วันนี้ขอพิมพ์ยาวหน่อยเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนมันทำให้เกิดคำถามและการถกเถียงมากมาย ข้อความทั้งหมดนี้เกิดจากการวิเคราะห์ส่วนตัวแต่ไม่สมบูรณ์โดยพยายามมองให้เป็นกลางมากที่สุดแต่ก็แทรกทัศนคติส่วนตัวในบางประเด็น ทั้ง 3 ประเด็น
1. ชื่อเสียงนั้นสร้างยาก แต่รักษาไว้นั้นยากยิ่งกว่า
เหตุการณ์บางอย่างแค่คำพูดคำเดียวรูปภาพภาพเดียว ก็ทำให้สิ่งที่สร้างมาพังทลายลงได้
ผมไม่ขอสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าจริงเท็จยังไง เพราะมันเกิดการคาดเดาต่างๆนาๆทั้งที่เราไม่ได้รู้ความจริงอะไรเลย
เหมือนภาพที่เห็นเหมือนทหารกำลังเอาปืนไปจ่อคนนึงแต่พอเราถอยห่างมองดีๆกลับเป็นภาพที่ทหารกำลังป้อนน้ำให้คนเจ็บและปืนมันแค่ห้อยไปพอดีกับภาพนั้น แต่คนก็สรุปไปแล้วว่าทหารคนนั้นคือคนเลว
ผมไม่ได้โอชิแคนแคน ไม่ได้ติดตามน้องเท่าไหร่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกว่า คนไทยอ่อนไหวต่อเรื่องสื่อมากๆ แค่ 20 นาที Fanpage BNK ก็มีคนคอมเม้นท์ไปกว่า 200 ข้อความ ซักพัก 500 กว่าและส่งต่อ 300 กว่าครั้ง มีคนสรุปความไปว่าน้องมียังงั้นยังงี้ ผมคิดว่าเราตัดสินเร็วเกินไป และสิ่งที่ถูกกัดกร่อนไปเรื่องๆคือชื่อเสียงน้อง และลามไปถึง BNK48 ทั้งหมดโดยที่คนเม้นท์อาจไม่รู้ตัว
2. ปัญหาการมีแฟน คือหนึ่งในปัญหาโลกแตกของ 48G ที่AKB ก็เจอปัญหามากมาย และโอตะก็ถกเถียงกันมา 10 กว่าปีปานไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน ถึงทางบริษัทจะบอกว่าไม่ได้จำกัดการห้ามมีแฟน แต่ต้องไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัท หลายๆคนที่บอกว่าเป็นสัญญาใจ จริงๆก็เหมือนการบังคับกลายๆแหละว่า "ถ้าอยากเป็น ไอดอล จงทิ้งแฟนไว้ข้างหลัง" เพราะการมีแฟนจริงๆมันทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัทแน่นอนไม่ว่าจะใหญ่หรือน้อย หลายคนอาจบอกว่า "ไม่ถือถ้าไอดอลมีแฟน" "ตามที่ความสามารถตามที่ตัวตน" คืออุดมคติแบบหนึ่ง แต่ถ้าเรามองในความเป็นจริงล่ะ คนๆนั้นจะกลายเป็นไอดอลที่แฟนๆให้การสนับสนุนหรือไม่
แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นคือคำตอบเมื่อเราได้ตัดสินไปแล้ว และเหมือนว่าหลายคนได้ตัดสินน้องไปแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงมันอาจไม่ได้มีอะไรมากมายเหมือนว่านักข่าวต้องใส่สีตีไข่เพื่อให้ข่าวเป็นประเด็นจะได้ขายได้ หรือถ้าความเป็นจริงมันปรากฎและถ้าน้องผิดจริงเราก็อาจตัดสินน้องกันได้ แต่ถ้าน้องไม่ได้มีอะไรอย่างที่เราคิดกัน กลายเป็นว่าน้องกลายเป็นเหยื่อและเหลือเพียงซากศพที่ถูกจิกทึ้งไปจนหมดแล้ว
3. เรื่องราวที่เกิดขึ้นผมไม่ได้ติดตามโดยละเอียด แต่ถ้าที่ผมเข้าใจคือมี คนๆนึงที่เป็นประเด็นชอบขุดคุ้ยเรื่อง จริงไม่จริง รู้ไม่รู้ ของเมมเบอร์มาโพสแล้วทำตัวราวว่าต้องการเปิดเผยความจริง โดยผมไม่รู้เลยว่าเจตนาจริงของคนนี้คืออะไร และมันมีประโยชน์อะไรที่เขาเลือกที่จะทำแบบนั้น เราเคยมีการขุดคุ้ยความจริงที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมมาแล้วคือน้องคนนึงที่ไม่ยอมโกงเอกสารคนยากไร้จนกลายเป็นประเด็นไปทั่วประเทศ แต่ในกรณีที่เคยเกิดขึ้นผมไม่อาจรู้สึกได้ว่าการขุดคุ้ยหรือพยายามตีแผ่ชีวิตส่วนตัวของไอดอล มันให้ประโยชน์อะไร บางเรื่องก็หาหลักฐานมายืนยันไม่ได้แค่พูดส่งๆ แต่มันก็สร้างรอยร้าวเล็กๆหรือประเด็นให้คนที่ไม่ชอบน้องมาสาดใส่ความเกลียดชังเต็มที่ ซึ่งส่วนตัวผมรู้สึกขยะแขยงปนเวทนา ที่บางคนชอบทำเหมือนตัวเองมีอำนาจของสื่อที่ไม่ยอมควบคุมตัวเอง อะไรทำให้คนเราคิดว่าตัวเองควรพยายามขุดคุ้ยเรื่องคนอื่น ทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรเลย และไม่คิดเลยหรือว่าสิ่งที่ทำอาจกำลังทำลายบางอย่างอยู่
ในแต่ละประเด็นคือสิ่งที่ผมรู้สึกได้และคิดต่อเลยว่าหลักสูตรการศึกษาไทยพื้นฐาน วิชาสังคม ควรเพิ่มเรื่องการ "วิเคราะห์สื่อและผลกระทบที่จะตามมา" เข้าหลักสูตรเรียนด้วยเพื่อไม่ให้คนที่ถูกพูด และคนที่พูด กลายเป็นเหยื่อของความไม่หวังดีของสื่อไป
ชีวิตไอดอลในโลกจริง สัญญาใจที่ต้องรักษา และเจตนาของการล้วงชีวิตไอดอล
1. ชื่อเสียงนั้นสร้างยาก แต่รักษาไว้นั้นยากยิ่งกว่า
เหตุการณ์บางอย่างแค่คำพูดคำเดียวรูปภาพภาพเดียว ก็ทำให้สิ่งที่สร้างมาพังทลายลงได้
ผมไม่ขอสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าจริงเท็จยังไง เพราะมันเกิดการคาดเดาต่างๆนาๆทั้งที่เราไม่ได้รู้ความจริงอะไรเลย
เหมือนภาพที่เห็นเหมือนทหารกำลังเอาปืนไปจ่อคนนึงแต่พอเราถอยห่างมองดีๆกลับเป็นภาพที่ทหารกำลังป้อนน้ำให้คนเจ็บและปืนมันแค่ห้อยไปพอดีกับภาพนั้น แต่คนก็สรุปไปแล้วว่าทหารคนนั้นคือคนเลว
ผมไม่ได้โอชิแคนแคน ไม่ได้ติดตามน้องเท่าไหร่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกว่า คนไทยอ่อนไหวต่อเรื่องสื่อมากๆ แค่ 20 นาที Fanpage BNK ก็มีคนคอมเม้นท์ไปกว่า 200 ข้อความ ซักพัก 500 กว่าและส่งต่อ 300 กว่าครั้ง มีคนสรุปความไปว่าน้องมียังงั้นยังงี้ ผมคิดว่าเราตัดสินเร็วเกินไป และสิ่งที่ถูกกัดกร่อนไปเรื่องๆคือชื่อเสียงน้อง และลามไปถึง BNK48 ทั้งหมดโดยที่คนเม้นท์อาจไม่รู้ตัว
2. ปัญหาการมีแฟน คือหนึ่งในปัญหาโลกแตกของ 48G ที่AKB ก็เจอปัญหามากมาย และโอตะก็ถกเถียงกันมา 10 กว่าปีปานไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน ถึงทางบริษัทจะบอกว่าไม่ได้จำกัดการห้ามมีแฟน แต่ต้องไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัท หลายๆคนที่บอกว่าเป็นสัญญาใจ จริงๆก็เหมือนการบังคับกลายๆแหละว่า "ถ้าอยากเป็น ไอดอล จงทิ้งแฟนไว้ข้างหลัง" เพราะการมีแฟนจริงๆมันทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัทแน่นอนไม่ว่าจะใหญ่หรือน้อย หลายคนอาจบอกว่า "ไม่ถือถ้าไอดอลมีแฟน" "ตามที่ความสามารถตามที่ตัวตน" คืออุดมคติแบบหนึ่ง แต่ถ้าเรามองในความเป็นจริงล่ะ คนๆนั้นจะกลายเป็นไอดอลที่แฟนๆให้การสนับสนุนหรือไม่
แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นคือคำตอบเมื่อเราได้ตัดสินไปแล้ว และเหมือนว่าหลายคนได้ตัดสินน้องไปแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงมันอาจไม่ได้มีอะไรมากมายเหมือนว่านักข่าวต้องใส่สีตีไข่เพื่อให้ข่าวเป็นประเด็นจะได้ขายได้ หรือถ้าความเป็นจริงมันปรากฎและถ้าน้องผิดจริงเราก็อาจตัดสินน้องกันได้ แต่ถ้าน้องไม่ได้มีอะไรอย่างที่เราคิดกัน กลายเป็นว่าน้องกลายเป็นเหยื่อและเหลือเพียงซากศพที่ถูกจิกทึ้งไปจนหมดแล้ว
3. เรื่องราวที่เกิดขึ้นผมไม่ได้ติดตามโดยละเอียด แต่ถ้าที่ผมเข้าใจคือมี คนๆนึงที่เป็นประเด็นชอบขุดคุ้ยเรื่อง จริงไม่จริง รู้ไม่รู้ ของเมมเบอร์มาโพสแล้วทำตัวราวว่าต้องการเปิดเผยความจริง โดยผมไม่รู้เลยว่าเจตนาจริงของคนนี้คืออะไร และมันมีประโยชน์อะไรที่เขาเลือกที่จะทำแบบนั้น เราเคยมีการขุดคุ้ยความจริงที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมมาแล้วคือน้องคนนึงที่ไม่ยอมโกงเอกสารคนยากไร้จนกลายเป็นประเด็นไปทั่วประเทศ แต่ในกรณีที่เคยเกิดขึ้นผมไม่อาจรู้สึกได้ว่าการขุดคุ้ยหรือพยายามตีแผ่ชีวิตส่วนตัวของไอดอล มันให้ประโยชน์อะไร บางเรื่องก็หาหลักฐานมายืนยันไม่ได้แค่พูดส่งๆ แต่มันก็สร้างรอยร้าวเล็กๆหรือประเด็นให้คนที่ไม่ชอบน้องมาสาดใส่ความเกลียดชังเต็มที่ ซึ่งส่วนตัวผมรู้สึกขยะแขยงปนเวทนา ที่บางคนชอบทำเหมือนตัวเองมีอำนาจของสื่อที่ไม่ยอมควบคุมตัวเอง อะไรทำให้คนเราคิดว่าตัวเองควรพยายามขุดคุ้ยเรื่องคนอื่น ทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรเลย และไม่คิดเลยหรือว่าสิ่งที่ทำอาจกำลังทำลายบางอย่างอยู่
ในแต่ละประเด็นคือสิ่งที่ผมรู้สึกได้และคิดต่อเลยว่าหลักสูตรการศึกษาไทยพื้นฐาน วิชาสังคม ควรเพิ่มเรื่องการ "วิเคราะห์สื่อและผลกระทบที่จะตามมา" เข้าหลักสูตรเรียนด้วยเพื่อไม่ให้คนที่ถูกพูด และคนที่พูด กลายเป็นเหยื่อของความไม่หวังดีของสื่อไป