สวัสดีค่าพี่ๆชาวพันทิป คือวันนี้หนูจะมาเล่าเรื่องราวที่หนูพบเจอมาค่ะ [โรคซึมเศร้า] มีคำถามท้ายๆนะคะแต่อยากเล่าประสบการณ์ด้วย แฮร่
เริ่มเเรกเลยนะคะ หนูก็คงเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งที่หนูคิดว่า ครอบครัวของหนูคงจะอบอุ่นและดีเหมือนที่หนูคิดเอาไว้ แต่มันคงเป็นแค่ความคิด
ขอพักเรื่องครอบครัวสักหน่อยนะคะ หนูไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่ไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้ชาย ? อย่างงกันนะมันมีสาเหตุค่ะคือว่า .. เมื่อตอนเด็กๆราวๆป.1ได้ มันเป็นเหตุการณ์ฝังใจมาตลอดค่ะ คือมีวันหนึ่งที่หนูได้ไปเล่นที่บ้านเพื่อนด้วยความว่าตอนเด็กหนูไม่มีเพื่อนจึงสนิทกับคนนี้เป็นพิเศษเพราะคุณแม่มีพี่สาวแต่อายุห่างกับหนูเขาเลยไม่ค่อยจะมาเล่นเป็นเด็กๆสักเท่าไหร่ วันนั้นหนูจำได้ดี ตอนที่หนูกำลังนั่งเล่นอยู่กับเพื่อนตามประสาเด็กๆ จู่ๆหนูรู้สึกตกใจที่มีมือมาจับตรง นั้น. ซึ่งหนูหันหลังไปเจอเจ้าของมือหนูยิ่งตกใจกว่า (หนูนั่งยองๆแบบเล่นของเล่นกับเพื่อนน่ะค่ะ) คือคนที่หนูรู้จักเลย ตาเพื่อนค่ะ.. ประเด็นคือเขาก็รู้จักพ่อแม่หนูด้วย..ตอนนั้นหนูเหมือนภาพตัดรีบวิ่งออกมาแล้วกลับบ้าน จากนั้นหนูก็ไม่เคยไปบ้านเพื่อนคนนั้นอีกเลยค่ะ หนูคิดว่าถ้าวันนั้นหนูไม่วิ่งหนีออกมาหนูจะเป็นยังไงต่อไป.. มาถึงตอนที่มีอาการแปลกๆ ไม่ชอบผู้ชายนะคะ คือตอนแรกหนูก็ไม่รู้ว่ามีอาการแบบนี้ แต่พอสักพักเริ่มมีการต่อต้านไม่อยากอยู่ใกล้ มีการตื่นตระหนก หายใจถี่ๆ และกลัวเขาจะมาจับตัว กลัวการอยู่ใกล้ๆหรือเดินผ่านยังประหม่าจนไม่อยากยุ่งเกี่ยว นี่เป็นอาการคร่าวๆนะคะ
มาต่อ เรื่องครอบครัวนะคะ ตอนปัจจุบันมี เรา แม่ พ่อเลี้ยง และญาติผู้ใหญ่ ค่ะ คือเริ่มจากคุณพ่อแท้ๆของเราเลยนะค่ะ ตอนที่อยู่ กรุงเทพ ทุกอย่างดูเหมือนฝันเลย สำหรับเด็กคนหนึ่ง เพราะคุณพ่อใจดีกับเรามาก. คุณพ่อไม่เคยตีเราเลยค่ะ จะใช้คำพูดใช้เหตุผลมากกว่าการหยิบไม้มาตีเเล้วดุด่า ซึ่งต่างจากคุณแม่ที่จะใช้อารมณ์และหยิบไม้เสมอเมื่อเรายังเด็ก คุณแม่มักไม่ฟังเหตุผล เราจึงมองว่าแม่น่ากลัวสำหรับเรา. ส่วนพ่อเลี้ยง เขาตามใจเรานะคะแต่เราไม่รู้สึกผูกพันธ์กับเขาเลย ถึงเขาจะรักเราเหมือนลูกแท้ๆ แต่ใจเรายังผูกพันธ์กับคุณพ่ออยู่ ถึงคุณพ่อจะไม่มาหาเรา4-5 ปีแล้ว เรื่องมันเกิดจากพ่อเราไปมีหนี้จึงต้องย้ายบ้านมาอยู่ต่างจังหวัด ตอนเราอยู่ป.2 แล้วคุณแม่ก็ไปทำงานเจอกับพ่อเลี้ยง เลยแยกกันอยู่กับพ่อ พ่อบอกว่า จะมาหาเราบ่อยๆ จะพาไปซื้อขนม พาไปเที่ยว ซึ่งตอนเเรกๆมันก็เป็นอย่างนั้น พอเราขึ้น ป.3-4 พ่อก็เริ่มไม่มาหายๆไปหลายๆเดือน จนกระทั่งเราขึ้น ป.5 พ่อก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย เบอร์โทรก็ไม่ได้ให้ไว้ ที่อยู่ ก็ไม่มี ที่ทำงานพ่อก็ลาออก พ่อหนูไปอยู่ไหน
ซึ่งเราเองก็ยังไม่รู้.. แต่สิ่งที่จำก็คือวันเกิดเราที่ปกติพ่อจะพาไปซื้อเค้กทุกๆปี ซึ่งตอนนี้ไม่มีเเล้ว วันเกิดของคุณพ่อปีหนึ่งเราอยากจะให้ขนมคุกกี้..แต่พ่อมาไม่ทันจะได้ให้พ่อก็กลับไป..ซึ่งขนมคุกกี้กระปุกนั้นก็ยังอยู่ไม่เคยได้เปิดกินหรือแกะออกเลย..
จนตอนนี้ก็อยากบอกว่า คิดถึงคุณพ่อมากๆ
อยากจะเจอถึงจะไม่มีอะไรมาให้ไม่มีขนมไม่มีของเล่นหนูก็อยากจะเจอพ่อ..
มาต่อเรื่องที่ ทำไมคุณแม่ถึงตีเรา ในตอนเด็ก "เราไม่ชอบไปโรงเรียนค่ะ". ไม่ได้ขี้เกียจนะคะ แต่สังคมมันไม่น่าอยู่เอาเสียเลย ตั้งเเต่หนูย้ายมาเรียนที่นี่หนูไม่มีเพื่อนตั้งแต่วันที่ย้ายมา(ป.2 ). จนถึงป.6 ไม่ใช่ไม่มีเพื่อนธรรมดา เป็นพวกเข้ากับใครไม่ได้ด้วยล่ะ
เพื่อนแกล้งก็มีนะคะ แต่จะไม่ค่อยมีคนอยากยุ่งด้วยมากกว่า
สิ่งที่แย่ๆก็คือจะมี โดนลำเอียง โดนตำหนิรุนแรง เพื่อนเห็นแก่ตัว คุณครูบางท่านที่เราเจอมาใจร้ายกับเรามากๆค่ะไม่ขอเล่านะคะ เพราะเราก็อาจจะผิดในเรื่องนั้น แค่เราโดนเพื่อนๆทั้งห้องประชาทัณฑ์ใส่ +คุณครูท่านนั้นด้วยค่ะแฮร่ๆ
แต่เราก็คงจะผิดเองล่ะค่ะ ที่ไม่เป็นที่ต้องการของใคร
เกือบลืมเลย คุณแม่ตีเราขนาดตั้งเเต่บ้านไปถึงรถประจำเลยเราก็เจ็บนะคะเเต่เราทนค่ะให้ตายเราก็ไม่ยอมไปแต่ปัจจุบันเรายังเรียนอยู่นะ แต่ตอนนั้นเรากลัวการไปโรงเรียนมากกว่าตอนนี้*-* [คิดดูแม่เราตีขนาดไหนถึงฝังใจขนาดนี้ คุณแม่ตะคอกใส่ สบถเต็มที่จนทุกวันนี้เรากลัวคนพูดเสียงกังหรือตะคอกใส่ไปด้วยเลย]
มาถึงเรื่องหลักแล้ว ที่เล่าๆมาก็เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อจิตใจเราในส่วนหนึ่ง เพราะบางส่วนเราลืมค่ะ
ก็อาการซึมเศร้มเรามีมาตั้งแต่เด็กๆเเล้วเนอะ เจออะไรมาเยอะพอสมควรเลยล่ะ แต่เราเริ่มมามีอาการหนักขึ้นช่วงม.1-ม.2 ถึงขั้นทำร้ายตัวเอง (ตอนนั้นคือว่าได้เห็นเลือดแล้วรู้สึกดีค่ะ) ตอนร้องไห้สมองสติเบลอไปหมด จนเกือบจะโดดระเบียงโรงเรียนเเล้วล่ะค่ะ._. แต่เพื่อนมาเห็นเลยไปตามครูมา. ตอนนั้นเราไม่รู้สึกอะไรเลยเหมือนกับว่าเราต้องการจะโดดลงไป อยากโดดลงไป. คิดแบบนี้ซ้ำๆไปเรื่อยๆ จนเรื่องมันหนักๆคุณครูเลยให้คุณแม่เราพาเราไปพบจิตเเพทย์ ซึ่งเราลองศึกษาอาการที่เราเป็นแล้วเราก็อยากไปพบจิตแพทย์ด้วยเราก็ดีใจ นะคะ. เราอยากหายเศร้าเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นตัวประหลาดหรือเป็นอีบ้าที่อยู่ๆนั่งร้องไห้อยู่ๆก็น้ำตาไหล.
มาถึงตอนที่เราไปพบจิตแพทย์ครั้งแรกนะ. คือตอนแรกก็เกร็งๆเพราะหมอจิตเป็นผู้ชายด้วยเราเลยไม่กล้าเล่าแถมอึดอัด. พอได้ปรับสตินิดหน่อยก็เริ่มกล้าคุยขึ้น. พอคุยเสร็จก็รอพบคุณหมอผู้หญิง. ที่นี้ก็เล่าอาการให้ฟังสบายๆเลย พอคุณหมอจัดยาให้ตัวเเรกเป็น ฟูลล็อกซ์ 20g.
แล้วคุณหมอก็นัดทุกๆ1เดือน พอถึงวันที่นัดก็สอบถามอาการเรา เราก็บอกว่ามันยังไม่ค่อยดีขึ้น นอนไม่หลับฯลฯ แล้วคุณหมอก็เปลี่ยนยาให้เป็น แซนดอส 50g. อันนี้ดีขึ้นมาหน่อยใช้มา4-5เดือนแล้วแต่ก็ยังไม่หายขาด ล่าสุดตอนนี้ปิดเทอมคุณหมอเลยนัด2เดือนรอดูอาการหลังเปิดเทอม
ส่วนสิ่งที่เราจะถามก็ไม่เยอะแยะหรอกค่ะคือ
1. ที่บ้านญาติผู้ใหญ่มักจะมองว่าเราไม่ได้เป็นอะไรเราปกติดีเราบ้าๆบอๆไปเองติ๊งต๊องไปเอง พี่สาวก็ยังบอกว่าเราเรียกร้องความสนใจไปเอง เราได้ยินก็รู้สึกแย่นะแต่ทำได้แค่หัวเราะกลบเกลื่อนไป เพราะที่เขามองว่าเราปกติดี เราสนุกสนาน. ยิ้มแย้ม. มีความสุข. มันเป็นสิ่วที่เราสร้างขึ้นเพื่อจะให้เป็นเเบบนั้น เราไม่ได้มีความสุขจากใจจริง
2.เราควรทำอย่างไรดีกับญาติผู้ใหญ่ที่มีความคิดแบบนี้ เราก็อยากจะอธิบายแต่ยังไงเขาก็มองว่าไร้สาระ. แล้วก็ไม่เชื่อกันอยู่ดี
มีแค่นี้จริงๆค่ะที่อยากถาม
แต่ที่เล่ายาวๆอยากบอกประสบการณ์ที่เจอกับตัวมันไม่ง่ายเลยจริงๆ
การที่เรารู้สึกอยู่คนเดียวเนี่ย การที่เราต้องการกำลังใจ ความใส่ใจ ความรัก ไม่ได้เเปลว่าเราต้องการเรียกร้องความสนใจ [พยามพิมพ์แบบให้อ่านแล้วเฮฮาไม่เครียดกันนะฮะ]
สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจทุกคนที่ท้อแล้วก็เป็นโรคซึมเศร้าด้วยกันนะคะ
<โรคซึมเศร้า> อยากเล่าประสบการณ์ และมีคำถาม?-?
เริ่มเเรกเลยนะคะ หนูก็คงเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งที่หนูคิดว่า ครอบครัวของหนูคงจะอบอุ่นและดีเหมือนที่หนูคิดเอาไว้ แต่มันคงเป็นแค่ความคิด
ขอพักเรื่องครอบครัวสักหน่อยนะคะ หนูไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่ไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้ชาย ? อย่างงกันนะมันมีสาเหตุค่ะคือว่า .. เมื่อตอนเด็กๆราวๆป.1ได้ มันเป็นเหตุการณ์ฝังใจมาตลอดค่ะ คือมีวันหนึ่งที่หนูได้ไปเล่นที่บ้านเพื่อนด้วยความว่าตอนเด็กหนูไม่มีเพื่อนจึงสนิทกับคนนี้เป็นพิเศษเพราะคุณแม่มีพี่สาวแต่อายุห่างกับหนูเขาเลยไม่ค่อยจะมาเล่นเป็นเด็กๆสักเท่าไหร่ วันนั้นหนูจำได้ดี ตอนที่หนูกำลังนั่งเล่นอยู่กับเพื่อนตามประสาเด็กๆ จู่ๆหนูรู้สึกตกใจที่มีมือมาจับตรง นั้น. ซึ่งหนูหันหลังไปเจอเจ้าของมือหนูยิ่งตกใจกว่า (หนูนั่งยองๆแบบเล่นของเล่นกับเพื่อนน่ะค่ะ) คือคนที่หนูรู้จักเลย ตาเพื่อนค่ะ.. ประเด็นคือเขาก็รู้จักพ่อแม่หนูด้วย..ตอนนั้นหนูเหมือนภาพตัดรีบวิ่งออกมาแล้วกลับบ้าน จากนั้นหนูก็ไม่เคยไปบ้านเพื่อนคนนั้นอีกเลยค่ะ หนูคิดว่าถ้าวันนั้นหนูไม่วิ่งหนีออกมาหนูจะเป็นยังไงต่อไป.. มาถึงตอนที่มีอาการแปลกๆ ไม่ชอบผู้ชายนะคะ คือตอนแรกหนูก็ไม่รู้ว่ามีอาการแบบนี้ แต่พอสักพักเริ่มมีการต่อต้านไม่อยากอยู่ใกล้ มีการตื่นตระหนก หายใจถี่ๆ และกลัวเขาจะมาจับตัว กลัวการอยู่ใกล้ๆหรือเดินผ่านยังประหม่าจนไม่อยากยุ่งเกี่ยว นี่เป็นอาการคร่าวๆนะคะ
มาต่อ เรื่องครอบครัวนะคะ ตอนปัจจุบันมี เรา แม่ พ่อเลี้ยง และญาติผู้ใหญ่ ค่ะ คือเริ่มจากคุณพ่อแท้ๆของเราเลยนะค่ะ ตอนที่อยู่ กรุงเทพ ทุกอย่างดูเหมือนฝันเลย สำหรับเด็กคนหนึ่ง เพราะคุณพ่อใจดีกับเรามาก. คุณพ่อไม่เคยตีเราเลยค่ะ จะใช้คำพูดใช้เหตุผลมากกว่าการหยิบไม้มาตีเเล้วดุด่า ซึ่งต่างจากคุณแม่ที่จะใช้อารมณ์และหยิบไม้เสมอเมื่อเรายังเด็ก คุณแม่มักไม่ฟังเหตุผล เราจึงมองว่าแม่น่ากลัวสำหรับเรา. ส่วนพ่อเลี้ยง เขาตามใจเรานะคะแต่เราไม่รู้สึกผูกพันธ์กับเขาเลย ถึงเขาจะรักเราเหมือนลูกแท้ๆ แต่ใจเรายังผูกพันธ์กับคุณพ่ออยู่ ถึงคุณพ่อจะไม่มาหาเรา4-5 ปีแล้ว เรื่องมันเกิดจากพ่อเราไปมีหนี้จึงต้องย้ายบ้านมาอยู่ต่างจังหวัด ตอนเราอยู่ป.2 แล้วคุณแม่ก็ไปทำงานเจอกับพ่อเลี้ยง เลยแยกกันอยู่กับพ่อ พ่อบอกว่า จะมาหาเราบ่อยๆ จะพาไปซื้อขนม พาไปเที่ยว ซึ่งตอนเเรกๆมันก็เป็นอย่างนั้น พอเราขึ้น ป.3-4 พ่อก็เริ่มไม่มาหายๆไปหลายๆเดือน จนกระทั่งเราขึ้น ป.5 พ่อก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย เบอร์โทรก็ไม่ได้ให้ไว้ ที่อยู่ ก็ไม่มี ที่ทำงานพ่อก็ลาออก พ่อหนูไปอยู่ไหน ซึ่งเราเองก็ยังไม่รู้.. แต่สิ่งที่จำก็คือวันเกิดเราที่ปกติพ่อจะพาไปซื้อเค้กทุกๆปี ซึ่งตอนนี้ไม่มีเเล้ว วันเกิดของคุณพ่อปีหนึ่งเราอยากจะให้ขนมคุกกี้..แต่พ่อมาไม่ทันจะได้ให้พ่อก็กลับไป..ซึ่งขนมคุกกี้กระปุกนั้นก็ยังอยู่ไม่เคยได้เปิดกินหรือแกะออกเลย..
จนตอนนี้ก็อยากบอกว่า คิดถึงคุณพ่อมากๆ อยากจะเจอถึงจะไม่มีอะไรมาให้ไม่มีขนมไม่มีของเล่นหนูก็อยากจะเจอพ่อ..
มาต่อเรื่องที่ ทำไมคุณแม่ถึงตีเรา ในตอนเด็ก "เราไม่ชอบไปโรงเรียนค่ะ". ไม่ได้ขี้เกียจนะคะ แต่สังคมมันไม่น่าอยู่เอาเสียเลย ตั้งเเต่หนูย้ายมาเรียนที่นี่หนูไม่มีเพื่อนตั้งแต่วันที่ย้ายมา(ป.2 ). จนถึงป.6 ไม่ใช่ไม่มีเพื่อนธรรมดา เป็นพวกเข้ากับใครไม่ได้ด้วยล่ะ
เพื่อนแกล้งก็มีนะคะ แต่จะไม่ค่อยมีคนอยากยุ่งด้วยมากกว่า
สิ่งที่แย่ๆก็คือจะมี โดนลำเอียง โดนตำหนิรุนแรง เพื่อนเห็นแก่ตัว คุณครูบางท่านที่เราเจอมาใจร้ายกับเรามากๆค่ะไม่ขอเล่านะคะ เพราะเราก็อาจจะผิดในเรื่องนั้น แค่เราโดนเพื่อนๆทั้งห้องประชาทัณฑ์ใส่ +คุณครูท่านนั้นด้วยค่ะแฮร่ๆ
แต่เราก็คงจะผิดเองล่ะค่ะ ที่ไม่เป็นที่ต้องการของใคร
เกือบลืมเลย คุณแม่ตีเราขนาดตั้งเเต่บ้านไปถึงรถประจำเลยเราก็เจ็บนะคะเเต่เราทนค่ะให้ตายเราก็ไม่ยอมไปแต่ปัจจุบันเรายังเรียนอยู่นะ แต่ตอนนั้นเรากลัวการไปโรงเรียนมากกว่าตอนนี้*-* [คิดดูแม่เราตีขนาดไหนถึงฝังใจขนาดนี้ คุณแม่ตะคอกใส่ สบถเต็มที่จนทุกวันนี้เรากลัวคนพูดเสียงกังหรือตะคอกใส่ไปด้วยเลย]
มาถึงเรื่องหลักแล้ว ที่เล่าๆมาก็เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อจิตใจเราในส่วนหนึ่ง เพราะบางส่วนเราลืมค่ะ
ก็อาการซึมเศร้มเรามีมาตั้งแต่เด็กๆเเล้วเนอะ เจออะไรมาเยอะพอสมควรเลยล่ะ แต่เราเริ่มมามีอาการหนักขึ้นช่วงม.1-ม.2 ถึงขั้นทำร้ายตัวเอง (ตอนนั้นคือว่าได้เห็นเลือดแล้วรู้สึกดีค่ะ) ตอนร้องไห้สมองสติเบลอไปหมด จนเกือบจะโดดระเบียงโรงเรียนเเล้วล่ะค่ะ._. แต่เพื่อนมาเห็นเลยไปตามครูมา. ตอนนั้นเราไม่รู้สึกอะไรเลยเหมือนกับว่าเราต้องการจะโดดลงไป อยากโดดลงไป. คิดแบบนี้ซ้ำๆไปเรื่อยๆ จนเรื่องมันหนักๆคุณครูเลยให้คุณแม่เราพาเราไปพบจิตเเพทย์ ซึ่งเราลองศึกษาอาการที่เราเป็นแล้วเราก็อยากไปพบจิตแพทย์ด้วยเราก็ดีใจ นะคะ. เราอยากหายเศร้าเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นตัวประหลาดหรือเป็นอีบ้าที่อยู่ๆนั่งร้องไห้อยู่ๆก็น้ำตาไหล.
มาถึงตอนที่เราไปพบจิตแพทย์ครั้งแรกนะ. คือตอนแรกก็เกร็งๆเพราะหมอจิตเป็นผู้ชายด้วยเราเลยไม่กล้าเล่าแถมอึดอัด. พอได้ปรับสตินิดหน่อยก็เริ่มกล้าคุยขึ้น. พอคุยเสร็จก็รอพบคุณหมอผู้หญิง. ที่นี้ก็เล่าอาการให้ฟังสบายๆเลย พอคุณหมอจัดยาให้ตัวเเรกเป็น ฟูลล็อกซ์ 20g.
แล้วคุณหมอก็นัดทุกๆ1เดือน พอถึงวันที่นัดก็สอบถามอาการเรา เราก็บอกว่ามันยังไม่ค่อยดีขึ้น นอนไม่หลับฯลฯ แล้วคุณหมอก็เปลี่ยนยาให้เป็น แซนดอส 50g. อันนี้ดีขึ้นมาหน่อยใช้มา4-5เดือนแล้วแต่ก็ยังไม่หายขาด ล่าสุดตอนนี้ปิดเทอมคุณหมอเลยนัด2เดือนรอดูอาการหลังเปิดเทอม
ส่วนสิ่งที่เราจะถามก็ไม่เยอะแยะหรอกค่ะคือ
1. ที่บ้านญาติผู้ใหญ่มักจะมองว่าเราไม่ได้เป็นอะไรเราปกติดีเราบ้าๆบอๆไปเองติ๊งต๊องไปเอง พี่สาวก็ยังบอกว่าเราเรียกร้องความสนใจไปเอง เราได้ยินก็รู้สึกแย่นะแต่ทำได้แค่หัวเราะกลบเกลื่อนไป เพราะที่เขามองว่าเราปกติดี เราสนุกสนาน. ยิ้มแย้ม. มีความสุข. มันเป็นสิ่วที่เราสร้างขึ้นเพื่อจะให้เป็นเเบบนั้น เราไม่ได้มีความสุขจากใจจริง
2.เราควรทำอย่างไรดีกับญาติผู้ใหญ่ที่มีความคิดแบบนี้ เราก็อยากจะอธิบายแต่ยังไงเขาก็มองว่าไร้สาระ. แล้วก็ไม่เชื่อกันอยู่ดี
มีแค่นี้จริงๆค่ะที่อยากถาม
แต่ที่เล่ายาวๆอยากบอกประสบการณ์ที่เจอกับตัวมันไม่ง่ายเลยจริงๆ
การที่เรารู้สึกอยู่คนเดียวเนี่ย การที่เราต้องการกำลังใจ ความใส่ใจ ความรัก ไม่ได้เเปลว่าเราต้องการเรียกร้องความสนใจ [พยามพิมพ์แบบให้อ่านแล้วเฮฮาไม่เครียดกันนะฮะ]
สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจทุกคนที่ท้อแล้วก็เป็นโรคซึมเศร้าด้วยกันนะคะ