โดยปกติจะไปกับคณะทัวร์ซึ่งดูแลจัดการทุกอย่างให้ ตามประสาคุณแม่ขี้เกียจ เอ๊ย คุณแม่ทำงานค่ะ ทีนี้เราเกิดอยากไปโตเกียวดิสนีย์แลนด์กันอีกสักครั้ง แบบอยากไปที่นี่ที่เดียว ขีดเส้นใต้โตเกียวดิสนีย์แลนด์ โดยไม่ได้อยากไปเที่ยวส่วนอื่นๆ หรือช้อปปิ้งสิ่งใดในญี่ปุ่น ไปวัดวาอาราม พิพิธภัณฑ์ เล่นหิมะอะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น.. ก็เลยลองติดต่อไปที่บริษัท HIS ว่าเขาพอจะมีโปรแกรมอะไรที่ได้เที่ยวดิสนีย์แลนด์สองวันเลยบ้างไหม เจ้าหน้าที่ใจดีส่งโปรแกรมหนึ่งมาให้ดู ซึ่งดิฉันรู้สึกว่ามันคุ้มอยู่ ตอบโจทย์เราก็เลย รวบรวมความกล้าพากันไปสองคนแม่ลูกโดยไม่มีไกด์
แพคเกจนี้รวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับ สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ รถรับส่งที่สนามบิน บัตรเข้าดิสนีย์แลนด์ SIM การ์ดที่สามารถใช้อินเตอร์เนตได้ไม่จำกัดที่โน่น ค่าโรงแรมที่พักสองคืน โดยเราเลือกพักที่โรงแรม Sakura Sky Hotel พร้อมอาหารเช้า โรงแรมตั้งอยู่ใกล้สถานี Kinchicho
ออกตัวก่อนนะคะ ว่าคุณแม่เป็นคนขี้กลัวมาก กลัวหลงทางโดยเฉพาะการไปในประเทศที่เราไม่สามารถสื่อสารภาษาของเขาได้ คราวนี้เลยทำการบ้านหนักหน่อย โชคดีที่ข้อมูลบนเว็บไซต์ของทาง HIS และของทางโตเกียวดิสนีย์แลนด์ มีภาษาไทยและให้ข้อมูลการเดินทางไว้อย่างละเอียด ถึงกระนั้นก็ยังกลัวอยู่ดีจนต้องขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นเป็นข้อมูลเสริมไปด้วย คือ..เราก็ไม่อยากดูโก๊ะหรือทุลักทุเลมากในสายตาลูกสาว เราต้องพานางไปด้วยอย่างคล่องแคล่วและปลอดภัยงิ กราบขอบคุณทุกแหล่งข้อมูลอันมีค่าไว้ ณ ที่นี้ค่ะ
เริ่มต้นที่เที่ยวบิน เป็นการใช้บริการสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ครั้งแรกในชีวิต ตื่นตาตื่นใจพอสมควรเลยค่ะ ทาง HIS ให้เราเลือกที่นั่งได้ ทั้งขาไปและขากลับ นั่งกันสองคน เบาะนั่งสบายกว่าที่คิด มีที่รองต้นคอ หลับโงกเงกเอนซ้ายขวาไม่ค่อยเมื่อย มีหมอน ผ้าห่ม และอาหารเช้า อาหารว่าง เครื่องดื่มเสิรฟเต็มรูปแบบ ที่ประหลาดใจและชื่นชมมากเลยคือ หน้าต่างซึ่งมีระบบปรับแสง (เข้าใจว่าเป็นฟิลม์ติดกระจก) ให้เป็นสีฟ้าเข้ม ฟ้าอ่อน ตามความเหมาะสมเพื่อให้ผู้โดยสารสบายตาที่สุดระหว่างบิน (มันเป็นเที่ยวบินเช้าซึ่งเราต้องบินผ่านส่วนที่แสงจ้ามาก) คือ สายการบินยุโรปใหญ่ๆ ยังต้องเลื่อนม่านหน้าต่างขึ้นลงตามคำสั่งกัปตันอยู่เลย อันนี้คือดิจิตอลถนอมสายตาที่แท้ทรู ใช้พื้นที่คุ้มมาก แล้วยังมีจอส่วนตัวทุกที่นั่งแม้ในชั้นประหยัดด้วย สองแม่ลูกก็เพลิดเพลินเลยค่ะ แม้จะบินยาวถึง 5 ชั่วโมงกว่า
ก่อนถึงสนามบินนาริตะ เจ้าหน้าที่ต้อนรับบนเครื่องแจกแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองให้เรากรอก ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรค่ะ แค่ต้องระบุชื่อโรงแรมที่เราไปพักและหมายเลขโทรศัพท์ แล้วก็แบบฟอร์มสำหรับศุลกากรอีกหนึ่งใบ ซึ่งเราเป็นแม่ลูกกันเขาก็ให้เรากรอกแค่ใบเดียว การผ่านด่านตรงนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หายห่วง
ออกมาปุ๊บ เราก็เห็นคนถือป้ายชื่อเรายืนรอรับเราอยู่ (แบบที่เราเคยเห็นในหนัง ฮา) เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ โดยเขาอธิบายว่าเราต้องรอผู้โดยสารจากประเทศอื่นอีก 2-3 คนเพื่อนั่งรถตู้ไปโรงแรมด้วยกัน รถตู้ใหม่ นั่งสบาย ขับเร็วและดีพุ่งไปส่งถึงหน้าโรงแรมเลยค่ะ.. เช็คอินเรียบร้อย ห้องพักน่ารักอบอุ่นแบบญี่ปุ่น เตียงนอนจัดเรียบร้อยสะอาดสะอ้านน่านอนสุดๆ มีโต๊ะญี่ปุ่น (คงต้องเรียกแบบนี้ละนะคะ) ไว้นั่งทำงานหรือทานอาหารได้ด้วย ห้องอาบน้ำและห้องน้ำจริงๆ แยกกันคนละส่วน (คงป้องกันกลิ่น) ตู้เสื้อผ้า ตู้ติดผนัง ตู้เย็น แบบ built-in ติดผนังหมด ใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วคุ้มจริงๆ น่าทึ่งมาก ห้องที่พักเป็นห้องมุม น่าจะ 32 ตารางเมตรโดยประมาณนะคะ มีเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ กาต้มน้ำร้อน ชา กาแฟ และเครื่องใช้ที่จำเป็นในห้องน้ำครบเลยค่ะ ยกเว้น หมวกคลุมผม แต่เขามีสายคาดผมให้
ข้อมูลที่รู้มาคือ เราสามารถนั่งรถเมล์จากแถวๆ หน้าโรงแรมไปถึงโตเกียวดิสนีย์แลนด์ได้เลย ต่อเดียว ซึ่งถูกใจเรามาก เพราะเมื่อเห็นเส้นทางรถไฟของญี่ปุ่นแล้ว ข้าน้อยอาจไม่รอด เพื่อนชาวญี่ปุ่นบอกว่าถ้าเลือกนั่งรถไฟ เราต้องไปต่อที่สถานีโตเกียว แล้วเปลี่ยนสาย ใช้เวลาอีก 15 นาทีเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ รถไฟอาจจะแน่นมากเพราะเป็นวันทำงานทั้งคนทำงานและนักเรียนนักศึกษาคงใช้บริการแน่นขนัด และเราก็ต้องรอจนกว่าจะเบียดขึ้นไปได้
แต่เนื่องจากเราต้องการใช้เวลาอยู่ดิสนีย์แลนด์ให้นานที่สุด บวกกับความเป็นคนขี้กลัว เพื่อนจึงแนะนำให้นั่งรถเมล์ทั้งขาไปและกลับเพราะจะได้นั่งยาวไป งีบหลับได้ตามอัธยาศัยถ้าเหนื่อย
เราตื่นเช้าตรู่มาสำรวจหาป้ายรถเมล์ตามแผนที่ค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วก็อ่านแผนที่ไม่เก่งเลย ที่สำคัญพยายามถามทางพนักงาน 7-11 พนักงาน Family Mart พนักงานโรงแรม จนได้ความว่ามันคือป้ายไหนแน่ เพราะแถวนั้นมีหลายป้ายเลยค่ะ เราเช็คตารางเวลารถ จนรู้ว่ามีรถออกจากป้ายเวลา 7.00 น และ 7.30 น และห่างไปทุกๆ 30 นาที เป็นรถโดยสารที่บริหารงานโดย Tobu Bus และ Keisei Bus เพื่อนแนะนำให้ไปรอก่อนเพราะถ้ามีผู้โดยสารเต็มรถ เราต้องรอคันใหม่ เขาไม่ให้ยืนโหนรถเมล์แบบบ้านเรา เราก็เลยไปยืนตากฝนรอลุ้น หนาวสั่นกันสองแม่ลูก แต่มันไม่ได้มีแค่เรานะคะ แถวยาวทีเดียว
เราแวะไปซื้อบัตร SUICA ตามคำแนะนำของเพื่อนที่สถานีรถไฟค่ะ เขาบอกว่าบัตรนี้ใช้ขึ้นรถเมล์ รถไฟและใช้จ่ายเงินตามร้านสะดวกซื้อได้ด้วย ซื้อไป 2000 เยน มีค่ามัดจำบัตร 500 เยน ค่ารถเมล์จากสถานีคินชิโชไปดิสนีย์แลนด์คนละ 720 เยนค่ะ นั่งไปกลับได้สบาย
ต่อแถวขึ้นรถเมล์ซึ่งมาตรงเวลามาก เราก็แตะบัตรตรงแถวๆ คนขับแล้วก็ขึ้นไปนั่ง แบบว่าตื่นเต้นกันสองแม่ลูก มันจะจอดป้ายไหนบ้างวะ แล้วเราจะรู้ไหมว่ามันถึงแล้ว เพราะถ้าเขาไม่พูดภาษาอังกฤษกันแบบนี้เราแย่แน่ ปรากฎว่าบนรถมีประกาศเป็นภาษาอังกฤษและมีข้อความภาษาอังกฤษขึ้น รถจอดแค่สองป้ายเท่านั้นค่ะ ป้ายแรกคือ Kasai และป้ายต่อไปก็คือดิสนีย์ซี แล้วตามด้วยดิสนีย์แลนด์ ใช้เวลาเดินทางเบ็ดเสร็จ 45 นาที ถึงหน้าทางเข้าดิสนีย์แลนด์ ดินแดนในฝันของเราเลยค่ะ
กระทู้นี้ขอเท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมาเล่าการผจญภัยสไตล์เรา ณ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ให้ฟังกันค่ะ คุณแม่คุณลูก หรือท่านใดที่คิดจะเดินทางไปกันเองดูบ้าง ลองดูนะคะ บอกเลยว่าง่ายกว่าที่คิด นี่จากใจคนที่ไม่ชอบเดินทางและกลัวหลงทางเลยนะคะ หวังว่าข้อมูลที่เล่าสู่กันฟังจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ