แอร์โฮสเตส อาชีพฝันของบัณฑิตหนุ่มสาว หลายคนจบสายศิลป์ คุรุ แต่ไม่อยากเป็นครู จบโบราณคดี บัญชี แต่ไม่อยากทำงานประจำ บ้างก็ว่าถ้าทำงานออฟฟิศแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้เก็บเงินซื้อบ้านสักที หลายคนมองหาอาชีพที่มีภาพพจน์และค่าตอบแทนดี ถ้าไม่กลัวความสูง คนแปลกหน้า หรือไม่กลัวเหงา ก็ลองมาสมัครแอร์ดู ข้อสอบอาจจะไม่ยากเหมือนสอบเข้ามหาลัย แต่สิ่งที่ทำให้การสอบแอร์ดูหินดูเคี่ยว ก็คือจำนวนผู้สมัคร มากันเป็นพันรับไม่ถึงยี่สิบ กว่าจะเลือกเข้ารอบหนึ่งคน ก็ต้องเฉือนออกเกือบร้อย โหดจริงๆ
แอร์โฮสเตสในสังคมไทยเข้าข่ายอาชีพยอดฮิต ลูกหลานใครสอบติด เจ้าตัวสามารถยืดอก ป่าวประกาศฉลองชีวิตใหม่ได้เลย ค่าตอบแทนสูง( กว่างานประจำ) ทั้งเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง สิทธิพิเศษในการเดินทาง ถ้าคิดถึงเฉพาะค่าตอบแทนล้วนๆในระยะสั้น การเป็นแอร์มันเห็นผลชัด
สมัยสาวๆเพิ่งจบ( ต้องขอบอกก่อน นั่นก็ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว) เริ่มต้นจากเลขา มาขายตั๋ว แล้วก็มามั่วเป็นไกด์ทัวร์ ทำงานไม่ได้ตรงกับที่จบมาเล้ย เพื่อนที่เป็นแอร์แวะเวียนมาหาที่ออฟฟิส มองไลฟสไตล์เพื่อนแล้วก็บ้าเห่อไปด้วย อาชีพอะไรกัน เดือนหนึ่งทำงานแค่สิบกว่าวัน บินไปเมืองนอก ได้เที่ยวช้อปปิ้ง วันหยุดทีสองสามวันเต็ม มีเวลาไปนวดหน้า โยคะ สารพัด
ไปดินเนอร์กัน เพื่อนที่รักสั่งอาหารแบบราคาไม่สน แหม มนุษย์กินเงินเดือนอย่างเรา มันเลยอยากจะเปลี่ยนงาน เห็นเพื่อนหลายคนโฉบเฉี่ยวไปสอบ ได้เป็นแอร์สมใจทุกคน ความสูงเราใช้ได้ แต่หน้าตาจืด “ไม่เป็นไร” เพื่อนว่า ขอให้แต่งหน้าแต่งตัว ผ่านข้อเขียนภาษา เวลาสัมภาษณ์ก็แสดงให้เขาเห็นว่าเป็นสาวมั่นก็พอแล้ว
ผ่านคัดเลือกเข้ามา จากคนนอกกลายเป็นคนใน ต้องฝึกอบรมกันเป็นเดือน พอบรรจุทำงานไม่ถึงครึ่งปี เพื่อนสองคนในกลุ่มทนคิดถึงครอบครัวไม่ได้ ขอลาออกง่ายๆซะยังงั้น อาจจะเป็นเพราะสายการบินที่สอบผ่าน มันเป็นสายการบินของฮ่องกง นั่นหมายถึงว่าต้องไปปักหลักที่นั่นเลย บริษัทจ่ายค่าเช่าบ้านให้ไม่เกินจำนวน x ถ้าเกินก็ควักกระเป๋าจ่ายเอง เวลาไปบิน เสร็จแต่ละเที่ยว ถ้ามีวันหยุดอย่างน้อยสองวันถึงจะบินกลับบ้านที่เมืองไทยได้ เพื่อนๆที่มีแฟนหนุ่มหรือลูกน้อยยังเล็ก จะจับไฟลท์กลับบ้านตลอด เป็นสาวน้อยมหัศจรรย์กันเป็นแถว คนอะไรบินไปมาไม่รู้จักเหนื่อย
แรกๆบินไปเมืองใหม่ประเทศใหม่ มันแสนจะตื่นเต้น จะอดนอนตาค้างบนเครื่องก็ไม่เป็นไร ความแปลกใหม่ทำให้เลิกเพลีย อยากไปเห็นซูริค ปารีส นิวยอร์ค ท่องเที่ยวดูโลกแบบไม่ต้องควักเงินจ่ายเอง
แม้จะต้องเข็นอาหารเสริฟดริ้งค์ ถามมันซำ้ๆ coffee or tea ก็ไม่ว่า ผู้โดยสารบางคน ทำตัวไม่น่ารัก ก็ปั้นยิ้มส่งไป เมาแล้วโวยวาย ก็เสริฟนำ้ให้ดื่มแทน หรือขอนักขอหนาตั้งแต่ไพ่ถึงไม้จิ้มฟัน ถ้าให้ได้ก็ให้กันไป แต่ผู้โดยสารที่ทนไม่ได้คือพวกหยิ่งนัก ประเภทปากหนัก พูดแล้วไม่พูดด้วย เอ้อ...ช่างมัน ปล่อยวาง เรื่องเล็กน้อย นึกอย่างเดียวพอจบไฟลท์ เราจะได้ไปช้อปปิ้งที่ชองเอลิเซ่ ไปดูหอไอเฟล นอนข้ามวันข้ามคืนให้หายเหนื่อยไปเลย
เพราะเป็นสายการบินต่างชาติ แอร์ไทยเลยเป็นคนกลุ่มน้อย ทุกๆไฟลท์ ลูกเรือเปลี่ยนไม่มีซ้ำ จับคนแปลกหน้าสิบสี่คน ต่างชาติต่างวัฒนธรรม มาทำงานร่วมกัน มันจึงมีทั้งเรื่องสนุก เรื่องน่าปลง ปะปนกันไป เข้ากันได้ก็แฮ้ปปี้ คบหาต่อเนื่องเป็นเพื่อนซี้ยังมี แต่มีบ้างที่เห็นหน้า ก็ไม่ชอบขี้หน้ากันเสียแล้ว บ้างก็หยิ่งแบบไม่มีเหตุผล หรือหัวหน้าบางคน เห็นเป็นเด็กใหม่ก็ใช้จัง โอ้ย..บรรยากาศเริ่มอึดอัด ทำงานมีแต่ผู้หญิง จุกจิกเหลือ เวลามีปัญหานัก ก็ได้แต่จุดธูปภาวนา "ขออย่าได้บินร่วมกันอีกเลย สาธุ"
นี่แค่เพื่อนร่วมงาน ยังปวดหัว ไหนจะผู้โดยสารที่ขี้บ่น ขี้ดื่ม ขี้หลี ขี้กวน เฮ้อ! (ถอนหายใจหนึ่งเฮือก) แล้วเรื่องสำคัญที่ยังไม่นับคือสุขภาพร่างกาย เวลานอนไม่ได้นอน เวลากินกลับต้องทำงาน ถึงเวลาได้นอนกลับหิว แต่อย่างว่า นี่มันงาน ไม่ใช่แพ็คเก็จทัวร์ ไม่ได้มาฮอลิเดย์ จะบ่นไปทำไมกันนะเรา
บินไปได้สักสองสามปีเพื่อนอีกห้าหกคนเริ่มออก บ้างก็แต่งงาน บ้างก็อยากเปลี่ยนแนว เพราะใจไม่อยู่กับงานแล้วจะทรมานหัวใจไปทำไม ออกมาเริ่มทำอะไรที่มันมีความสุขดีกว่า แม้ค่าตอบแทนไม่สูงก็ไม่เป็นไร ขอให้อยู่ใกล้ครอบครัวก็พอแล้ว
ตัวเองเห็นลู่ทางเหมาะก็หลังแต่งงานนี่แหละ ผ่อนบ้านหมด เลยได้โอกาสขอฉิ่งเสียที บินมาหกปี ไม่เหลือให้บ้าเห่ออะไรอีกแล้ว ลอนดอน มันก็คือลอนดอน นิวยอร์คแล้วไง ปารีสเหรอ ซาโยนาระ โตเกียว ❤️
คนในเริ่มออก แต่คนนอกยังขยันไปติวเข้มเพื่อสอบเข้า ก็พยายามกันต่อไปนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนด้วยค่ะ
(*กระทู้นี้ขอแค่แชร์ประสบการณ์ในมุมมองของคนที่เคยอยู่ข้างในเท่านั้นค่ะ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะนำเสนอแง่ร้ายของอาชีพนี้เล้ย เข้าใจตามกันนะคะ สำหรับน้องที่อยากจะทำงานด้านนี้ ก็ดีค่ะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตต่างบ้านต่างเมือง น่าสนใจมากๆเลยค่ะ)
"แอร์โฮสเตส" ทำไมคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
แอร์โฮสเตส อาชีพฝันของบัณฑิตหนุ่มสาว หลายคนจบสายศิลป์ คุรุ แต่ไม่อยากเป็นครู จบโบราณคดี บัญชี แต่ไม่อยากทำงานประจำ บ้างก็ว่าถ้าทำงานออฟฟิศแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้เก็บเงินซื้อบ้านสักที หลายคนมองหาอาชีพที่มีภาพพจน์และค่าตอบแทนดี ถ้าไม่กลัวความสูง คนแปลกหน้า หรือไม่กลัวเหงา ก็ลองมาสมัครแอร์ดู ข้อสอบอาจจะไม่ยากเหมือนสอบเข้ามหาลัย แต่สิ่งที่ทำให้การสอบแอร์ดูหินดูเคี่ยว ก็คือจำนวนผู้สมัคร มากันเป็นพันรับไม่ถึงยี่สิบ กว่าจะเลือกเข้ารอบหนึ่งคน ก็ต้องเฉือนออกเกือบร้อย โหดจริงๆ
แอร์โฮสเตสในสังคมไทยเข้าข่ายอาชีพยอดฮิต ลูกหลานใครสอบติด เจ้าตัวสามารถยืดอก ป่าวประกาศฉลองชีวิตใหม่ได้เลย ค่าตอบแทนสูง( กว่างานประจำ) ทั้งเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง สิทธิพิเศษในการเดินทาง ถ้าคิดถึงเฉพาะค่าตอบแทนล้วนๆในระยะสั้น การเป็นแอร์มันเห็นผลชัด
สมัยสาวๆเพิ่งจบ( ต้องขอบอกก่อน นั่นก็ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว) เริ่มต้นจากเลขา มาขายตั๋ว แล้วก็มามั่วเป็นไกด์ทัวร์ ทำงานไม่ได้ตรงกับที่จบมาเล้ย เพื่อนที่เป็นแอร์แวะเวียนมาหาที่ออฟฟิส มองไลฟสไตล์เพื่อนแล้วก็บ้าเห่อไปด้วย อาชีพอะไรกัน เดือนหนึ่งทำงานแค่สิบกว่าวัน บินไปเมืองนอก ได้เที่ยวช้อปปิ้ง วันหยุดทีสองสามวันเต็ม มีเวลาไปนวดหน้า โยคะ สารพัด
ไปดินเนอร์กัน เพื่อนที่รักสั่งอาหารแบบราคาไม่สน แหม มนุษย์กินเงินเดือนอย่างเรา มันเลยอยากจะเปลี่ยนงาน เห็นเพื่อนหลายคนโฉบเฉี่ยวไปสอบ ได้เป็นแอร์สมใจทุกคน ความสูงเราใช้ได้ แต่หน้าตาจืด “ไม่เป็นไร” เพื่อนว่า ขอให้แต่งหน้าแต่งตัว ผ่านข้อเขียนภาษา เวลาสัมภาษณ์ก็แสดงให้เขาเห็นว่าเป็นสาวมั่นก็พอแล้ว
ผ่านคัดเลือกเข้ามา จากคนนอกกลายเป็นคนใน ต้องฝึกอบรมกันเป็นเดือน พอบรรจุทำงานไม่ถึงครึ่งปี เพื่อนสองคนในกลุ่มทนคิดถึงครอบครัวไม่ได้ ขอลาออกง่ายๆซะยังงั้น อาจจะเป็นเพราะสายการบินที่สอบผ่าน มันเป็นสายการบินของฮ่องกง นั่นหมายถึงว่าต้องไปปักหลักที่นั่นเลย บริษัทจ่ายค่าเช่าบ้านให้ไม่เกินจำนวน x ถ้าเกินก็ควักกระเป๋าจ่ายเอง เวลาไปบิน เสร็จแต่ละเที่ยว ถ้ามีวันหยุดอย่างน้อยสองวันถึงจะบินกลับบ้านที่เมืองไทยได้ เพื่อนๆที่มีแฟนหนุ่มหรือลูกน้อยยังเล็ก จะจับไฟลท์กลับบ้านตลอด เป็นสาวน้อยมหัศจรรย์กันเป็นแถว คนอะไรบินไปมาไม่รู้จักเหนื่อย
แรกๆบินไปเมืองใหม่ประเทศใหม่ มันแสนจะตื่นเต้น จะอดนอนตาค้างบนเครื่องก็ไม่เป็นไร ความแปลกใหม่ทำให้เลิกเพลีย อยากไปเห็นซูริค ปารีส นิวยอร์ค ท่องเที่ยวดูโลกแบบไม่ต้องควักเงินจ่ายเอง
แม้จะต้องเข็นอาหารเสริฟดริ้งค์ ถามมันซำ้ๆ coffee or tea ก็ไม่ว่า ผู้โดยสารบางคน ทำตัวไม่น่ารัก ก็ปั้นยิ้มส่งไป เมาแล้วโวยวาย ก็เสริฟนำ้ให้ดื่มแทน หรือขอนักขอหนาตั้งแต่ไพ่ถึงไม้จิ้มฟัน ถ้าให้ได้ก็ให้กันไป แต่ผู้โดยสารที่ทนไม่ได้คือพวกหยิ่งนัก ประเภทปากหนัก พูดแล้วไม่พูดด้วย เอ้อ...ช่างมัน ปล่อยวาง เรื่องเล็กน้อย นึกอย่างเดียวพอจบไฟลท์ เราจะได้ไปช้อปปิ้งที่ชองเอลิเซ่ ไปดูหอไอเฟล นอนข้ามวันข้ามคืนให้หายเหนื่อยไปเลย
เพราะเป็นสายการบินต่างชาติ แอร์ไทยเลยเป็นคนกลุ่มน้อย ทุกๆไฟลท์ ลูกเรือเปลี่ยนไม่มีซ้ำ จับคนแปลกหน้าสิบสี่คน ต่างชาติต่างวัฒนธรรม มาทำงานร่วมกัน มันจึงมีทั้งเรื่องสนุก เรื่องน่าปลง ปะปนกันไป เข้ากันได้ก็แฮ้ปปี้ คบหาต่อเนื่องเป็นเพื่อนซี้ยังมี แต่มีบ้างที่เห็นหน้า ก็ไม่ชอบขี้หน้ากันเสียแล้ว บ้างก็หยิ่งแบบไม่มีเหตุผล หรือหัวหน้าบางคน เห็นเป็นเด็กใหม่ก็ใช้จัง โอ้ย..บรรยากาศเริ่มอึดอัด ทำงานมีแต่ผู้หญิง จุกจิกเหลือ เวลามีปัญหานัก ก็ได้แต่จุดธูปภาวนา "ขออย่าได้บินร่วมกันอีกเลย สาธุ"
นี่แค่เพื่อนร่วมงาน ยังปวดหัว ไหนจะผู้โดยสารที่ขี้บ่น ขี้ดื่ม ขี้หลี ขี้กวน เฮ้อ! (ถอนหายใจหนึ่งเฮือก) แล้วเรื่องสำคัญที่ยังไม่นับคือสุขภาพร่างกาย เวลานอนไม่ได้นอน เวลากินกลับต้องทำงาน ถึงเวลาได้นอนกลับหิว แต่อย่างว่า นี่มันงาน ไม่ใช่แพ็คเก็จทัวร์ ไม่ได้มาฮอลิเดย์ จะบ่นไปทำไมกันนะเรา
บินไปได้สักสองสามปีเพื่อนอีกห้าหกคนเริ่มออก บ้างก็แต่งงาน บ้างก็อยากเปลี่ยนแนว เพราะใจไม่อยู่กับงานแล้วจะทรมานหัวใจไปทำไม ออกมาเริ่มทำอะไรที่มันมีความสุขดีกว่า แม้ค่าตอบแทนไม่สูงก็ไม่เป็นไร ขอให้อยู่ใกล้ครอบครัวก็พอแล้ว
ตัวเองเห็นลู่ทางเหมาะก็หลังแต่งงานนี่แหละ ผ่อนบ้านหมด เลยได้โอกาสขอฉิ่งเสียที บินมาหกปี ไม่เหลือให้บ้าเห่ออะไรอีกแล้ว ลอนดอน มันก็คือลอนดอน นิวยอร์คแล้วไง ปารีสเหรอ ซาโยนาระ โตเกียว ❤️
คนในเริ่มออก แต่คนนอกยังขยันไปติวเข้มเพื่อสอบเข้า ก็พยายามกันต่อไปนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนด้วยค่ะ
(*กระทู้นี้ขอแค่แชร์ประสบการณ์ในมุมมองของคนที่เคยอยู่ข้างในเท่านั้นค่ะ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะนำเสนอแง่ร้ายของอาชีพนี้เล้ย เข้าใจตามกันนะคะ สำหรับน้องที่อยากจะทำงานด้านนี้ ก็ดีค่ะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตต่างบ้านต่างเมือง น่าสนใจมากๆเลยค่ะ)