"กลบท กลอักษร" ปัญญากวีไทย

ช่วงนี้มีละครไทยที่ใช้กวีไทยถึงสองเรื่องสองรส ทั้ง "กาหลมรทึก" ที่ขมวดปมเต็มที กับ "หนึ่งด้าวฟ้าเดียว" ที่เพิ่งเปิดตัว ถือเป็นการพลิกหน้าละครไทยที่เคยมีมา บันเทิงไปพร้อมกับลับสมองด้วยกลกวีไทย ซึ่งเป็นการดีที่ทำให้คนที่อาจลืมเลือนปริศนาอักษรได้กลับมาสนใจ และทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักได้รู้จักกับอีกด้านของกวีไทย ที่มีทั้งความสวยงามและความงงงวยในรูปแบบ "กลบท" และ "กลอักษร" มากขึ้น

คิดว่าหลายคนดูละครทั้งสองเรื่องนี้แล้ว อาจนึกสนใจกลบทอื่นๆ นอกเหนือจากนี้บ้าง เพราะจขกท.เองก็กลับไปรื้อค้นตำราเก่าสมัยเรียนม.ปลายเมื่อนานมาแล้ว เกิดหวนนึกถึงวันวานตอนคิดคำหัวแทบแตก จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะแบ่งตำราที่เคยเรียนให้ผู้ที่สนใจความงามและซับซ้อนทางวรรณศิลป์ไทยได้ศึกษากัน

ฉะนั้นจึงขอนำเสนอ "กลบท กลอักษร" ที่ไม่ใช่ "กลบท กลโคลง" ที่ปรากฏในละครทั้งสองเรื่องที่กำลังออนแอร์ เพราะสามารถหาอ่านได้ในกระทู้ "ถอดรหัส “กลบท” จาก กาหลมหรทึก สู่ >> หนึ่งด้าวฟ้าเดียว" ของคุณ Pooh Of The Hundred Acre Wood [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ทั้งนี้ขออ้างอิงจากตำราที่เคยใช้ชื่อ "หลายรสกลบทกลอน" ของ ผศ.ดร. โดม สว่างอารมณ์ ซึ่งเป็นอ.ผู้เปิดโลกกวีให้จขกท. และทำให้กลายเป็นคนชอบด้านภาษาในที่สุด ตำรานี้ได้รวบรวมกลบทเก่าที่อ.ท่านชื่นชอบและฝึกแต่ง และเขียนแนะนำผู้สนใจให้รู้จักกลบทไทยอย่างง่ายๆ แต่ไม่ได้รวมกลบทไทยทั้งหมดเพราะมีเยอะมาก

หวังว่ากระทู้นี้จะไม่สาระหนักเกินไปจนหนีไปกินยาพารากันเสียก่อน ส่วนใครอ่านแล้วนึกสนุกลองฝึกแต่ง สามารถนำแบ่งปันกันอ่านได้นะคะ
มาลับสมองประลองปัญญาไปด้วยกัน !!!

กลอักษร สามารถเลื่อนลงไปอ่านได้ที่ คห. 1 >>> https://ppantip.com/topic/37607593/comment1




อะไรคือ “กลบท” ?

กลบท คือ กวีนิพนธ์ที่แต่งให้พิสดารล้ำลึกทางภาษาศิลป์มากกว่ากลอนกวีปกติทั่วไป มีบังคับฉันทลักษณ์ตามปกติ แต่จะมีการเล่นคำ เล่นอักษร ซ่อนคำ/ ความหมาย เพิ่มสัมผัส อ่านเดินหน้าถอยหลัง ฯลฯ แล้วแต่คนประพันธ์จะครีเอทกัน เป็นการประลองปัญญาระหว่างผู้ประพันธ์กับผู้อ่าน ซึ่งแบ่งย่อยได้มากมาย แต่สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภท คือ “กลบท” และ “กลอักษร” โดยกลบทถือเป็นพื้นฐานในการสร้างกลอักษรอีกที เพราะบางทีมันก็มารวมตัวกันให้ปวดหัวกว่าเดิม

กลบท = การแต่งคำประพันธ์ที่เป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และอื่นๆ โดยเล่นคำ เล่นอักษร ให้มีสัมผัสบังคับเพิ่มเติม เพื่อความวิจิตรบรรจงแห่งถ้อยคำ

กลอักษร = การแต่งคำประพันธ์โดยวางอักษรให้เป็นกล ซ่อนคำ ซ่อนวิธีอ่าน ผู้อ่านจะต้องรู้วิธีอ่านก่อน จึงจะถอดคำประพันธ์ชนิดนั้นๆ ออกได้




1. กลบทใช้คำซ้ำ

กลบทประเภทนี้จะซ้ำคำเพื่อสร้างลักษณะเด่นของภายในวรรค ในวรรคหนึ่งอาจใช้คำซ้ำมากกว่า 1 คู่ แต่ละคู่อาจใช้คำซ้ำให้อยู่ชิดกัน หรือแยกกันก็ได้ ซึ่งมีหลายกลบทที่ใช้วิธีการซ้ำคำ อาทิ กลบทธงนำริ้ว กลบทร้อยรัก กลบทสะบัดสะบิ้ง กลบทอักขระโกศล กลบทหงส์คาบพวงแก้ว


1.1 กลบทธงนำริ้ว เป็นกลบทใช้คำซ้ำ โดยกำหนดให้มีการซ้ำคำคู่แรกของทุกวรรค  

บังคับของกลบทธงนำริ้ว  >>> OOO OO OOO
ตัวอย่างกลบทธงนำริ้ว จากประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ

                                                                         


1.2 กลบทรักร้อย เป็นกลบทใช้คำซ้ำอีกชนิด แต่เปลี่ยนตำแหน่งการซ้ำมาซ้ำคำภายในวรรคแทน โดยจะซ้ำคำท้ายของช่วงแรก และ คำแรกของช่วงกลาง

บังคับของกลบทธงนำริ้ว  >>> OOO OO OOO

ตัวอย่างกลบทรักร้อย จากประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ




1.3 กลบทสะบัดสะบิ้ง เป็นกลบทใช้คำซ้ำที่สะบัดสะบิ้งสมชื่อ ลักษณะเด่นอยู่ที่ 4 คำท้ายวรรค เพราะจะใช้คำ 4 คำ ของท้ายวรรคทุกวรรคเล่นเสียงล้อกัน และต้องซ้ำคำและมีสัมผัสด้วย โดยใน 4 คำท้ายนั้น จะซ้ำคำในคำที่ 1 และ 3  ส่วนคำที่ 2 และ 4 นั้นเป็นสัมผัสพยัญชนะ และคำที่ 2 ใน 4 คำท้าย จะต้องสัมผัสสระกับคำสุดท้ายของช่วงกลางหรือคำที่ 5 ของวรรค  

บังคับของกลบทสะบัดสะบิ้ง  >>> สีแดง = คำซ้ำ/ เส้นสีน้ำเงิน = สัมผัสพยัญชนะ/ เส้นสีดำ = สัมผัสสระ

ตัวอย่างกลบทสะบัดสะบิ้ง จากประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ




1.4 กลบทอักขระโกศล เป็นกลบทใช้คำซ้ำ โดยวางคำเป็นกลอนเจ็ด จะซ้ำคำที่ 1 และ 3 ในทุกต้นวรรค และมีสัมผัสพยัญชนะอีก 2 คู่ ซึ่งเป็นกลบทลักษณะตรงข้ามกับกลบทสะบัดสะบิ้งที่ซ้ำท้ายวรรค

บังคับของกลบทอักขระโกศล  >>> สีแดง = คำซ้ำ/ เส้นสีน้ำเงิน = สัมผัสพยัญชนะ

ตัวอย่างกลบทอักขระโกศล จากกลบทศิริวิบุลกิตติ์




1.5 กลบทหงส์คาบพวงแก้ว เป็นกลบทใช้คำซ้ำ แต่กลบทนี้จะยากขึ้นกว่า 4 กลบทข้างต้นคือ กำหนดให้คำในแต่ละวรรคใช้ 9 คำ โดยมีคำซ้ำ 2 คู่ ในแต่ละวรรค ตำแหน่งที่ใช้คำซ้ำในวรรคคือ คำที่ 3 - 4  และ คำที่ 6 - 7    

บังคับของกลบทหงส์คาบพวงแก้ว  >>> OOO OOO OOO

ตัวอย่างกลบทหงส์คาบพวงแก้ว จากประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ (พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)



1.6 กลบทฉัตรสามชั้น เป็นกลบทใช้คำซ้ำอีกชนิด ซึ่งมีทั้งแบบวรรคละ 8 คำ และ 9 คำ โดยทุกวรรคจะใช้คำ 3 คำต้นวรรค ซ้ำกับ 3 คำท้ายวรรคโดยอ่านถอยกลับจากคำสุดท้าย อ่านวิธีการแล้วมึนระเบิด ดูผังดีกว่าค่ะ

บังคับของกลบทฉัตรสามชั้น  >>>

ตัวอย่างกลบทฉัตรสามชั้น จากกลบทศิริวิบุลกิตติ์




1.7 กลบทกระแตไต่ไม้ เป็นกลบทใช้คำซ้ำเช่นเดียวกับกลบทฉัตรสามชั้นที่อ่านถอยหลัง แต่วิธีการก็ปวดหัวขึ้นมาอีก มีเงื่อนไขดังนี้
      1. วรรคที่ 1   ใช้คำซ้ำ 3 คำ ต้นวรรค  กับ  3  คำ  ท้ายวรรค
      2. วรรคที่ 2   ใช้คำซ้ำ 2 คำ ต้นวรรค  กับ  2  คำ  ท้ายวรรค
      3. วรรคที่ 3   ใช้คำซ้ำ 1 คำ ต้นวรรค  กับ  1  คำ  ท้ายวรรค
      4. วรรคที่ 4   ใช้คำซ้ำ 3 คำ ต้นวรรค  กับ  3  คำ  ท้ายวรรคใหม่อีกรอบหนึ่งเหมือนวรรคที่ 1 และ วรรคที่ 5 ก็ไล่เรียงตามลำดับไป

อ่านวิธีการแล้วก็ยังงงงวย ไม่เป็นไรค่ะ ตามมาดูผังค่ะ
บังคับของกลบทกระแตไต่ไม้  >>>

ตัวอย่างกลบทกระแตไต่ไม้ จากกลบทศิริวิบุลกิตติ์




2. กลบทเล่นพยัญชนะ

กลบทประเภทนี้จะเพิ่มบังคับพยัญชนะ บังคับการซ้ำเสียงพยัญชนะ อาจเป็นการซ้ำพยัญชนะต้นวรรค กลางวรรค หรือท้ายวรรค โดยจะซ้ำพยัญชนะในทุกวรรคหรือทุกบาทตลอดการแต่ง กลบทประเภทนี้ก็มีอยู่มากมายหลายแบบ อาทิ กลบทเบญจวรรณห้าสี กลบทอักษรสลับล้วน กลบทละลอกแก้วกระทบฝั่ง ฯลฯ


2.1 กลบทเบญจวรรณห้าสี ลักษณะบังคับในกลบทนี้คือ ในทุกต้นวรรคต้องใช้พยัญชนะเรียงซ้ำติดกัน 5 คำ โดยเลือกใช้พยัญชนะใดก็ได้ ทั้งนี้ลักษณะกลบทที่ใช้บังคับด้วยเสียงพยัญชนะ มักใช้อักษรสูงและอักษรต่ำร่วมกันได้ และพยัญชนะ "ศ ษ ส" ก็ใช้ร่วมกันได้เช่นกัน ดังเช่นตัวอย่างในวรรคที่ 1 และ 2

บังคับกลบทเบญจวรรณห้าสี  >>> OOOOO OOO

ตัวอย่างกลบทเบญจวรรณห้าสี จากประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ (หลวงนายชาญภูเบศร์)



2.2 กลบทอักษรสลับล้วน เป็นกลบทบังคับพยัญชนะ โดยจัดให้ภายในวรรคมีเสียงพยัญชนะซ้ำกันเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 3 คำ และในวรรคจะต้องมีสัมผัสสระอีก 2 คู่ คือระหว่างคำท้ายช่วงที่ 1 กับ คำต้นช่วงที่ 2 และ คำท้ายช่วงที่ 3 กับ คำต้นช่วงที่ 4

บังคับของกลบทอักษรสลับล้วน  >>> ก ก         ค ค
*ขีดเส้นใต้ = สัมผัสสระ

ตัวอย่างกลบทอักษรสลับล้วน จากกลบทศิริวิบุลกิตติ์



2.3 กลบทละลอกแก้วกระทบฝั่ง เป็นกลบทบังคับพยัญชนะที่กำหนดให้ภายในวรรคหนึ่งมี 9 คำ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 3 คำ แต่ 3 คำในช่วงแรกต้องใช้พยัญชนะซ้ำกับ 3 คำในช่วงที่ 2 และ 3 คำสุดท้ายไม่บังคับ

บังคับของกลบทละลอกแก้วกระทบฝั่ง  >>> เส้นสีน้ำเงิน = สัมผัสสระ

  
ตัวอย่างกลบทกลบทละลอกแก้วกระทบฝั่ง จากประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ (นายเกต)




3. กลบทบังคับครุ-ลหุ

กลบทประเภทนี้มีลักษณะเด่นที่เสียงหนักเบาสลับกันไป ทำให้บทกลอนมีทำนองสูงต่ำสลับกัน ซึ่งผู้แต่งต้องมีความรู้และเชี่ยวชาญเรื่องคำครุ-ลหุ อ.โดม สว่างอารมณ์ ถึงกับเขียนไว้ในตำราว่า "ถ้าผู้แต่งที่ไม่คล่องในเรื่อง ครุ-ลหุ จะแต่งเล่นบ้าง คงพบกับมหันตภัยทางความคิด"

จขกท.ก็คิดว่ามันนรกมากจริงๆ เพราะไม่สันทัดเรื่องครุ-ลหุเอาเสียเลย มันปวดหัวคิดคำไม่ออก และไม่แน่ใจว่ามันครุหรือลหุกันแน่ ฉะนั้นขออธิบายเรื่องคำครุ-ลหุ คร่าวๆ สักนิด เผื่อคนไม่เข้าใจจะได้ตามทัน ทั้งนี้หากใครเชี่ยวชาญเรื่องครุ-ลหุ สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้นะคะ จะได้เข้ามาแก้ไขให้ถูกต้อง ขอบอกว่าเกลียดมันมาก ครุ-ลหุ เนี่ย

ครุ = เสียงหนัก หลักสังเกต คือ คำหรือพยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงยาวไม่มีตัวสะกด คำหรือพยางค์ที่ประสมด้วยสระ -ำ / ใ- / ไ- / เ-า
หรือ คำหรือพยางค์ที่มีตัวสะกดทุกแม่

ลหุ = เสียงเบา หลักสังเกต คือ คำหรือพยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นไม่มีตัวสะกด หรือพยางค์ที่มีพยัญชนะเพียงตัวเดียว เช่น ณ ธ บ่  


กลบทตะเข็บไต่ขอน  เป็นกลบทที่ใช้บังคับครุ-ลหุ โดยนำพื้นฐานการแต่งฉันท์เข้าประกอบ ซึ่งจะใช้ "ลหุ-ครุ" สลับกันไปตลอดวรรค จำนวน 6 คู่ วรรคหนึ่งจะมี 12 พยางค์ และใช้เสียง "ลหุ" ซึ่งเป็นเสียงเบานำ แล้วใช้เสียง "ครุ" ซึ่งเป็นเสียงหนักตาม

บังคับของกลบทตะเข็บไต่ขอน  >>>   ลหุ ครุ ลหุ ครุ   ลหุ ครุ ลหุ ครุ   ลหุ ครุ ลหุ ครุ

ตัวอย่างกลบทตะเข็บไต่ขอน  จากประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ (พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)


อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่