ขอกรี้ดก่อนเลย เพราะละครเวทีเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราอยากดูมาตลอดตั้งแต่มีการแสดงครั้งแรกจนรีสเตจแล้วก็ไม่มีโอกาสสักที ก็ได้แต่ฟํงเพลงมิวสิเคิลแล้วซ้อมร้องเล่นอยู่ที่บ้าน ดังนั้นพอไปดูเลยเกิดอาการกรี้ดแตกมากเป็นพิเศษ ด้วยเป็นแฟนคลับนักแสดงด้วยแล้วอะนะ เพราะที่กรี้ดที่สุดคือละครสนุกมาก คือคาดหวังไว้แหละ แต่ก็ไม่คิดว่าจะสนุกมากกว่าที่คิดแบบมากๆเลย
รอบที่เราไปดูเป็นรอบแรก(ถ้าไม่นับรอบสื่อฯ)ดังนั้นมันเลยรู้สึกสดมากๆ ก่อนการแสดงก็มีผู้กำกับออกมาพูดคุยซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะได้พอควรเลย ขอรีวิวโดยรวมก่อนเลยว่าองค์1สนุกและตลกมาก จังหวะมุกคมกริบ ตบกันโบ๊ะบ๊ะๆ มีดราม่านิดนึงตอนนายศรโดนขุนอินเล่นระนาดฟาด ในช่วงของเพลงเสียงอะไร แต่องค์หนึ่งสนุกและตลกมาก พอเข้าองค์2นี่ดราม่ารัวๆเลย ไม่คิดว่าไม่กี่สิบนาทีตั้งแต่เริ่มองค์2ก็ทำเราร้องไห้ได้แล้ว แต่ก็ยังมีมุกตลกแทรกไม่ให้เครียดเกินไป แต่ก็สนุกนะ คือพอcertain callนี่นักแสดงปล่อยมุกกับเอิ๊กอ๊ากเลย เหมือนทั้งนักแสดงทั้งคนดูเครียดกันมาก หัวเราะกันตลกดังลั่นโรงเลย ที่ชอบมากคือเราเชื่อว่าพอละครจบ ทุกคนยังไม่มีใครออกจากโรงเลย เราได้ยินเสียงพูดว่าอยากดูต่อๆเยอะมากเลย เราเองพอจบcertain callแล้วก็ยังไม่อยากลุกเลยอ่ะ มันอิ่ม มันมีความสุข มันงดงามเหลือเกิน คำพูดที่เปิดโชว์และปิดโชว์คือ “ได้ยินเสียงนั่นไหม” พอดูจบแล้วเราก็รู้สึก ว่าเราได้ยินเสียงนั่นเหมือนที่ท่านครูบอกจริงๆ เอาจริงๆแค่มาดูการบรรเลงประชันดนตรีกันก็คุ้มค่าแล้วอ่ะ นักแสดงทุกคนเล่นกันสุดมาก โดยเฉพาะระนาดขุนอิน แค่มาฟังก็ถือว่าบุญหูแล้ว ไหนจะฝีมือระนาดของอาร์ม กรกันต์ที่พูดเลยว่าไม่ธรรมดา จะมาดูถูกว่าแค่หล่อก็เป็นนายศรไม่ได้นะเออ แล้วแคสนักแสดงคือดีมาก ทุกคนร้องเพลงดีมาก อาร์มเสียงกังวาลทั่วโรงจริงๆ แนน สาธิดาก็เสียงใสอย่างกับนกการเวก ใสกิ๊งเลย เสียงพ่ออี้ดก็แสนจะทุ้ม นุ่ม พอได้ยินแม่เม้าร้องนี่ก็แบบ พึมพัมกับตัวเองว่าตำนานก็คือตำนาน อย่างประโยคที่เราเอาขึ้นหัวข้อก็เป็นบทร้องของแม่เม้า(ซึ่งเพิ่งมารู้ว่าเป็นบทร้องที่เพิ่มมา สองครั้งที่รับบทโดยแม่อี้ด ดวงใจไม่มีการร้องเพลง) ไหนจะโย่ง อาร์มแชร์ที่แข็งขันมากสมกับเป็นทหาร แล้วยังพีท โอเวอร์มีที่รับบทเป็นพ่อเทิดอีก ชอบมาก ดูเถอะ
ที่จะพูดถึงต่อไปนี้จะเริ่มมีสปอยแล้วนะ แต่ไม่มากไม่ต้องกลัว เราจะพูดในส่วนขององค์แรก ละครเปิดด้วยเพลงอารยะแห่งสยามซึ่งเราขนลุกมาก แล้วพอมาในฉากเปิดตัวท่านครูนี่ขนลุกจนไม่รู้จะยังไง เรื่องโหมโรงเดอะมิวสิเคิลจะดำเนินเรื่องด้วยการตัดสลับระหว่างบทท่านครูกับสมัยนายศร ซึ่งเราว่าข้อดีคือการได้เห็นนักแสดงในทั้งเรื่องเลย แต่ข้อเสียคือมีฉากนึงที่ดราม่ามาก คือร้องไห้แล้วอ่ะ ฉากก็ตัดไปในอีกสมัย ซึ่งมันเบรคอารมณ์มาก จริงๆถ้าต่อฉากเลย คงน้ำตาทั่วโรงแน่ๆ ในยุคเด็กของศรกับทิวนี่น่ารักมาก ทิวนี่ตลกทุกฉากจริงๆ ถือเป็นสีสันจริงๆของเรื่อง ขำที่สุดในวัยเด็กคือตอนที่ศรเล่นระนาด ทิวก็เต้นไปด้วย ท่าลอยทะเลบ้างล่ะ ดึงดาวบ้างละ พีคสุดคือเต้นโอนิกิริ คนฮาลั่นโรง ฉากดนตรีมีคมของครูสินก็ดีมาก แล้วก็จะมีฉากฮาของทิว ซึ่งผู้หญิงที่ทิวไปจีบชื่อการะเกด อันนี้ก็ลั่นโรง ฉากครอบครัวดนตรีก็น่ารักมาก เปี๊ยกตลกมากในองค์หนึ่ง อ้อ แล้วมีฉากประทับใจจากในหนัง คือฉากที่ประสิทธิ์ ลูกของพ่อศรซื้อเปียโนมาเล่น แล้วคิดเหมือนว่าพ่อที่เป็นครูระนาดจะแอนตี้หรือเปล่า แต่พ่อศรกลับเล่นระนาดเพลงลาวดวงเดือนฟีทไปกับเปียโน แต่มันจะมีฉากตลก คือตอนพวกนายเปี๊ยกลองกดเปียโน แล้วกดเป็นเพลงคืนความสุข คนก็หัวเราะมาก แล้วก็มีที่เปี๊ยกเล่นไปก็บ่นไปว่า อยู่นานไปแล้วนะ แล้วคนกรี้ดหัวเราะกันลั่นโรงอีก แล้วก็มีการหันมาคุยกับคนดูว่าหยุดกรี้ดได้แล้ว เดี๋ยวโดนรวบ คือขำมากจริงๆ
ชอบอีกคือฉากการปรากฏตัวของขุนอิน เรารู้สึกว่าขลังจริง เราชอบทุกครั้งในช่วงที่นายศรหลอนขุนอินตั้งแต่ได้ยินเสียงระนาดขุนอินครั้งแรก ฉากที่มืดจะเป็นเงาขุนอินอยู่วิสองวิแล้วค่อยๆเทิร์นไปเป็นฉากปกติ ซึ่งชมก่อนว่าแสงสวยมาก แสงหลักๆที่ใช้คือสีแดง ขาว น้ำเงิน มีฉากนึงที่แสงเป็นแดงขาวน้ำเงินขาวแดง เป็นสีธงชาติอ่ะ นี่ขนลุก แล้วแพนมาเป็นนายศรนั่งอยู่ คือมันเล่าจริงๆว่านายศรอยู่ใต้ขุนอินอ่ะ อันนี้ชอบ ฉากดอกลั่นทมก็ดีมาก จะบอกว่ามีฉากแม่โชติน้อยมาก แต่จีบกันได้เขินมาก และแนน สาธิดาก็เสียงหวานละลายใจมาก และโคดิโอกราฟคือสวยมาก ชอบ
จะบอกว่าของโหมโรงเดอะมิวสิเคิลคือการต่อสู้กันระหว่างกฏหมายที่ทำลายดนตรีไทยกับคนดนตรี ซึ่งดีเหลือเกินเพราะพล็อตสนุกและลุ้นมาก แม้การดำ้นินเรื่องจะเหมือนกับในหนังเลย แต่เราว่าละครเวทีขยี้หนักกว่า(ย่อหน้านี้ขออีดิท เราหาข้อมูลพลาดเองค่ะ)
ฉากในองค์สองคือดราม่าสุดๆทั้งสองยุคมีดราม่า ยุคนายศรคือการประลองกับขุนอิน ยุคพ่อครูคือยุคมืดของดนตรี องค์สองนี่ขอให้จับตาดูเอ๋ เชิญยิ้มในบทนายเปี๊ยกไว้ดีๆนะ ใครจะรู้ เราเคยดูซิตคอมเขามาแต่เด็กๆ ใครจะรู้ว่าวันนึงเขาจะทำเราร้องไห้ได้ ดีเหลือเกิน แล้วฉากการต่อสู้ของชนดนตรีกับพวกทหาร โดยเฉพาะนายเทิด ตัวละครนี้คือมีมิติมาก ดูให้ดี อีกฉากคือการประชันระนาดของพ่อศรกับขุนอิน รีแอคขุนอินตอนจบคือที่สุดจริงๆ คือองค์สองมีฉากดีๆที่ประทับใจเยอะมาก แต่ถ้าบอกไปจะสปอย อีกฉากที่ดีคือฉากระเบิดพังได้แต่เนื้อไม้ คือดีงามที่สุด ดีถึงขนาว่าปกติคนจะรอดูให้จบฉากแล้วค่ิยปรบมือ ฉากนี้คือแค่ร้องเพลงจบก็ปรบมือกันสนั่นทั้งโรงแล้วอ่ะ รวมถึงฉากการเล่นระนาดของพ่อครู พูดเลยว่าฉากจบเราขนลุกมาก ขนลุกจนฉากสุดท้าย ดีเหลือเกิน
ในบทสรุปสุดท้ายของโหมโรง เดอะมิวสิคัล พ่อครูได้ฝากเอาไว้ว่า “อย่าให้มันหายไป” ซึ่งก็ประทับลงในใจจริงๆว่าเสียงนั้นมันจะไม่มีวันหายไปจริงๆ ตราบใดยังคนไทยจะเห็นค่าของความเป็นไทย ความเป็นไทยที่งดงามและเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ความคร่ำครึโบราณ ทุกๆศิลปะมันมีความงามในตัวของมันเอง และโหมโรงเดอะมิวสิคัลคือความงดงามอย่างสูงสุดอย่างหนึ่งทางการละครและดนตรีไทย ที่คู่ควรแก่การไปดูมากที่สุด ไปดูเถอะ แล้วคุณจะไม่มีวันผิดหวัง ไม่อย่างให้เสียโอกาสนี้ไปจริงๆ
สรุป ละครดี พล็อตดี เพลงดี นักแสดงดี ดีมันทุกอย่าง ไปดูเถอะ ขอร้อง มีแค่สิบรอบเอง เราไม่อยากให้มองว่าเราต้องมาดูโหมโรงเพราะเราเป็นคนไทยต้องสนับสนุนของไทย แต่ละครเวทีเรื่องนี้มีค่าในตัวของมันเอง ไม่ใช่แค่ใช้ความเป็นไทยเข้าว่า ดูเถอะ สนุกมาก คุ้มทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปแน่นอน เอาไปเลย มีร้อยให้ล้าน มีล้านให้สิบล้าน ของดีมาก ไปดูเถอะ
"ไร้ราก ไร้แผ่นดิน" ขอเอาเพลงนี้มาเป็นน้ำย่อยฝากคนที่ยังลังเลอยู่ค่ะ
[CR] รีวิวละครเวทีโหมโรงเดอะมิวสิเคิล “โลกอาจสลาย แต่เสียงนั้นจะไม่มีวันหายไป”
ขอกรี้ดก่อนเลย เพราะละครเวทีเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราอยากดูมาตลอดตั้งแต่มีการแสดงครั้งแรกจนรีสเตจแล้วก็ไม่มีโอกาสสักที ก็ได้แต่ฟํงเพลงมิวสิเคิลแล้วซ้อมร้องเล่นอยู่ที่บ้าน ดังนั้นพอไปดูเลยเกิดอาการกรี้ดแตกมากเป็นพิเศษ ด้วยเป็นแฟนคลับนักแสดงด้วยแล้วอะนะ เพราะที่กรี้ดที่สุดคือละครสนุกมาก คือคาดหวังไว้แหละ แต่ก็ไม่คิดว่าจะสนุกมากกว่าที่คิดแบบมากๆเลย
รอบที่เราไปดูเป็นรอบแรก(ถ้าไม่นับรอบสื่อฯ)ดังนั้นมันเลยรู้สึกสดมากๆ ก่อนการแสดงก็มีผู้กำกับออกมาพูดคุยซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะได้พอควรเลย ขอรีวิวโดยรวมก่อนเลยว่าองค์1สนุกและตลกมาก จังหวะมุกคมกริบ ตบกันโบ๊ะบ๊ะๆ มีดราม่านิดนึงตอนนายศรโดนขุนอินเล่นระนาดฟาด ในช่วงของเพลงเสียงอะไร แต่องค์หนึ่งสนุกและตลกมาก พอเข้าองค์2นี่ดราม่ารัวๆเลย ไม่คิดว่าไม่กี่สิบนาทีตั้งแต่เริ่มองค์2ก็ทำเราร้องไห้ได้แล้ว แต่ก็ยังมีมุกตลกแทรกไม่ให้เครียดเกินไป แต่ก็สนุกนะ คือพอcertain callนี่นักแสดงปล่อยมุกกับเอิ๊กอ๊ากเลย เหมือนทั้งนักแสดงทั้งคนดูเครียดกันมาก หัวเราะกันตลกดังลั่นโรงเลย ที่ชอบมากคือเราเชื่อว่าพอละครจบ ทุกคนยังไม่มีใครออกจากโรงเลย เราได้ยินเสียงพูดว่าอยากดูต่อๆเยอะมากเลย เราเองพอจบcertain callแล้วก็ยังไม่อยากลุกเลยอ่ะ มันอิ่ม มันมีความสุข มันงดงามเหลือเกิน คำพูดที่เปิดโชว์และปิดโชว์คือ “ได้ยินเสียงนั่นไหม” พอดูจบแล้วเราก็รู้สึก ว่าเราได้ยินเสียงนั่นเหมือนที่ท่านครูบอกจริงๆ เอาจริงๆแค่มาดูการบรรเลงประชันดนตรีกันก็คุ้มค่าแล้วอ่ะ นักแสดงทุกคนเล่นกันสุดมาก โดยเฉพาะระนาดขุนอิน แค่มาฟังก็ถือว่าบุญหูแล้ว ไหนจะฝีมือระนาดของอาร์ม กรกันต์ที่พูดเลยว่าไม่ธรรมดา จะมาดูถูกว่าแค่หล่อก็เป็นนายศรไม่ได้นะเออ แล้วแคสนักแสดงคือดีมาก ทุกคนร้องเพลงดีมาก อาร์มเสียงกังวาลทั่วโรงจริงๆ แนน สาธิดาก็เสียงใสอย่างกับนกการเวก ใสกิ๊งเลย เสียงพ่ออี้ดก็แสนจะทุ้ม นุ่ม พอได้ยินแม่เม้าร้องนี่ก็แบบ พึมพัมกับตัวเองว่าตำนานก็คือตำนาน อย่างประโยคที่เราเอาขึ้นหัวข้อก็เป็นบทร้องของแม่เม้า(ซึ่งเพิ่งมารู้ว่าเป็นบทร้องที่เพิ่มมา สองครั้งที่รับบทโดยแม่อี้ด ดวงใจไม่มีการร้องเพลง) ไหนจะโย่ง อาร์มแชร์ที่แข็งขันมากสมกับเป็นทหาร แล้วยังพีท โอเวอร์มีที่รับบทเป็นพ่อเทิดอีก ชอบมาก ดูเถอะ
ที่จะพูดถึงต่อไปนี้จะเริ่มมีสปอยแล้วนะ แต่ไม่มากไม่ต้องกลัว เราจะพูดในส่วนขององค์แรก ละครเปิดด้วยเพลงอารยะแห่งสยามซึ่งเราขนลุกมาก แล้วพอมาในฉากเปิดตัวท่านครูนี่ขนลุกจนไม่รู้จะยังไง เรื่องโหมโรงเดอะมิวสิเคิลจะดำเนินเรื่องด้วยการตัดสลับระหว่างบทท่านครูกับสมัยนายศร ซึ่งเราว่าข้อดีคือการได้เห็นนักแสดงในทั้งเรื่องเลย แต่ข้อเสียคือมีฉากนึงที่ดราม่ามาก คือร้องไห้แล้วอ่ะ ฉากก็ตัดไปในอีกสมัย ซึ่งมันเบรคอารมณ์มาก จริงๆถ้าต่อฉากเลย คงน้ำตาทั่วโรงแน่ๆ ในยุคเด็กของศรกับทิวนี่น่ารักมาก ทิวนี่ตลกทุกฉากจริงๆ ถือเป็นสีสันจริงๆของเรื่อง ขำที่สุดในวัยเด็กคือตอนที่ศรเล่นระนาด ทิวก็เต้นไปด้วย ท่าลอยทะเลบ้างล่ะ ดึงดาวบ้างละ พีคสุดคือเต้นโอนิกิริ คนฮาลั่นโรง ฉากดนตรีมีคมของครูสินก็ดีมาก แล้วก็จะมีฉากฮาของทิว ซึ่งผู้หญิงที่ทิวไปจีบชื่อการะเกด อันนี้ก็ลั่นโรง ฉากครอบครัวดนตรีก็น่ารักมาก เปี๊ยกตลกมากในองค์หนึ่ง อ้อ แล้วมีฉากประทับใจจากในหนัง คือฉากที่ประสิทธิ์ ลูกของพ่อศรซื้อเปียโนมาเล่น แล้วคิดเหมือนว่าพ่อที่เป็นครูระนาดจะแอนตี้หรือเปล่า แต่พ่อศรกลับเล่นระนาดเพลงลาวดวงเดือนฟีทไปกับเปียโน แต่มันจะมีฉากตลก คือตอนพวกนายเปี๊ยกลองกดเปียโน แล้วกดเป็นเพลงคืนความสุข คนก็หัวเราะมาก แล้วก็มีที่เปี๊ยกเล่นไปก็บ่นไปว่า อยู่นานไปแล้วนะ แล้วคนกรี้ดหัวเราะกันลั่นโรงอีก แล้วก็มีการหันมาคุยกับคนดูว่าหยุดกรี้ดได้แล้ว เดี๋ยวโดนรวบ คือขำมากจริงๆ
ชอบอีกคือฉากการปรากฏตัวของขุนอิน เรารู้สึกว่าขลังจริง เราชอบทุกครั้งในช่วงที่นายศรหลอนขุนอินตั้งแต่ได้ยินเสียงระนาดขุนอินครั้งแรก ฉากที่มืดจะเป็นเงาขุนอินอยู่วิสองวิแล้วค่อยๆเทิร์นไปเป็นฉากปกติ ซึ่งชมก่อนว่าแสงสวยมาก แสงหลักๆที่ใช้คือสีแดง ขาว น้ำเงิน มีฉากนึงที่แสงเป็นแดงขาวน้ำเงินขาวแดง เป็นสีธงชาติอ่ะ นี่ขนลุก แล้วแพนมาเป็นนายศรนั่งอยู่ คือมันเล่าจริงๆว่านายศรอยู่ใต้ขุนอินอ่ะ อันนี้ชอบ ฉากดอกลั่นทมก็ดีมาก จะบอกว่ามีฉากแม่โชติน้อยมาก แต่จีบกันได้เขินมาก และแนน สาธิดาก็เสียงหวานละลายใจมาก และโคดิโอกราฟคือสวยมาก ชอบ
จะบอกว่าของโหมโรงเดอะมิวสิเคิลคือการต่อสู้กันระหว่างกฏหมายที่ทำลายดนตรีไทยกับคนดนตรี ซึ่งดีเหลือเกินเพราะพล็อตสนุกและลุ้นมาก แม้การดำ้นินเรื่องจะเหมือนกับในหนังเลย แต่เราว่าละครเวทีขยี้หนักกว่า(ย่อหน้านี้ขออีดิท เราหาข้อมูลพลาดเองค่ะ)
ฉากในองค์สองคือดราม่าสุดๆทั้งสองยุคมีดราม่า ยุคนายศรคือการประลองกับขุนอิน ยุคพ่อครูคือยุคมืดของดนตรี องค์สองนี่ขอให้จับตาดูเอ๋ เชิญยิ้มในบทนายเปี๊ยกไว้ดีๆนะ ใครจะรู้ เราเคยดูซิตคอมเขามาแต่เด็กๆ ใครจะรู้ว่าวันนึงเขาจะทำเราร้องไห้ได้ ดีเหลือเกิน แล้วฉากการต่อสู้ของชนดนตรีกับพวกทหาร โดยเฉพาะนายเทิด ตัวละครนี้คือมีมิติมาก ดูให้ดี อีกฉากคือการประชันระนาดของพ่อศรกับขุนอิน รีแอคขุนอินตอนจบคือที่สุดจริงๆ คือองค์สองมีฉากดีๆที่ประทับใจเยอะมาก แต่ถ้าบอกไปจะสปอย อีกฉากที่ดีคือฉากระเบิดพังได้แต่เนื้อไม้ คือดีงามที่สุด ดีถึงขนาว่าปกติคนจะรอดูให้จบฉากแล้วค่ิยปรบมือ ฉากนี้คือแค่ร้องเพลงจบก็ปรบมือกันสนั่นทั้งโรงแล้วอ่ะ รวมถึงฉากการเล่นระนาดของพ่อครู พูดเลยว่าฉากจบเราขนลุกมาก ขนลุกจนฉากสุดท้าย ดีเหลือเกิน
ในบทสรุปสุดท้ายของโหมโรง เดอะมิวสิคัล พ่อครูได้ฝากเอาไว้ว่า “อย่าให้มันหายไป” ซึ่งก็ประทับลงในใจจริงๆว่าเสียงนั้นมันจะไม่มีวันหายไปจริงๆ ตราบใดยังคนไทยจะเห็นค่าของความเป็นไทย ความเป็นไทยที่งดงามและเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ความคร่ำครึโบราณ ทุกๆศิลปะมันมีความงามในตัวของมันเอง และโหมโรงเดอะมิวสิคัลคือความงดงามอย่างสูงสุดอย่างหนึ่งทางการละครและดนตรีไทย ที่คู่ควรแก่การไปดูมากที่สุด ไปดูเถอะ แล้วคุณจะไม่มีวันผิดหวัง ไม่อย่างให้เสียโอกาสนี้ไปจริงๆ
สรุป ละครดี พล็อตดี เพลงดี นักแสดงดี ดีมันทุกอย่าง ไปดูเถอะ ขอร้อง มีแค่สิบรอบเอง เราไม่อยากให้มองว่าเราต้องมาดูโหมโรงเพราะเราเป็นคนไทยต้องสนับสนุนของไทย แต่ละครเวทีเรื่องนี้มีค่าในตัวของมันเอง ไม่ใช่แค่ใช้ความเป็นไทยเข้าว่า ดูเถอะ สนุกมาก คุ้มทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปแน่นอน เอาไปเลย มีร้อยให้ล้าน มีล้านให้สิบล้าน ของดีมาก ไปดูเถอะ
"ไร้ราก ไร้แผ่นดิน" ขอเอาเพลงนี้มาเป็นน้ำย่อยฝากคนที่ยังลังเลอยู่ค่ะ