ติดตาม Pantip ก็นาน เป็นทั้งผู้อ่านและผู้เขียน (ส่วนใหญ่อ่านซะเยอะ) วันนี้ได้มีโอกาสกลับมาเขียนอีกครั้งนึงหลังจากทิ้งช่วงไปนาน อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ ขั้นตอน และปัญหาอุปสรรคที่พบเจอให้กับคนที่สนใจเปิดร้านอาหาร ที่เป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคนในที่นี้
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นประวัติความเป็นมาก่อนว่า ทำไมถึงมาสนใจเปิดร้านชาบู? ปัจจุบันผมทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหา ซึ่งโดยปกติธุรกิจประเภทนี้ต้องวางแผนและก่อสร้างใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะผลิดอกออกผลให้เก็บกินได้ก็เป็นปีๆ ผมจึงมีไอเดียว่าอยากหาช่องทางรายได้อีกทางหนึ่งมาเสริมระหว่างทำธุรกิจหลักไปด้วย ประจวบเหมาะกับว่าแฟนพอมีทักษะด้านอาหารจึงคุยกันว่าสนใจทำ แต่จะทำพวกประเภทอะไรดีหละ? ที่ไม่ต้องปวดหัวเรื่องพ่อครัว-แม่ครัวซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของร้านอาหารหลายๆร้านหรือเรื่องวัตถุดิบไม่อยากทำเองทุกอย่างเพราะจะใช้เวลาเตรียมการค่อนข้างมาก ระหว่างนี้ก็รวบรวมทำข้อมูลต่างๆและพิจารณาความเป็นไปได้ จึงสรุปว่าจะเลือกเปิดประเภท “ชาบู” ซึ่งตอบโจทย์ปัญหาที่คุยกันไว้
การคิดวางแผนและลงมือทำ
ทำเล “ตลาดพลู” เป็นที่ตั้งของร้านที่ผมเลือก ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทั้งเป็นแหล่งของกินที่หลายคนรู้จักและเดินทางสะดวกใกล้บ้านดูแลทั่วถึง หลังจากได้ที่ตั้งก็เริ่มต้นวางแผนประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆในการลงทุนเปิดร้าน ซึ่งโชคดีผมพอมีพื้นฐานงานก่อสร้าง จึงสามารถประมาณการณ์ค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงความจริง ซึ่งอยู่ที่ 550,000 บาท โดยแยกประเภทคร่าวๆดังนี้
• ค่าตกแต่ง 150,000 บาท
• ค่าอุปกรณ์ภายในร้าน 150,000 บาท
• ค่าเช่า 75,000 บาท
• เงินทุนหมุนเวียน 100,000 บาท
• ค่าการตลาด 75,000 บาท
จากนั้นจึงลองทำแบบ Sketch up ขึ้นมาโดยได้ความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้ใจดี ในราคากันเอง (กราบงามๆ 3 ที)
ได้ภาพ 3D แล้วขั้นตอนต่อมาก็ไปให้ผู้รับเหมาประเมินราคามาเฉพาะค่าตกแต่งภายในก็เกือบเท่างบ 150,000 ที่ตั้งไว้ เห็นตัวเลขแล้วก็จุกเลยครับเพราะว่าราคานี้เป็นการเสนองานตกแต่งบางส่วนไม่ครบทั้งหมด ถึงตรงนี้ผมก็ต้องเปลี่ยนแผนมาคุมงานตกแต่งเองเพื่อลดต้นทุนโดยจ้างช่างแยกเป็นงานๆรวมถึงซื้ออุปกรณ์เองบางอย่าง ซึ่งก็ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เกือบครึ่งเลยทีเดียว ด้านล่างนี้เป็นภาพบางส่วนตอนตกแต่งร้านนะครับ
ขึ้นโครงเตรียมทำผนังเบากั้นห้องครัว
เรื่องอุปกรณ์พวกโต๊ะเก้าอี้ เครื่องครัว และจิปาถะ ก็เปรียบเทียบราคาและคุณภาพจากทั้งอินเตอร์เน็ตและร้านค้าขายส่งหลายๆแห่งก่อนตัดสินใจซื้อ บางอย่างก็เลือกด้วยราคา แต่ของใช้เครื่องครัวที่จำเป็นก็ต้องเลือกคุณภาพเป็นหลัก ซึ่งทุกอย่างก็ได้มาในราคาที่ไม่เกินงบที่ตั้งไว้
และเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้คือวัตถุดิบและรสชาติอาหารในส่วนนี้ผมกับแฟนก็ต้องตระเวนหา Supplier ตามอินเตอร์เน็ตและงานแฟร์ต่างๆซึ่งมีให้เลือกเยอะมากๆตาลายไปหมด ซึ่งต้องดูหลายปัจจัยมาประกอบกันทั้งคุณภาพ ราคา รสชาติ ระยะเวลาในการจัดส่ง ขั้นต่ำในการสั่งซื้อ วิธีจัดเก็บสินค้าและอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้ก็ใช้เวลามากพอสมควรเช่นกันครับ
อุปสรรคและปัญหา
ดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ด้วยดีตามที่คิดแต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองข้าม ซึ่งส่งผลกระทบพอสมควรต่อแผนงานที่ได้วางไว้อย่างมาก
1.
งานไฟฟ้า : เหตุเริ่มจากมีคนมาทักว่าหากทำร้านชาบู รู้มัยว่าเตาไฟฟ้าใช้กระแสไฟเยอะมากเลยนะของเก่าที่มีไม่น่าจะพอ ด้วยความที่ผมเริ่มสงสัยบวกกับว่าจะใกล้ช่วงเปิดร้านแล้วต้องเช็คให้เรียบร้อยจึงรีบหาข้อมูลและถามคนรอบข้างแต่ก็ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด ผมจึงคิดว่าไปที่การไฟฟ้าเพื่อขอคำปรึกษาซะเลยชัวร์แน่นอนและถ้าต้องขอเพิ่มจะได้ทำเรื่องรอได้เลยไม่เสียเวลา โชคดีเจอจนท.ท่านหนึ่งมาให้ความช่วยเหลือแล้วก็เป็นดังที่เค้าทัก ร้านต้องใช้ไฟ 3 เฟส 4 สาย 30(100) จึงจะเพียงพอ ค่าใช้จ่ายตามภาพ
เงินส่วนนี้เกือบ 40,000 บาทเป็นตัวเลขที่สูงมาก ซึ่งไม่ได้อยู่ในงบที่ผมตั้งเอาไว้ตั้งแต่ทีแรก เล่นเอาเครียดอยู่เหมือนกันครับ โชคยังดีที่ค่าตกแต่งใช้เงินน้อยกว่าที่คิดไว้พอสมควรเลยพอจะมาถัวกันไปได้บ้าง
2.
ช่างติดตั้ง : ผมได้ว่าจ้างช่างไฟฟ้าให้เข้ามาเดินสายไฟต่างๆภายในร้านตกลงราคา เนื้องาน จำนวนคน วันเวลาเสร็จสิ้นกันเรียบร้อยก็เริ่มงาน ถึงตอนทำจริงมาคนเดียวใช้เวลาไปร่วม 3 อาทิตย์ จากแผนที่ตอนแรกตกลงว่าจะมา 2-3 คน ใช้เวลาไม่เกิน 1 อาทิตย์ และช่างที่ทำยังขาดความรู้เรื่องไฟฟ้าที่ดีพอเพราะต้องเดินสายไฟทุกอย่างพร้อมทำตู้เมนไฟฟ้าให้เรียบร้อยเพื่อให้การไฟฟ้ามาติดมิเตอร์ใหม่จัมป์ไฟเข้าร้านค้า ซึ่งจุดนี้ก็ทำให้เสียเงินเพิ่มเพราะช่างติดตั้งผิดสเปคและการไฟฟ้าไม่ยอม สุดท้ายทั้งเสียเวลาแก้และเสียเงินมากขึ้นไปอีก
3.
เวลา : จากปัญหาสองเรื่องข้างต้นทำให้กระทบแผนงานการเปิดร้านของผมทั้งหมด งานอื่นๆจึงพลอยล่าช้าไปด้วยทั้งสื่อการตลาด อุปกรณ์ร้านค้า วัตถุดิบ รับสมัครพนักงาน กระทบกันเป็นทอดๆ ต้องมานั่งแก้ไขปรับเปลี่ยนแผนเฉพาะหน้าใหม่หมดเพื่อให้เสียหายน้อยที่สุด
(ตัวอย่างแผนงานที่วางไว้ จริงๆมีมากกว่านี้แต่ปรับแก้มาโดยตลอด สุดท้ายก็ทำทันแค่บางส่วน)
4. การเปิดร้าน : ช่วงที่เริ่มทำร้านคือเดือนต.ค. ตามแผนมีเวลา 1-1.5 เดือนเพื่อให้เสร็จทันเดือนพ.ย. ไม่อยากไปเปิดใกล้ช่วงเดือนธันวามากไปเพราะจะเป็นช่วงเทศกาลและหยุดสิ้นปีซึ่งวันขายจะน้อยลง แต่ด้วยปัญหาที่บอกไป ผมจึงต้องยอมเลื่อนเปิดไปช่วงเดือนธันวา เพราะความไม่พร้อมในหลายๆด้าน
ช่วงเปิดร้าน
เดือนแรกเปิดร้านมามีติดขัดหลายอย่างโดยเฉพาะเมนูอาหาร มีการปรับเปลี่ยนเพิ่ม-ลดหลายเมนู เพราะต้องดูหลายๆปัจจัยโดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบและความต้องการของลูกค้า จากการเปิดมาซักระยะได้มีโอกาสคุยกับลูกค้า ส่วนใหญ่แนะนำว่าควรมีเมนูรูปภาพจะช่วยให้เลือกอาหารได้ง่ายขึ้นเพราะตอนแรกเป็นแค่ใบรายการธรรมดา จึงได้ออกแบบใหม่โดยถ่ายภาพอาหารเองเพราะสู้ราคาไม่ไหว(อีกแล้ว 555) แต่การดีไซน์เมนูต้องจ้างครับทำเองไม่สวยเท่าคนทำทุกวัน
ต่อมาลูกค้าบอกร้านดูโล่งไปหน่อยน่าตกแต่งเพิ่ม ซึ่งของเดิมเป็นแค่ผนังขาวไม่มีอะไรเลยเพราะรีบเร่งเปิดร้านหาของตกแต่งไม่ทัน จึงได้เพิ่มต้นไม้ รูปภาพ และสติกเกอร์เก๋ๆ เพื่อให้บรรยากาศน่านั่งมากยิ่งขึ้น
เปิดร้านเดือนแรกยอดขายไม่ได้ตามเป้าเหมือนที่คิดไว้ เพราะรู้ว่าจำนวนวันขายค่อนข้างน้อย หลายอย่างต้องปรับเปลี่ยนเฉพาะหน้าจาก Feedback ของลูกค้าและช่วงปลายเดือนก็เริ่มหยุดยาวไปเที่ยวกันหมด และอีกสิ่งหนึ่งน่าจะมาจากสื่อประชาสัมพันธ์ที่มีแค่ป้ายหน้าร้านคนยังไม่ค่อยรู้จัก จนเดือนถัดๆมาผมจึงเริ่มทยอยทำการตลาดเพิ่มขึ้นทั้งสื่อ Online และ Offline ผลลัพธ์ก็ดีขึ้นมากในช่วงแรก แต่เดือนถัดๆมายังคงทรงตัวไม่หวือหวา ซึ่งผมก็คิดว่าคงต้องค่อยๆลองแก้ไขปรับเปลี่ยนกันไป มีหลายคนเคยบอกกับผมว่าการทำร้านอาหารต้องอดทนและให้เวลากับมัน ดูทรงแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้เปิดมาได้ประมาณ 4 เดือนกว่า คงต้องทยอยทำสื่อและโปรโมชั่นให้มากขึ้นเพื่อให้ลูกค้ามาลองทานและสะสมฐานลูกค้าไปเรื่อยๆในอนาคต
ภาคสรุป
งบลงทุนรวมทุกอย่างประมาณ 470,000 บาท รวมวัตถุดิบ ค่าตกแต่งและอุปกรณ์ทุกอย่างแล้ว ถือว่าใกล้เคียงไม่เกินงบที่ตั้งเอาไว้แต่แรก ส่วนที่เหลือไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆและเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละเดือน
พอสรุปตัวเลขดูแล้วก็มีความรู้สึกว่าเราเดินทางมาตั้งครึ่ง(ล้าน)ทางแล้วนะ ถึงจุดนี้ก็ถอยหลังไม่ได้ต้องสู้อย่างเดียวครับ ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก สุดท้ายนี้ใครที่สนใจอยากเปิดร้านอาหารก็ลองคิดและวางแผนกันดีๆนะครับ รายละเอียดค่อนข้างเยอะและมีปัญหาให้แก้ได้ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่ผมเล่าไปมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งแต่ยังมีอีกทั้งปัญหาพนักงาน วัตถุดิบขึ้นราคา สินค้าส่งมาไม่ตรงเวลา ของขาดตลาดหรือส่งมาไม่ตรงตามสเปค การกะปริมาณสต๊อคสินค้าให้พอดีกับการขาย สินค้าหมดอายุก่อนกำหนด ลูกค้าไม่พอใจ ฯลฯ
ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากน้อยแค่ไหน ถึงจะมีท้อบ้าง แต่ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นแรงบันดาลใจและประโยชน์ไม่มากก็น้อยให้กับคนที่อยากเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
[CR] อุปสรรคที่ต้องก้าวข้ามกับการเปิด “ร้านอาหาร” ครั้งแรก
ติดตาม Pantip ก็นาน เป็นทั้งผู้อ่านและผู้เขียน (ส่วนใหญ่อ่านซะเยอะ) วันนี้ได้มีโอกาสกลับมาเขียนอีกครั้งนึงหลังจากทิ้งช่วงไปนาน อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ ขั้นตอน และปัญหาอุปสรรคที่พบเจอให้กับคนที่สนใจเปิดร้านอาหาร ที่เป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคนในที่นี้
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นประวัติความเป็นมาก่อนว่า ทำไมถึงมาสนใจเปิดร้านชาบู? ปัจจุบันผมทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหา ซึ่งโดยปกติธุรกิจประเภทนี้ต้องวางแผนและก่อสร้างใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะผลิดอกออกผลให้เก็บกินได้ก็เป็นปีๆ ผมจึงมีไอเดียว่าอยากหาช่องทางรายได้อีกทางหนึ่งมาเสริมระหว่างทำธุรกิจหลักไปด้วย ประจวบเหมาะกับว่าแฟนพอมีทักษะด้านอาหารจึงคุยกันว่าสนใจทำ แต่จะทำพวกประเภทอะไรดีหละ? ที่ไม่ต้องปวดหัวเรื่องพ่อครัว-แม่ครัวซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของร้านอาหารหลายๆร้านหรือเรื่องวัตถุดิบไม่อยากทำเองทุกอย่างเพราะจะใช้เวลาเตรียมการค่อนข้างมาก ระหว่างนี้ก็รวบรวมทำข้อมูลต่างๆและพิจารณาความเป็นไปได้ จึงสรุปว่าจะเลือกเปิดประเภท “ชาบู” ซึ่งตอบโจทย์ปัญหาที่คุยกันไว้
การคิดวางแผนและลงมือทำ
ทำเล “ตลาดพลู” เป็นที่ตั้งของร้านที่ผมเลือก ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทั้งเป็นแหล่งของกินที่หลายคนรู้จักและเดินทางสะดวกใกล้บ้านดูแลทั่วถึง หลังจากได้ที่ตั้งก็เริ่มต้นวางแผนประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆในการลงทุนเปิดร้าน ซึ่งโชคดีผมพอมีพื้นฐานงานก่อสร้าง จึงสามารถประมาณการณ์ค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงความจริง ซึ่งอยู่ที่ 550,000 บาท โดยแยกประเภทคร่าวๆดังนี้
• ค่าตกแต่ง 150,000 บาท
• ค่าอุปกรณ์ภายในร้าน 150,000 บาท
• ค่าเช่า 75,000 บาท
• เงินทุนหมุนเวียน 100,000 บาท
• ค่าการตลาด 75,000 บาท
จากนั้นจึงลองทำแบบ Sketch up ขึ้นมาโดยได้ความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้ใจดี ในราคากันเอง (กราบงามๆ 3 ที)
ได้ภาพ 3D แล้วขั้นตอนต่อมาก็ไปให้ผู้รับเหมาประเมินราคามาเฉพาะค่าตกแต่งภายในก็เกือบเท่างบ 150,000 ที่ตั้งไว้ เห็นตัวเลขแล้วก็จุกเลยครับเพราะว่าราคานี้เป็นการเสนองานตกแต่งบางส่วนไม่ครบทั้งหมด ถึงตรงนี้ผมก็ต้องเปลี่ยนแผนมาคุมงานตกแต่งเองเพื่อลดต้นทุนโดยจ้างช่างแยกเป็นงานๆรวมถึงซื้ออุปกรณ์เองบางอย่าง ซึ่งก็ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เกือบครึ่งเลยทีเดียว ด้านล่างนี้เป็นภาพบางส่วนตอนตกแต่งร้านนะครับ
อยากทำร้านออกมาสไตล์ Loft เลยซื้อกระเบื้องบปก.มาตกแต่งผนัง โดยจ้างช่างปูกระเบื้องให้
เดินท่อเหล็กร้อยสายไฟ ติดตั้งตู้เมนไฟ พร้อมไฟดาวน์ไลท์ส่องสว่างตามจุดต่างๆ และแล้วก็เจอปัญหาที่คาดไม่ถึง (อ่านเพิ่มได้ที่หัวข้ออุปสรรคและปัญหา)
เดิมด้านหน้าร้านเป็นกล่องประตูเหล็กม้วนไม่สวยเท่าไร จึงติดตั้งโครงเหล็กยึดผนังปิดหน้าด้วยโครงสมาร์ทบอร์ดแบบเซาะร่องพร้อมเลือกใช้สีโอ๊คเข้มทาให้ดูเหมือนไม้จริง ซึ่งราคาประหยัดกว่าการใช้ไม้เทียมและไม้จริงค่อนข้างเยอะ แถมยังทนแดดทนฝน พร้อมด้วยติดป้ายโลโก้ร้านใช้โครงสแตนเลสพ่นสีดำ ไฟ LED ออกหน้าเพื่อให้เด่นสะดุดตาในเวลากลางคืน
ติดตั้งไฟสปอตไลท์และไฟดาวน์ไลท์เพิ่มเพื่อความสว่างให้เห็นเด่นชัดตอนกลางคืนมากยิ่งขึ้นเพราะร้านเปิดช่วง 17.00-23.00
ทำราวระเบียงกั้นโดยลองดูหลายๆไอเดียจาก Internet แล้ววาดรูปออกมาคร่าวๆให้ช่างทำตามแบบของเรา โดยใช้โครงเหล็กกล่องและเหล็กแบนพร้อมติดตั้งตะแกรงเหล็กฉีกทาสีดำให้ได้อารมณ์แบบ Loft และวางราวจับไม้เทียม
ทีแรกตั้งใจจะ Built-in เคาน์เตอร์ทำงาน คิดรูปแบบในหัวเรียบร้อยส่งให้ผรม. เสนอมาเกือบ 40,000 บาท แทบกลับลำไม่ทัน ผมจึงต้องพับโครงการเปลี่ยนแผนไปหาแบบลอยตัวมาแทนดังภาพในราคาไม่ถึงหมื่น ไม่เกินงบตามที่ตั้งไว้พร้อมความสวยงามในแบบที่คิด
เรื่องอุปกรณ์พวกโต๊ะเก้าอี้ เครื่องครัว และจิปาถะ ก็เปรียบเทียบราคาและคุณภาพจากทั้งอินเตอร์เน็ตและร้านค้าขายส่งหลายๆแห่งก่อนตัดสินใจซื้อ บางอย่างก็เลือกด้วยราคา แต่ของใช้เครื่องครัวที่จำเป็นก็ต้องเลือกคุณภาพเป็นหลัก ซึ่งทุกอย่างก็ได้มาในราคาที่ไม่เกินงบที่ตั้งไว้
และเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้คือวัตถุดิบและรสชาติอาหารในส่วนนี้ผมกับแฟนก็ต้องตระเวนหา Supplier ตามอินเตอร์เน็ตและงานแฟร์ต่างๆซึ่งมีให้เลือกเยอะมากๆตาลายไปหมด ซึ่งต้องดูหลายปัจจัยมาประกอบกันทั้งคุณภาพ ราคา รสชาติ ระยะเวลาในการจัดส่ง ขั้นต่ำในการสั่งซื้อ วิธีจัดเก็บสินค้าและอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้ก็ใช้เวลามากพอสมควรเช่นกันครับ
อุปสรรคและปัญหา
ดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ด้วยดีตามที่คิดแต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองข้าม ซึ่งส่งผลกระทบพอสมควรต่อแผนงานที่ได้วางไว้อย่างมาก
1. งานไฟฟ้า : เหตุเริ่มจากมีคนมาทักว่าหากทำร้านชาบู รู้มัยว่าเตาไฟฟ้าใช้กระแสไฟเยอะมากเลยนะของเก่าที่มีไม่น่าจะพอ ด้วยความที่ผมเริ่มสงสัยบวกกับว่าจะใกล้ช่วงเปิดร้านแล้วต้องเช็คให้เรียบร้อยจึงรีบหาข้อมูลและถามคนรอบข้างแต่ก็ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด ผมจึงคิดว่าไปที่การไฟฟ้าเพื่อขอคำปรึกษาซะเลยชัวร์แน่นอนและถ้าต้องขอเพิ่มจะได้ทำเรื่องรอได้เลยไม่เสียเวลา โชคดีเจอจนท.ท่านหนึ่งมาให้ความช่วยเหลือแล้วก็เป็นดังที่เค้าทัก ร้านต้องใช้ไฟ 3 เฟส 4 สาย 30(100) จึงจะเพียงพอ ค่าใช้จ่ายตามภาพ
เงินส่วนนี้เกือบ 40,000 บาทเป็นตัวเลขที่สูงมาก ซึ่งไม่ได้อยู่ในงบที่ผมตั้งเอาไว้ตั้งแต่ทีแรก เล่นเอาเครียดอยู่เหมือนกันครับ โชคยังดีที่ค่าตกแต่งใช้เงินน้อยกว่าที่คิดไว้พอสมควรเลยพอจะมาถัวกันไปได้บ้าง
2. ช่างติดตั้ง : ผมได้ว่าจ้างช่างไฟฟ้าให้เข้ามาเดินสายไฟต่างๆภายในร้านตกลงราคา เนื้องาน จำนวนคน วันเวลาเสร็จสิ้นกันเรียบร้อยก็เริ่มงาน ถึงตอนทำจริงมาคนเดียวใช้เวลาไปร่วม 3 อาทิตย์ จากแผนที่ตอนแรกตกลงว่าจะมา 2-3 คน ใช้เวลาไม่เกิน 1 อาทิตย์ และช่างที่ทำยังขาดความรู้เรื่องไฟฟ้าที่ดีพอเพราะต้องเดินสายไฟทุกอย่างพร้อมทำตู้เมนไฟฟ้าให้เรียบร้อยเพื่อให้การไฟฟ้ามาติดมิเตอร์ใหม่จัมป์ไฟเข้าร้านค้า ซึ่งจุดนี้ก็ทำให้เสียเงินเพิ่มเพราะช่างติดตั้งผิดสเปคและการไฟฟ้าไม่ยอม สุดท้ายทั้งเสียเวลาแก้และเสียเงินมากขึ้นไปอีก
3. เวลา : จากปัญหาสองเรื่องข้างต้นทำให้กระทบแผนงานการเปิดร้านของผมทั้งหมด งานอื่นๆจึงพลอยล่าช้าไปด้วยทั้งสื่อการตลาด อุปกรณ์ร้านค้า วัตถุดิบ รับสมัครพนักงาน กระทบกันเป็นทอดๆ ต้องมานั่งแก้ไขปรับเปลี่ยนแผนเฉพาะหน้าใหม่หมดเพื่อให้เสียหายน้อยที่สุด
4. การเปิดร้าน : ช่วงที่เริ่มทำร้านคือเดือนต.ค. ตามแผนมีเวลา 1-1.5 เดือนเพื่อให้เสร็จทันเดือนพ.ย. ไม่อยากไปเปิดใกล้ช่วงเดือนธันวามากไปเพราะจะเป็นช่วงเทศกาลและหยุดสิ้นปีซึ่งวันขายจะน้อยลง แต่ด้วยปัญหาที่บอกไป ผมจึงต้องยอมเลื่อนเปิดไปช่วงเดือนธันวา เพราะความไม่พร้อมในหลายๆด้าน
ช่วงเปิดร้าน
เดือนแรกเปิดร้านมามีติดขัดหลายอย่างโดยเฉพาะเมนูอาหาร มีการปรับเปลี่ยนเพิ่ม-ลดหลายเมนู เพราะต้องดูหลายๆปัจจัยโดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบและความต้องการของลูกค้า จากการเปิดมาซักระยะได้มีโอกาสคุยกับลูกค้า ส่วนใหญ่แนะนำว่าควรมีเมนูรูปภาพจะช่วยให้เลือกอาหารได้ง่ายขึ้นเพราะตอนแรกเป็นแค่ใบรายการธรรมดา จึงได้ออกแบบใหม่โดยถ่ายภาพอาหารเองเพราะสู้ราคาไม่ไหว(อีกแล้ว 555) แต่การดีไซน์เมนูต้องจ้างครับทำเองไม่สวยเท่าคนทำทุกวัน
ต่อมาลูกค้าบอกร้านดูโล่งไปหน่อยน่าตกแต่งเพิ่ม ซึ่งของเดิมเป็นแค่ผนังขาวไม่มีอะไรเลยเพราะรีบเร่งเปิดร้านหาของตกแต่งไม่ทัน จึงได้เพิ่มต้นไม้ รูปภาพ และสติกเกอร์เก๋ๆ เพื่อให้บรรยากาศน่านั่งมากยิ่งขึ้น
(ตอนถ่ายภาพป้ายร้านสว่างเกินไป มือถือเลยเก็บรายละเอียดไม่ได้)
เปิดร้านเดือนแรกยอดขายไม่ได้ตามเป้าเหมือนที่คิดไว้ เพราะรู้ว่าจำนวนวันขายค่อนข้างน้อย หลายอย่างต้องปรับเปลี่ยนเฉพาะหน้าจาก Feedback ของลูกค้าและช่วงปลายเดือนก็เริ่มหยุดยาวไปเที่ยวกันหมด และอีกสิ่งหนึ่งน่าจะมาจากสื่อประชาสัมพันธ์ที่มีแค่ป้ายหน้าร้านคนยังไม่ค่อยรู้จัก จนเดือนถัดๆมาผมจึงเริ่มทยอยทำการตลาดเพิ่มขึ้นทั้งสื่อ Online และ Offline ผลลัพธ์ก็ดีขึ้นมากในช่วงแรก แต่เดือนถัดๆมายังคงทรงตัวไม่หวือหวา ซึ่งผมก็คิดว่าคงต้องค่อยๆลองแก้ไขปรับเปลี่ยนกันไป มีหลายคนเคยบอกกับผมว่าการทำร้านอาหารต้องอดทนและให้เวลากับมัน ดูทรงแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้เปิดมาได้ประมาณ 4 เดือนกว่า คงต้องทยอยทำสื่อและโปรโมชั่นให้มากขึ้นเพื่อให้ลูกค้ามาลองทานและสะสมฐานลูกค้าไปเรื่อยๆในอนาคต
ภาคสรุป
งบลงทุนรวมทุกอย่างประมาณ 470,000 บาท รวมวัตถุดิบ ค่าตกแต่งและอุปกรณ์ทุกอย่างแล้ว ถือว่าใกล้เคียงไม่เกินงบที่ตั้งเอาไว้แต่แรก ส่วนที่เหลือไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆและเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละเดือน
พอสรุปตัวเลขดูแล้วก็มีความรู้สึกว่าเราเดินทางมาตั้งครึ่ง(ล้าน)ทางแล้วนะ ถึงจุดนี้ก็ถอยหลังไม่ได้ต้องสู้อย่างเดียวครับ ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก สุดท้ายนี้ใครที่สนใจอยากเปิดร้านอาหารก็ลองคิดและวางแผนกันดีๆนะครับ รายละเอียดค่อนข้างเยอะและมีปัญหาให้แก้ได้ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่ผมเล่าไปมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งแต่ยังมีอีกทั้งปัญหาพนักงาน วัตถุดิบขึ้นราคา สินค้าส่งมาไม่ตรงเวลา ของขาดตลาดหรือส่งมาไม่ตรงตามสเปค การกะปริมาณสต๊อคสินค้าให้พอดีกับการขาย สินค้าหมดอายุก่อนกำหนด ลูกค้าไม่พอใจ ฯลฯ
ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากน้อยแค่ไหน ถึงจะมีท้อบ้าง แต่ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นแรงบันดาลใจและประโยชน์ไม่มากก็น้อยให้กับคนที่อยากเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนนะครับ
ติดตามเรื่องราวดีๆ แนวคิดการทำงาน, มุมมองธุรกิจ, และลงทุนอสังหา เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/thinkvestment
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น