ทำไมผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าอพาร์ทเม้นท์ไม่รวมกลุ่มกันยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศของ สคบ.

แทนที่จะก้มหน้ารับชะตากรรม ผู้มีอำนาจออกคำสั่งมาอย่างไร ถึงไม่เป็นธรรมอย่างไร สร้างภาระแค่ไหน ก็ก้มหน้าปฏิบัติตาม  ทำไมไม่ลองสู้ดูสักตั้ง  โดยรวมกลุ่มกันยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศของ สคบ. ที่บังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าต้องจัดทำสัญญาเช่าตามแบบที่ สคบ.กำหนดเท่านั้น  

ในอดีต เคยมีหลายๆ กรณีที่หน่วยงานรัฐออกกฎหรือคำสั่งมาในลักษณะไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระให้แก่ผู้ประกอบการเกินควร  แล้วผู้ประกอบการไม่ยอมรับชะตากรรม แต่กลับเลือกสู้โดยยื่นฟ้องศาลปกครอง  สุดท้ายก็ชนะคดีในหลายๆ กรณี

ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่กรมการขนส่งทางบกออกกฎเกณฑ์บังคับให้แท็กซี่ที่จะจดทะเบียนใหม่จะต้องใช้แก๊ส NGV เท่านั้น  ถ้าไปติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่น จะไม่สามารถจดทะเบียนได้  ทางสมาคมผู้ประกอบการแท็กซี่ในขณะนั้น ก็ยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนกฎดังกล่าว โดยเห็นว่า เป็นการสร้างภาระเกินควรให้แก่ผู้ประกอบการ  สุดท้าย ศาลปกครองก็ตัดสินให้เพิกถอนกฎดังกล่าวเสีย

ถึงแม้การฟ้องคดีจะใช้เวลานานหลายปี   แต่ระหว่างที่ฟ้อง  เราก็สามารถยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลเพื่อขอให้ระงับการใช้กฎหรือคำสั่งทางปกครองดังกล่าวไปได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด


ที่สำคัญ  การฟ้องคดีต่อศาลปกครอง  จะต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วันนับแต่วันที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา  

ซึ่งหากผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย จะยื่นฟ้องศาลปกครอง  ก็จะเหลือเวลาจนถึงวันที่ 16 พ.ค. 61 ซึ่งเป็นที่ครบ 90 วันพอดี


-----------------------------------------------------------

ดีใจด้วยกับข้อสรุปของที่ประชุมของผู้ประกอบกิจการวันนี้ (2 พ.ค.61) ที่ลงมติกันว่า จะยื่นฟ้องศาลปกครอง นะครับ

เอาใจช่วย  สู้ๆ

ผมไม่ได้รับประกันว่าจะต้องชนะแน่ๆ 100%  แต่อย่างน้อยก็ควรลองดูสักตั้ง

ที่สำคัญ  อย่าลืมขอให้ทนายยื่นคำร้องพร้อมกันไปกับคำฟ้อง เพื่อขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจาณาโดยขอให้ชลอการบังคับใช้ประกาศฉบับนี้ออกไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด  ซึ่งหากศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับคำขอนี้  ช่วงนี้ พวกผู้ประกอบการก็ยังสามารถปฏิบัติไปเหมือนเดิมที่เคยทำได้ ไปจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 5-8 ปีข้างหน้า

ดูอย่างคดีแท็กซีฟ้องศาลปกครองเพื่อให้ยกเลิกคำสั่งของกรมการขนส่งทางบก  ฟ้องปี 2551  กว่าคดีจะถึงที่สุด ก็ปี 2558
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ทำไมถึงต้องฟ้องเพื่อให้เพิกถอนประกาศของ สคบ.?

เหตผลสำคัญเลย ก็คือ การที่ประกาศฉบับใหม่ห้ามมิให้มีข้อความว่า "ถ้าผู้เช่าค้างชำระค่าเช่าและถูกบอกเลิกสัญญาแล้ว ให้ผู้ให้เช่ามีสิทธิกลับเข้าคืนการครองครองทรัพย์สินที่เช่า และมีสิทธิทำลายกุญแจหรือสิ่งกีดกั้นของผู้เช่าที่นำมาติดตั้งไว้หน้าห้องเช่า  มีสิทธิขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่าออกมา และล็อกห้องไม่ให้ผู้เช่ากลับเข้าไปในห้องเช่าได้อีก"  

ข้อนี้เองที่จะเป็นจุดตายของผู้ประกอบการ  ไม่ใช่ข้อที่ห้ามเรื่องค่าน้ำค่าไฟห้ามเรียกเก็บเกินจริง  เพราะเรื่องนี้  สามารถแก้ไขง่ายๆ โดยการเพิ่มค่าเช่า   แต่การที่ห้ามผู้ให้เช่ากลับเข้าไปในห้องเช่า และขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่าออกมา อันนี้แหละสำคัญ

ผู้ประกอบการอาจจะคิดว่า ถ้าผู้เช่าไม่จ่ายค่าเช่า  อย่างมากก็แค่ตัดน้ำตัดไฟ เท่านี้เค้าก็อยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องย้ายออก

แต่อย่าลืมว่า  หากผู้เช่าอยู่ไม่ได้  เลยย้ายออกไป  แต่ไม่ได้ขนของออกไปด้วย แล้วล็อกห้องทิ้งไว้อย่างนั้น   ผู้ให้เช่าจะทำอย่างไร   จะกล้ารื้อทำลายกุญแจหรือ   ถ้าทำอย่างนั้น  ก็อาจจะโดนผู้เช่าหัวหมอ  ไปแจ้งความข้อหาบุกรุกได้  เป็นคดีความได้อีก

สุดท้าย ถ้าไม่อยากโดนแจ้งความ   ผู้ให้เช่าก็ต้องฟ้องศาลเพื่อขับไล่ผู้เช่าออกไป  ซึ่งกว่าคดีจะจบ  จะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี  เสียเงินเสียทองเสียเวลาอีกมากมายเท่าไหร่ แล้วยังไม่นับค่าเสียโอกาสในการนำห้องเช่าออกหารายได้อีก
ความคิดเห็นที่ 38
สิ่งสำคัญที่ต้องรีบทำโดยเร่งด่วนในตอนนี้ ไม่ใช่การหาทางเลี่ยงบาลีด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งไม่แน่ว่าจะได้ผล  หรือหวังพึ่งคำปรึกษาจาก สคบ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ออกประกาศฉบับนี้มาเอง

แต่คือการยื่นฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนประกาศฉบับนี้ ภายใน 16 พ.ค. นี้  ไม่อย่างนั้น ก็จะหมดอายุความ  และหมดสิทธิ์ที่จะฟ้องคดีตลอดไป (แต่ก็มีข้อยกเว้นบางประการที่จะทำให้ยังมีสิทธิฟ้องได้อยู่)

และที่สำคัญ  ตอนยื่นฟ้อง  ควรต้องยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว (ในคดีปกครอง จะเรียกว่า คำขอทุเลาการบังคับ) ไปพร้อมกันด้วยเพื่อให้ศาลปกครองสั่งระงับการใช้ประกาศฉบับนี้ออกไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

การฟ้องคดีในศาลปกครอง ไม่ได้ยุ่งยาก  แต่ง่ายกว่าการฟ้องคดีในศาลแพ่งหรือศาลอาญาเสียอีก  เพราะเป็นการสู้คดีกันทางเอกสาร  ยื่นเอกสารและพยานหลักฐานต่างๆ ให้ศาลพิจารณาทางเอกสาร  จากนั้น ก็รอศาลมีคำตัดสิน  ไม่จำเป็นต้องเอาพยานหลักฐานไปนำสืบบลาๆๆ กันในศาล   มีทนายหลายๆ คนที่ทำคดีปกครองได้เก่งๆ และชำนาญเยอะแยะ (แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน ฉะนั้น ไม่ต้องหลังไมค์มาครับ)  น่าจะลองรวมขันกันจ้างสักคนนะครับ  เอาใจช่วย สู้ๆ

ผมแค่มาแนะนำเพราะไม่อยากให้พลาดเดดไลน์ในการฟ้องคดีไป  ซึ่งจะน่าเสียดายมากที่ไม่ได้ลองสู้กันสักตั้ง (คิดดูว่าถ้าเจ๊ติ๋ม ทีวีพูลเป็นเหมือนกับทีวีดิจิตอลฃ่องอื่นคือถอดใจไม่สู้  คงต้องเสียเงินหลักหลายร้อยล้านพันล้านให้แก่ กสทช.ไปแล้ว  แต่เจ๊แกไม่ถอดใจ  เลือกที่จะสู้  จึงมีวันนี้ได้ อิอิ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่