ปรากฏการณ์แจ็ค หม่า กับการเปลี่ยนเจ้าตลาดโลกในไทย

เมื่อมีข่าวว่า แจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหารกลุ่มอาลีบาบา กรุ๊ป จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ก็มีการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง มองกันทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยด้านลบส่วนใหญ่จะกลัวกันว่า การมาของทุนใหญ่จากจีนจะทำลายตลาดของไทย โดยเฉพาะรายย่อย

แต่แจ็ค หม่า อาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หากเราเข้าใจวิธีคิดของเขา และย้อนอดีต มองปัจจุบัน เพื่อเรียนรู้ที่จะปรับตัวสู่อนาคต


เล่ากันว่า จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของแจ็ค หม่า เกิดขึ้นเมื่อ เม็ก วิทแมน ซีอีโอของอีเบย์ ประกาศว่า ประเทศจีนจะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของอีเบย์ โดยจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดของอีเบย์ไว้

หม่าไม่ได้มองว่าอีเบย์น่ากลัว หรือเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจของตนเองหรือประเทศจีน หรือกลัวว่าปลาใหญ่จะมากินปลาเล็ก แต่กลับตั้งรับและสู้ด้วยข้อดีในสนามที่ตนเองเป็นใหญ่ โดยมองว่า “อีเบย์คือฉลามในมหาสมุทร ที่นี่คือประเทศจีน และเราคือจระเข้ในแม่น้ำแยงซีเกียง ถ้าเราสู้ในมหาสมุทรเราตายแน่ แต่ถ้าสู้กันในแม่น้ำ รับรองว่าเราไม่มีทางแพ้แน่นอน”

จากนั้นอีก 2 ปีต่อมา อีเบย์ก็ประกาศถอนตัวจากตลาดประมูลสินค้าออนไลน์ของจีน และแจ็ค หม่า ก็ได้ขยายอาณาจักร ผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ระดับโลกในวันนี้


ปรากฏการณ์แจ็ค หม่า สอนให้เราเรียนรู้ว่า เราต้องปรับตัว ไม่ใช่เพื่อให้อยู่รอดได้อย่างเดียว แต่เพื่อเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ เช่น แจ็ค หม่า ที่เป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ จากธุรกิจเล็ก ๆ ในประเทศจีน แต่อาจหาญ กล้าต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างอีเบย์ จนเติบโตกลายเป็นตัวแทนของประเทศจีน เข้าไปบุกตลาดและยืนหยัดในฐานะยักษ์ใหญ่รายใหม่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงได้รับการยอมรับจากผู้นำในแต่ละประเทศ แต่ยังเป็นที่น่าเกรงขามและหวั่นเกรงไปทั่วโลกอีกด้วย


เราคนไทยก็ยิ่งใหญ่และผงาดในเวทีโลกได้เช่นกัน แค่อย่ามัวแต่ดูถูกดูแคลนตัวเอง หรือเมื่อเจอการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ หรืออะไรใหญ่ ๆ ก็กลัวจนรนรานไปก่อนเสมอ แต่ควรปรับตัวเปลี่ยนพฤติกรรม สร้างพลังบวก เอาข้อดีของตัวเองขึ้นมาสู้ เพราะจริง ๆ แล้ว คนไทยไม่ได้น้อยหน้าใคร มีธุรกิจไทยที่ได้ไปยืนในตลาดโลกแล้ว อย่าง “คิง พาวเวอร์”, “ไทยคม”, “กระทิงแดง” หรือแม้แต่ซีพีที่ไปยิ่งใหญ่ในตลาดจีนในนาม “เจิ้งต้า” ธุรกิจหลากหลายที่คนจีนทั้งประเทศรู้จักเป็นอย่างดี เช่น Super Brand Mall ห้างสรรพสินค้าใหญ่ระดับ 5 ดาว และซีพีโลตัส เป็นต้น


หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง การเข้ามาของจีนก็เปรียบเสมือนการเปลี่ยนฤดูกาล จากก่อนหน้านี้ที่ไทยเรารู้จักแค่ธุรกิจจากอเมริกาและญี่ปุ่น ที่เข้ามาครองตลาดในประเทศ ทั้ง Amazon, StarBucks, Levi’s, Uniqlo, โตโยต้า, โซนี่, พานาโซนิก ฯลฯ


ยุคนี้ก็แค่ถึงเวลาที่ไทยจะได้เปลี่ยนไปทำความรู้จักกับสินค้าและธุรกิจใหม่ ๆ จากประเทศจีนมากขึ้นเท่านั้นเอง

หากเราเรียนรู้และปรับตัวให้เท่าทันหรือก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลง ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะภัยคุกคามใด ๆ ก็ไม่ร้ายเท่ากับภัยคุกคามในใจที่เราสร้างขึ้น แล้วไซโคกันเอง ขัดแข้งขัดขากันเอง หรือไม่ส่งเสริมคนไทยด้วยกันเองให้ยิ่งใหญ่และต่อสู้ในตลาดโลก

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่