สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
เพิ่งลาออกมาสดๆร้อนๆค่ะ
กลับมาอยู่เมืองไทยได้สองวันเอง
ของเราคือหลายๆเหตุผลรวมกันค่ะ
ทั้งที่ต้องอยู่ต่างประเทศ ไม่มีเวลาอยู่กะครอบครัว อยู่กะสามี
แบ้วก็อยากมีลูก อยากจะมีชีวิตที่พร้อมเพื่อลูก เพราะถ้าทำอาชีพนี้ยังไงก็จะไม่มีเวลาให้ลูกอย่างเต็มที่
ถึงจะมีเงินเยอะมาเลี้ยงลูก แต่เราว่าแต่ต้องการเวลาและความรักมากกว่า
ไม่ได้ว่าเงินไม่สำคัญนะคะ แต่เงินถ้าไม่ตายก็หาได้เรื่อยๆ แต่เวลามันไม่ใช่
แล้วก็ที่ผ่านมา ไม่เคยได้อยู่กะครอบครัว อย่างเช่น พ่อเข้าโรงพยาบาล แม่ผ่าตัด น้องรับปริญญา เพื่อนแต่งงาน
เราไปบิน คือ ทั้งที่พยายามทั้งขอพักร้อน ขอวันหยุด ก็ไม่รอด
เรื่องสุขภาพ สุขภาพไม่ดี ไม่ได้พักผ่อน
คือไม่ใช่พักผ่อนไม่พอนะคะ แต่คือไม่ได้นอนเลย แล้วต้องไปทำงานก็มี
เวลา departure บางไฟล์ทจะเป็นแบบตีสองตีสาม ซึ่งหมายความว่าเราต้องตื่นมาเตรียมตัวตอนสี่ห้าทุ่ม
อันนั้นก็ยังไม่เท่าไหร่ ถ้ามาติดกันเจ็ดวัน หยุดหนึ่งวัน แล้วต่อมาอีกสองไฟล์ท หยุดอีกสอง แล้วก็เข้าระบบเดิมอีก
ร้ายสุดก็ depart กลางคืน land เช้า แล้วคืนเดียวกัน depart อีกไฟล์ท มาเป็นแพค
จนเป็นโรคแบบที่ไม่น่าจะเป็นสำหรับคนอายุเท่านี้ ติดเชื้อไวรัสนั่นนี่ ภูมิคุ้มกันต่ำ
เพื่อนเรามีแพ้หอยนางรมทั้งที่กินมาทั้งชีวิต แต่เพิ่งจะมาแพ้ตอนนี้ เพราะภูมิคุ้มกันมันต่ำ อะไรที่ไม่เคยแพ้ก็แพ้ได้
แล้วเรื่องยกคอนเทรนเนอร์ ลากคาร์ท สมัยอยู่อีโคโนมี่ เวลาทำไฟล์ทสั้นๆ สี่สิบห้านาที
เครื่องยังไต่ระดับอยู่ แต่เราต้องลากคาร์ทสวนแรงโน้มถ่วงแล้วต้องเริ่มเสิร์ฟเลย ไม่งั้นแลนด์ไม่ทัน
พอขึ้นมาบิสสิเนส เจอถาด welcome drink ไป ข้อมือแทบพัง แถมเวลาเสิร์ฟถาดอาหาร ต้องยกสองถาดพร้อมกัน
ในถาดก็มีทุกอย่างอ่ะค่ะ พวกจาน ชามในถาด มันก็หนักกว่า ยิ่งเวลาทำครัวเนี่ย เคยกลับมาบ้านยกแขนไม่ขึ้นเลยก็มี
บางคนจะมองว่าได้เที่ยว แต่ไปค้างทั่วโลกส่วนมากก็อยู่ได้ที่ละไม่เกิน 24 ชั่วโมง บางครั้งก็สิบกว่าชั่วโมงก็มี
แถมพอไปถึงเราก็จะชอบคิดว่า อยากมากับครอบครัวกับสามีมากกว่าจะมาคนเดียวหรือไปกับคนที่ไม่รู้จักพวกลูกเรือที่เพิ่งเจอกันบนไฟล์ทแบบนั้น
แต่ถามว่ารักงานนี้มั้ย รักมาก มีความสุขทุกครั้งที่ไปทำงาน แต่รักครอบครัวมากกว่า คิดถึงบ้านด้วย
แล้วก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้อยู่กับคนที่เรารัก แถมสุขภาพก็ไม่ดีอีก
กลับมาอยู่เมืองไทยได้สองวันเอง
ของเราคือหลายๆเหตุผลรวมกันค่ะ
ทั้งที่ต้องอยู่ต่างประเทศ ไม่มีเวลาอยู่กะครอบครัว อยู่กะสามี
แบ้วก็อยากมีลูก อยากจะมีชีวิตที่พร้อมเพื่อลูก เพราะถ้าทำอาชีพนี้ยังไงก็จะไม่มีเวลาให้ลูกอย่างเต็มที่
ถึงจะมีเงินเยอะมาเลี้ยงลูก แต่เราว่าแต่ต้องการเวลาและความรักมากกว่า
ไม่ได้ว่าเงินไม่สำคัญนะคะ แต่เงินถ้าไม่ตายก็หาได้เรื่อยๆ แต่เวลามันไม่ใช่
แล้วก็ที่ผ่านมา ไม่เคยได้อยู่กะครอบครัว อย่างเช่น พ่อเข้าโรงพยาบาล แม่ผ่าตัด น้องรับปริญญา เพื่อนแต่งงาน
เราไปบิน คือ ทั้งที่พยายามทั้งขอพักร้อน ขอวันหยุด ก็ไม่รอด
เรื่องสุขภาพ สุขภาพไม่ดี ไม่ได้พักผ่อน
คือไม่ใช่พักผ่อนไม่พอนะคะ แต่คือไม่ได้นอนเลย แล้วต้องไปทำงานก็มี
เวลา departure บางไฟล์ทจะเป็นแบบตีสองตีสาม ซึ่งหมายความว่าเราต้องตื่นมาเตรียมตัวตอนสี่ห้าทุ่ม
อันนั้นก็ยังไม่เท่าไหร่ ถ้ามาติดกันเจ็ดวัน หยุดหนึ่งวัน แล้วต่อมาอีกสองไฟล์ท หยุดอีกสอง แล้วก็เข้าระบบเดิมอีก
ร้ายสุดก็ depart กลางคืน land เช้า แล้วคืนเดียวกัน depart อีกไฟล์ท มาเป็นแพค
จนเป็นโรคแบบที่ไม่น่าจะเป็นสำหรับคนอายุเท่านี้ ติดเชื้อไวรัสนั่นนี่ ภูมิคุ้มกันต่ำ
เพื่อนเรามีแพ้หอยนางรมทั้งที่กินมาทั้งชีวิต แต่เพิ่งจะมาแพ้ตอนนี้ เพราะภูมิคุ้มกันมันต่ำ อะไรที่ไม่เคยแพ้ก็แพ้ได้
แล้วเรื่องยกคอนเทรนเนอร์ ลากคาร์ท สมัยอยู่อีโคโนมี่ เวลาทำไฟล์ทสั้นๆ สี่สิบห้านาที
เครื่องยังไต่ระดับอยู่ แต่เราต้องลากคาร์ทสวนแรงโน้มถ่วงแล้วต้องเริ่มเสิร์ฟเลย ไม่งั้นแลนด์ไม่ทัน
พอขึ้นมาบิสสิเนส เจอถาด welcome drink ไป ข้อมือแทบพัง แถมเวลาเสิร์ฟถาดอาหาร ต้องยกสองถาดพร้อมกัน
ในถาดก็มีทุกอย่างอ่ะค่ะ พวกจาน ชามในถาด มันก็หนักกว่า ยิ่งเวลาทำครัวเนี่ย เคยกลับมาบ้านยกแขนไม่ขึ้นเลยก็มี
บางคนจะมองว่าได้เที่ยว แต่ไปค้างทั่วโลกส่วนมากก็อยู่ได้ที่ละไม่เกิน 24 ชั่วโมง บางครั้งก็สิบกว่าชั่วโมงก็มี
แถมพอไปถึงเราก็จะชอบคิดว่า อยากมากับครอบครัวกับสามีมากกว่าจะมาคนเดียวหรือไปกับคนที่ไม่รู้จักพวกลูกเรือที่เพิ่งเจอกันบนไฟล์ทแบบนั้น
แต่ถามว่ารักงานนี้มั้ย รักมาก มีความสุขทุกครั้งที่ไปทำงาน แต่รักครอบครัวมากกว่า คิดถึงบ้านด้วย
แล้วก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้อยู่กับคนที่เรารัก แถมสุขภาพก็ไม่ดีอีก
ความคิดเห็นที่ 30
อาชีพนี้ถ้าถามว่ารักมั้ย รักมากกกกค่ะเพราะเค้าให้อะไรกับเรามากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของประสบการณ์ เทียบกับพนักงงานออฟฟิศหรือการทำงานอยู่ไทยไม่ได้เลย เพราะเราต้องดีลกับคนมากหน้าหลายตาจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่กับลูกค้า แต่กับเพื่อนร่วมงานด้วย(เปลี่ยนหน้าทุกไฟลท์เพื่อนร่วมงานทุกสัญชาติทั่วโลก) ได้ไปเปิดหูเปิดตาบินไปทั่วโลก บอกตามตรงไม่ได้เป็นแอร์ไม่มีปัญหาจะได้เห็นแบบนี้เลยค่ะถ้าไม่รวยมากจริงๆ ไหนจะเรื่องการดูแลตัวเอง เรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ เกือบเคยโดนปล้ำก็มีมาแล้ว(หลายรอบ - -") ได้เรียนรู้ทักษะมากมายละพัฒนาตัวเองในหลายๆด้านด้วยความรวดเร็วจริงๆ ค่ะ ไหนจะเรื่องเงินดือนที่มากโข ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดจริงๆนะ ตอนนั้นยากได้อะไรก็รูดบัตรเอาๆ ไม่คิดมากสักเท่าไหร่เหมือนตอนนี้5555 มีเงินกลับบ้านมาให้พ่อม่ทุกเดือนนับรวมจากที่ทำงานมาก็ให้พ่อแม่เกือบล้านแล้วค่ะเด็กน้อยอายุยังไม่ถึง 30 คนนี้ เริ่มเก็บเงินจากอายุ 22 มีได้หลักมากกว่าล้าน เราว่าถ้าไม่ใช่นักธุรกิจก็แอร์นี่แหล่ะ
แต่สิ่งที่ตัดสินใจลาออกหลักๆ เลยคือ"ความกลัว" ค่ะ เพราะพอเริ่มบินไปได้สัก 4 ปี จะเริ่มรู้สึกว่าการลาออกจากจุดนี้เปลี่ยนไเรียนรู้อะไรใหม่ๆเริ่มยากละ เราเรียกว่าเป็น flying lifestyle addict. หรือก็คือการเสพติดวิถีชีวิตการบิน การทำงานที่ไม่ต้องยึดติดสภาวะรอบข้าง ชีวิตมีอิสระ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ยิ่งเงินเยอะยิ่งถอยตัวออกมายาก คนส่วนใหญ่ที่ยังบินอยู่เป็น 10 ปีไม่รักอาชีพนี้จริงๆ ก็คือลาออกไม่ได้เพราะไม่รู้ลาออกมาจะทำอะไรกิน (ความเห็นส่วนตัวละจากที่ระเมินเพื่อนๆพี่ๆรอบข้างแบบโลกไม่สวยนะคะ)
เราไม่ยากติดกับดักตรงนี้ค่ะ เริ่มเบื่อกับการทำงานที่กำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นกับตารางบินในแต่ละเดือน วันหยุด วันบวช วันแต่งงานหรือปม้ต่วันที่คนรักเราเสีย ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะได้กลับไปหาคนพวกนั้น เรารู้สึกว่าการที่เราได้อะไรมามากมายกับอาชีพแอร์ ในขณะเดียยวกันก็สูญเสียไปหลายอย่างละเรากลัวว่ายิ่งแก่ตัวลงจะเริ่มทำอะไรที่แตกต่างออกไปได้ลำบากแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องของร่างกายที่ทรุดโทรมลงตามวัย ความคิดที่เริ่มช้าลง และแรงใจที่น้อยลงตามลำดับ จึงรวบรวมวางแผนก่อนลาออกเป็นปีเลยค่ะ เพราะต้องมั่นใจว่าเราลาออกมาแล้วมีอาชีพรองรับ ไม่ไปกินเงินเก่าไปวันๆเพราะที่บ้านก็ไม่ได้มีฐานะดีอะไร มันเป็นเรื่องยากนะกับการบอกลาเงินแสนทุกๆเดือน มาเจอกับอะไรไม่รู้ที่ไม่มีการันตีว่าเราจะได้เยอะหรือน้อยกว่าเดิมชีวิตจะดีขึ้นหรือลำบากกว่าเดิมมั้ย แล้วเราจะทำอะไร จะเป็นยังไงมันเหมือนการเลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตกับตอนตัดสินใจมาเป็นแอร์อยู่ต่างประเทศค่ะ.
แต่สุดท้ายเราก็มีความสุขมากๆ ตอนนี้ทำธุรกิจหลายอย่าง เงินไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนตอนเป็นแอร์ แต่ก็มั่นคงและภูมิใจที่ได้เริ่มสร้างอะไรเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้เวลาไปไหน ไปออกงานพอบอกว่าเจ้าของธุรกิจนี้คือใคร เราเดินออกมาพร้อมกับบอกว่า "หนูเองค่ะ" ทุกคนจะดูอึ้งและตกใจมาก. ว่าตัวแค่นี้อายุแค่นี้เป็นเจ้าของกิจการแล้วเหรอ แม้จะเป็นแค่กิจการเล็กๆเราก็ภูมิใจกับมันมากๆค่ะเพราะเริ่มจากศูนย์ และเชื่อว่ามันจะสามารถเติบใหญ่ได้อีกแน่นอน
จากจุดนี้ทำให้เราเรียนรู้ะไรใหม่ๆ พัฒนาตัวเองในหลากหลายด้านมากขึ้น ต้องบอกว่าถ้าไม่ได้เป็นลูกจ้างก็ไม่เข้าใจการเป็นเจ้าของกิจการะการได้เป็นแอร์ก็ทำให้มีเงินทุนนิดหน่อยในการต่อยอดธุรกิจต่อไปจากที่เราไม่มีเงินเก็บในแบงค์เลยสักกะบาทเดียว หลังเรียนจบ
สำหรับเราล้วนี่คือเหตุผลที่ทำไมแอร์บางคนลาออก (เหตุผลื่นยิบๆย่อยๆ คือ คิดถึงบ้าน คิดถึงแฟน สุขภาพไม่ดี เบื่อ ซึ่งเราไม่ consider ว่ามันคือเหตุผลหลักค่ะ เพราะะอร์ทุกคนก็เป็นแต่ไม่ใช่ทุกคนที่ลาออก เหตุผลหลักคือ lifestyle และเรื่องเงินมากกว่าค่ะ) คนที่ลาออกมาก็ใช่ว่าจะ happy กันทุกคนนะคะหลายคนตามหาเส้นทางชีวิตใหม่ของตนเองไม่เจอก็มีจนอยากกลับไปเป็นแอร์อีกครั้งก็เยอะแยะ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เราไม่ได้บอกว่าทำแบบเราจะดีเสมอไปพูดจริงๆตอนนี้ก็กระเบียดกระเสียนค่ะ เพราะเงินทุกบาทต้องทุ่มกับธุรกิจที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนนัก แต่ก็แค่ดีใจที่เรากล้าออกนอกกรอบที่เรากลัว กล้าเสี่ยง และกล้าลงมือทำ แค่นั้นเราก็ถือว่าระสบความสำเร็จในขั้นนึงแล้วค่ะ^^
แต่สิ่งที่ตัดสินใจลาออกหลักๆ เลยคือ"ความกลัว" ค่ะ เพราะพอเริ่มบินไปได้สัก 4 ปี จะเริ่มรู้สึกว่าการลาออกจากจุดนี้เปลี่ยนไเรียนรู้อะไรใหม่ๆเริ่มยากละ เราเรียกว่าเป็น flying lifestyle addict. หรือก็คือการเสพติดวิถีชีวิตการบิน การทำงานที่ไม่ต้องยึดติดสภาวะรอบข้าง ชีวิตมีอิสระ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ยิ่งเงินเยอะยิ่งถอยตัวออกมายาก คนส่วนใหญ่ที่ยังบินอยู่เป็น 10 ปีไม่รักอาชีพนี้จริงๆ ก็คือลาออกไม่ได้เพราะไม่รู้ลาออกมาจะทำอะไรกิน (ความเห็นส่วนตัวละจากที่ระเมินเพื่อนๆพี่ๆรอบข้างแบบโลกไม่สวยนะคะ)
เราไม่ยากติดกับดักตรงนี้ค่ะ เริ่มเบื่อกับการทำงานที่กำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นกับตารางบินในแต่ละเดือน วันหยุด วันบวช วันแต่งงานหรือปม้ต่วันที่คนรักเราเสีย ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะได้กลับไปหาคนพวกนั้น เรารู้สึกว่าการที่เราได้อะไรมามากมายกับอาชีพแอร์ ในขณะเดียยวกันก็สูญเสียไปหลายอย่างละเรากลัวว่ายิ่งแก่ตัวลงจะเริ่มทำอะไรที่แตกต่างออกไปได้ลำบากแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องของร่างกายที่ทรุดโทรมลงตามวัย ความคิดที่เริ่มช้าลง และแรงใจที่น้อยลงตามลำดับ จึงรวบรวมวางแผนก่อนลาออกเป็นปีเลยค่ะ เพราะต้องมั่นใจว่าเราลาออกมาแล้วมีอาชีพรองรับ ไม่ไปกินเงินเก่าไปวันๆเพราะที่บ้านก็ไม่ได้มีฐานะดีอะไร มันเป็นเรื่องยากนะกับการบอกลาเงินแสนทุกๆเดือน มาเจอกับอะไรไม่รู้ที่ไม่มีการันตีว่าเราจะได้เยอะหรือน้อยกว่าเดิมชีวิตจะดีขึ้นหรือลำบากกว่าเดิมมั้ย แล้วเราจะทำอะไร จะเป็นยังไงมันเหมือนการเลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตกับตอนตัดสินใจมาเป็นแอร์อยู่ต่างประเทศค่ะ.
แต่สุดท้ายเราก็มีความสุขมากๆ ตอนนี้ทำธุรกิจหลายอย่าง เงินไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนตอนเป็นแอร์ แต่ก็มั่นคงและภูมิใจที่ได้เริ่มสร้างอะไรเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้เวลาไปไหน ไปออกงานพอบอกว่าเจ้าของธุรกิจนี้คือใคร เราเดินออกมาพร้อมกับบอกว่า "หนูเองค่ะ" ทุกคนจะดูอึ้งและตกใจมาก. ว่าตัวแค่นี้อายุแค่นี้เป็นเจ้าของกิจการแล้วเหรอ แม้จะเป็นแค่กิจการเล็กๆเราก็ภูมิใจกับมันมากๆค่ะเพราะเริ่มจากศูนย์ และเชื่อว่ามันจะสามารถเติบใหญ่ได้อีกแน่นอน
จากจุดนี้ทำให้เราเรียนรู้ะไรใหม่ๆ พัฒนาตัวเองในหลากหลายด้านมากขึ้น ต้องบอกว่าถ้าไม่ได้เป็นลูกจ้างก็ไม่เข้าใจการเป็นเจ้าของกิจการะการได้เป็นแอร์ก็ทำให้มีเงินทุนนิดหน่อยในการต่อยอดธุรกิจต่อไปจากที่เราไม่มีเงินเก็บในแบงค์เลยสักกะบาทเดียว หลังเรียนจบ
สำหรับเราล้วนี่คือเหตุผลที่ทำไมแอร์บางคนลาออก (เหตุผลื่นยิบๆย่อยๆ คือ คิดถึงบ้าน คิดถึงแฟน สุขภาพไม่ดี เบื่อ ซึ่งเราไม่ consider ว่ามันคือเหตุผลหลักค่ะ เพราะะอร์ทุกคนก็เป็นแต่ไม่ใช่ทุกคนที่ลาออก เหตุผลหลักคือ lifestyle และเรื่องเงินมากกว่าค่ะ) คนที่ลาออกมาก็ใช่ว่าจะ happy กันทุกคนนะคะหลายคนตามหาเส้นทางชีวิตใหม่ของตนเองไม่เจอก็มีจนอยากกลับไปเป็นแอร์อีกครั้งก็เยอะแยะ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เราไม่ได้บอกว่าทำแบบเราจะดีเสมอไปพูดจริงๆตอนนี้ก็กระเบียดกระเสียนค่ะ เพราะเงินทุกบาทต้องทุ่มกับธุรกิจที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนนัก แต่ก็แค่ดีใจที่เรากล้าออกนอกกรอบที่เรากลัว กล้าเสี่ยง และกล้าลงมือทำ แค่นั้นเราก็ถือว่าระสบความสำเร็จในขั้นนึงแล้วค่ะ^^
ความคิดเห็นที่ 37
ลาออกมาได้หลักปีแล้ว
หลังจากบินมาได้หกปีนิดๆกล้าๆกลัวๆว่าถ้าออกมาจะทำอะไรดี?
(อารมณ์เหมือนถามว่าตายแล้วไปไหน)
เพราะเป็นงานประจำงานแรกที่ทำตั้งแต่จบมหาวิทยาลัย
(จบมีนา สมัครเมษา ไปเทรนที่เกาหลีตอนมิถุนา)
บินมีความสุขตามประสาคนชอบเที่ยว
แต่วันนึงลืมตาตื่นขึ้นมาก็คิดว่า
ข้อที่ 1. อายุ
ตอนนั้นอายุ 27 ย่าง 28 แล้ว มองไม่เห็นภาพตัวเองจะบินกับสายการบินต่างชาติไปจนอายุ 40 บอกกับตัวเองว่า "เอาวะ มันคงต้องถึงเวลาแล้วล่ะ ไม่รีบลาออกมาตอนนี้ อายุมากไปจะหางานอื่นยาก"
ข้อที่ 2. สุขภาพ
บางครั้งเริ่มมีนิมิตเห็นตัวเองเป็นชะนีวัย 50 เจ็บออดๆแอดๆ หลังเดาะ ข้อพัง เข่าทรุด ตรูดเสื่อม ฯลฯ ที่หนักที่สุดคือ "บ่าและไหล่" ด้วยความที่บินไฟลท์อเมริกาบ่อยจนเยี่ยงจะเป็นประชากรชาติเค้าแล้ว เครื่องที่บินไปอเมริกาคือโบอิ้ง 777 ซึ่งที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะเป็นแบบดันขึ้น
ถึงแม้ว่าตอนที่ผู้โดยสารยกกระเป๋าขึ้นไปเองโดยที่ไม่ใช่หน้าที่เรายกก็ตาม แต่สุดท้าย ก่อนที่เครื่องจะถอยจากหลุมจอดก็เรานี่แหละที่ต้องเป็นคนปิด overhead bins ทั้งหลายเอง แถมในบางครั้ง (ไม่บางล่ะ ตลอดเลย!) ปิดไม่ได้ค่ะ!!! ต้องมาจับ ขยับ เรียงกระเป๋าของผู้โดยสารใหม่เพื่อให้ปิดได้แบบแน่นหนา ไม่ใช่ว่าเจอนกบินผ่านละเปิดผั๊วะร่วงใส่หัวคนข้างล่าง อิแอร์ฯหัวขาดค่ะ
ไฟลท์ยิ่งยาว กระเป๋าท่านทั้งหลายก็ยิ่งหนัก เมื่อหนักและหนักมาเจอกัน อิชั้นก็กลายเป็นร่างเป็นน้องอร "สู้โว้ยยยยยยยยย" clean and jerk มันทุกไฟลท์
(นี่ก็กะว่าโอลิมปิคหน้าจะไปคัดตัวเป็นนักกีฬายกน้ำหนักกับเค้าบ้างเหมือนกัน)
ข้อที่ 3. ตารางบินโหด
อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆที่เศรษฐกิจโลกฝืดเคืองจนทำให้วันหยุดที่เราเคยได้นอนเล่นๆแล้วได้เงินมันหดหายไปกลายเป็น บิน บิน บิน และบิน แถมบางครั้ง บินอเมริกา กลับเกาหลี ต่ออเมริกา กลับเกาหลี ต่อ มะนิลา (ไฟลท์นี้เชื่อว่าลูกเรือทุกท่านคงขยาด) กลับเกาหลี ต่อเดลี แล้วค่อยส่งกลับมาหยอดน้ำข้าวต้มที่กอทอมอสี่วันก่อนกลับไปไถนาใช้แรงงานต่อ
เมื่อเจอสเกตแบบนี้ก็ Thank you and Good bye we wish you a pleasant journey ค่ะ
เมื่อครบสามข้อก็ตกลงปลงใจสลัดปีกทิ้งมันวันนั้นแหละ
ตอนที่ออกมาก็กล้าๆกลัวๆว่าจะหางานอะไรทำที่มันได้เงินใกล้เคียงกับงานเก่า
สุดท้ายก็มีพี่ที่น่ารักมาเปิดทางให้ว่า
"กลัวไรวะ งานเงินดีมันมีเยอะ เพียงแต่แกไม่รู้"
สุดท้ายตอนนี้ก็ผันตัวมาทำงานที่ไม่ตรงกับทั้งสายงานเดิม และสายที่เรียนมา
โดยที่เงินเดือนก็ใกล้เคียงกับตอนเป็นแอร์ฯ
(เอ่อ ... อิชั้นไม่ใช่แอร์ฯตะวันออกกลาง เงินไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะจ้ะห์)
ถ้าถามว่าอยากจะกลับไปบินมั้ย? รักอาชีพนี้มั้ย?
ยังรักอยู่ ยังอยากกลับไปบิน
แต่ในความอยากกลับไปบิน เพราะอยากไปเที่ยว อยากไปตะเวนสรรหาของกินประเทศต่างๆ
อยากใช้อะไรก็รอไฟลท์บินไปซื้อเองไม่ต้องฝากคนอื่นหิ้ว
แต่พอนึกถึงตอนปิด overhead bin ...
กำหนัดอยากกลับไปบินหายหมดเลยค่า ...
ป.ล. งานแอร์ฯไม่ใช่มีแต่ข้อเสียนะ เพียงแต่เราต้องวางแผนชีวิตเราดีๆ
อาจจะเรียกได้ว่าอาชีพนี้ฉาบฉวย ได้เงินเยอะสำหรับเด็กจบใหม่
แต่พออายุมากขึ้นมันกลายเป็นว่าเงินที่เราได้มานั้นคือการขายสุขภาพในอนาคตของตัวเองไป
รักงานนี้แค่ไหนก็ควรต้องรักตัวเองก่อน ถ้ามันมีผลกับตัวเราตอนแก่ต้องนอนเป็นผักเหี่ยวคาเตียงก็ไม่ดีหรอกเนอะ
ป.ฮ. ทุกวันนี้ถึงไม่ได้บินก็ไม่ทิ้งความเป็นแอร์ฯนะคะ แอร์กี่ แอร์สาระนี เป็นต้น - -"
หลังจากบินมาได้หกปีนิดๆกล้าๆกลัวๆว่าถ้าออกมาจะทำอะไรดี?
(อารมณ์เหมือนถามว่าตายแล้วไปไหน)
เพราะเป็นงานประจำงานแรกที่ทำตั้งแต่จบมหาวิทยาลัย
(จบมีนา สมัครเมษา ไปเทรนที่เกาหลีตอนมิถุนา)
บินมีความสุขตามประสาคนชอบเที่ยว
แต่วันนึงลืมตาตื่นขึ้นมาก็คิดว่า
ข้อที่ 1. อายุ
ตอนนั้นอายุ 27 ย่าง 28 แล้ว มองไม่เห็นภาพตัวเองจะบินกับสายการบินต่างชาติไปจนอายุ 40 บอกกับตัวเองว่า "เอาวะ มันคงต้องถึงเวลาแล้วล่ะ ไม่รีบลาออกมาตอนนี้ อายุมากไปจะหางานอื่นยาก"
ข้อที่ 2. สุขภาพ
บางครั้งเริ่มมีนิมิตเห็นตัวเองเป็นชะนีวัย 50 เจ็บออดๆแอดๆ หลังเดาะ ข้อพัง เข่าทรุด ตรูดเสื่อม ฯลฯ ที่หนักที่สุดคือ "บ่าและไหล่" ด้วยความที่บินไฟลท์อเมริกาบ่อยจนเยี่ยงจะเป็นประชากรชาติเค้าแล้ว เครื่องที่บินไปอเมริกาคือโบอิ้ง 777 ซึ่งที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะเป็นแบบดันขึ้น
ถึงแม้ว่าตอนที่ผู้โดยสารยกกระเป๋าขึ้นไปเองโดยที่ไม่ใช่หน้าที่เรายกก็ตาม แต่สุดท้าย ก่อนที่เครื่องจะถอยจากหลุมจอดก็เรานี่แหละที่ต้องเป็นคนปิด overhead bins ทั้งหลายเอง แถมในบางครั้ง (ไม่บางล่ะ ตลอดเลย!) ปิดไม่ได้ค่ะ!!! ต้องมาจับ ขยับ เรียงกระเป๋าของผู้โดยสารใหม่เพื่อให้ปิดได้แบบแน่นหนา ไม่ใช่ว่าเจอนกบินผ่านละเปิดผั๊วะร่วงใส่หัวคนข้างล่าง อิแอร์ฯหัวขาดค่ะ
ไฟลท์ยิ่งยาว กระเป๋าท่านทั้งหลายก็ยิ่งหนัก เมื่อหนักและหนักมาเจอกัน อิชั้นก็กลายเป็นร่างเป็นน้องอร "สู้โว้ยยยยยยยยย" clean and jerk มันทุกไฟลท์
(นี่ก็กะว่าโอลิมปิคหน้าจะไปคัดตัวเป็นนักกีฬายกน้ำหนักกับเค้าบ้างเหมือนกัน)
ข้อที่ 3. ตารางบินโหด
อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆที่เศรษฐกิจโลกฝืดเคืองจนทำให้วันหยุดที่เราเคยได้นอนเล่นๆแล้วได้เงินมันหดหายไปกลายเป็น บิน บิน บิน และบิน แถมบางครั้ง บินอเมริกา กลับเกาหลี ต่ออเมริกา กลับเกาหลี ต่อ มะนิลา (ไฟลท์นี้เชื่อว่าลูกเรือทุกท่านคงขยาด) กลับเกาหลี ต่อเดลี แล้วค่อยส่งกลับมาหยอดน้ำข้าวต้มที่กอทอมอสี่วันก่อนกลับไปไถนาใช้แรงงานต่อ
เมื่อเจอสเกตแบบนี้ก็ Thank you and Good bye we wish you a pleasant journey ค่ะ
เมื่อครบสามข้อก็ตกลงปลงใจสลัดปีกทิ้งมันวันนั้นแหละ
ตอนที่ออกมาก็กล้าๆกลัวๆว่าจะหางานอะไรทำที่มันได้เงินใกล้เคียงกับงานเก่า
สุดท้ายก็มีพี่ที่น่ารักมาเปิดทางให้ว่า
"กลัวไรวะ งานเงินดีมันมีเยอะ เพียงแต่แกไม่รู้"
สุดท้ายตอนนี้ก็ผันตัวมาทำงานที่ไม่ตรงกับทั้งสายงานเดิม และสายที่เรียนมา
โดยที่เงินเดือนก็ใกล้เคียงกับตอนเป็นแอร์ฯ
(เอ่อ ... อิชั้นไม่ใช่แอร์ฯตะวันออกกลาง เงินไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะจ้ะห์)
ถ้าถามว่าอยากจะกลับไปบินมั้ย? รักอาชีพนี้มั้ย?
ยังรักอยู่ ยังอยากกลับไปบิน
แต่ในความอยากกลับไปบิน เพราะอยากไปเที่ยว อยากไปตะเวนสรรหาของกินประเทศต่างๆ
อยากใช้อะไรก็รอไฟลท์บินไปซื้อเองไม่ต้องฝากคนอื่นหิ้ว
แต่พอนึกถึงตอนปิด overhead bin ...
กำหนัดอยากกลับไปบินหายหมดเลยค่า ...
ป.ล. งานแอร์ฯไม่ใช่มีแต่ข้อเสียนะ เพียงแต่เราต้องวางแผนชีวิตเราดีๆ
อาจจะเรียกได้ว่าอาชีพนี้ฉาบฉวย ได้เงินเยอะสำหรับเด็กจบใหม่
แต่พออายุมากขึ้นมันกลายเป็นว่าเงินที่เราได้มานั้นคือการขายสุขภาพในอนาคตของตัวเองไป
รักงานนี้แค่ไหนก็ควรต้องรักตัวเองก่อน ถ้ามันมีผลกับตัวเราตอนแก่ต้องนอนเป็นผักเหี่ยวคาเตียงก็ไม่ดีหรอกเนอะ
ป.ฮ. ทุกวันนี้ถึงไม่ได้บินก็ไม่ทิ้งความเป็นแอร์ฯนะคะ แอร์กี่ แอร์สาระนี เป็นต้น - -"
ความคิดเห็นที่ 34
เริ่มเป็นแอร์ตอนอายุ 22 ตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ ใส ๆ เลยค่ะ ทำอยู่ 4 ปีครึ่งถึงออก ตอนออกจากแอร์อายุ 26 ย่าง 27 ปัจจุบันเฉียด 30 แล้วค่ะ
เราทำสายการบินต่างชาติ แต่โฮมเบสที่เมืองไทย คือใน 1 แพทเทิร์นคุณจะบินไปไหนกี่วันก็ตาม สุดท้ายคุณจะได้กลับมาอยู่บ้านอย่างต่ำก็ 2 days off ก่อนที่จะเริ่มแพทเทิร์นใหม่ แพทเทิร์นนึงก็มีตั้งแต่ 2-12 วัน แล้วแต่รูทบินที่เค้าจัดให้
ตอนเป็นแอร์มีความสุขค่ะ โชคดีว่าสายการบินที่เราอยู่สังคมคนไทยดีค่ะ เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ รักกันมาก คอยช่วยเหลือกันตลอด (จนถึงตอนนี้ลาออกมา 3 ปีแล้วก็ยังติดต่อ พบปะพูดคุยกันอยู่) รูทบินก็ดี บินยุโรป บินเมกาตลอด มีโอกาสได้ไปเที่ยวหลาย ๆ ที่ เปิดหูเปิดตา เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติอื่น ๆ ทั้งจากตัวผู้โดยสาร และบ้านเมืองของเค้า แถมได้ชอปปิ้งกันมันส์ระเบิด มีรายได้เยอะ มีเงินใช้ไม่ขาดมือ เราผ่อนรถได้ 1 คัน มีเงินเก็บนิดหน่อย (คือว่าใช้เยอะอ่ะค่ะ แหะ แหะ) มีเงินให้พ่อแม่เดือนละเป็นหมื่น ได้ประสบการณ์แบบที่ทำงานแบบอื่นคงให้ไม่ได้ แต่สาเหตุที่ออกเพราะคิดถึงอนาคต สุขภาพ และชีวิตครอบครัว
เราก็แค่ลองคิดดูว่าถ้าเราแก่แล้ว เราจะยังอยากทำงานตรงนี้อยู่มั๊ย เราจะไหวอยู่มั๊ย ตอบตัวเองแบบไม่ต้องคิดซ้ำเลยว่าไม่ ด้วยลักษณะของงานมันไม่เหมาะกับคนอายุเยอะๆ เอาเข้าจริง ๆ เด็ก ๆ 25-26 บางคน เจอแบบนี้เข้าไปยังไม่ไหวเลยค่ะ อดหลับอดนอน กินนอนไม่เป็นเวลา ยกของหนักสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก เครื่องขึ้นเครื่องลง แค่นี้ก็แย่แล้วค่ะ
ทุกอย่างมันส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย เมื่อนาฬิกาชีวิตรวน ระบบต่าง ๆ ในร่างกายก็รวนไปด้วย เวลาที่ควรจะกินเรากลับไม่ได้กินทีนี้ก็โรคกระเพาะสิคะ เวลาที่ควรจะนอนกลับไม่ได้นอนหน้าก็โทรมเป็นสิว สมองก็เบลอ ไม่สดชื่น คิดไรก็ไม่ค่อยออก ยกของเข็นคาร์ทหนัก ๆ บนเครื่อง ก็ปวดหลังนะคะ บางคนเป็นหนักถึงขั้นหมอนรองกระดูกอักเสบ (สายการบินเราเป็นหญิงล้วนค่ะ ของหนัก ๆ นี่ยกกันเองหมดเลย ไม่มี ผู้ชายช่วย) บางไฟล์ทยุ่งมาก ๆ แทบไม่ได้นั่ง แลนด์ปุ๊ปน้ำตาจะไหล อากาศบนเครื่องก็ไม่ดีค่ะ อากาศสกปรก บางคนไม่เคยเป็นก็มาเป็นภูมิแพ้กันคราวนี้แหละค่ะ ช่วงเครื่องแลนด์ก็อีก มีผลกับมดลูกค่ะ สารพัดจะบรรยาย เวลาลากกระเป๋าออกจากบ้านนี่หดหู่มากค่ะ นึกออกทุกขั้นตอนล่ะค่ะ บินไฟล์ทนั้นต่อไฟล์ทนี้ บนไฟล์ททำอะไรจะเจออะไรบ้าง
ก็ตัดสินใจรีบออกมาก่อนที่จะออกไม่ได้ค่ะ นั่งเปิดเพจรับสมัครงานส่วนมาก ระดับ Staff ก็รับอายุไม่เกิน 26-28 ถ้าอายุเยอะกว่านั้นก็จะเป็นระดับ Supervisor หรือ Manager ขึ้นไป แถมเป็นแอร์นี่เค้าถือว่าเป็น non-experience นะคะ หางานยากค่ะ ถ้าไม่ได้ต่อในสายอาชีพบริการ เช่นงานโรงแรม สายการบิน (พนักงานภาคพื้นดิน) แถมรับเงินเดือนที่น้อยลงไม่ได้อีก คำถามที่คนเป็นแอร์ส่วนมากตอบไม่ได้คือ ออกแล้วไปทำอะไร คล้าย ๆ กับตายแล้วไปไหน คือมันมืดไปหมด เคยได้เงินเท่านี้ อยู่ดี ๆ จะออกไปรับเงินเดือนน้อย ๆ ก็ยังไงอยู่ บางคนมีภาระผ่อนบ้านผ่อนรถ ก็ต้องคิดหนักล่ะค่ะ
เราโชคดีที่ตอนนั้นผ่อนรถหมดพอดี ไม่มีภาระทางบ้าน สามารถออกมาเริ่มต้นใหม่ได้แบบไม่มีห่วง งานแรกที่ทำคือเป็น AE ค่ะ รายได้เหลือแค่ 30% จากที่เคยได้ แต่ก็อยู่ได้ค่ะ อยู่เมืองไทยค่าใช้จ่ายก็น้อยลง ประหยัดหน่อย ไม่ชอปเยอะ ก็ถือว่าสร้างโพรไฟล์เพิ่มประสบการณ์ในการทำงานให้ตัวเอง ก็ลองผิดลองถูกเปลี่ยนงานมาอีก 2 ครั้งหลังจากนั้น จนตอนนี้มาทำสาย Logistics รายได้รวมตอนนี้เกือบเท่าตอนเป็นแอร์แล้วค่ะ สุขภาพดี ชีวิตดี กินนอนขี้เป็นเวลา มีเวลาให้ครอบครัว งานแต่ง งานบวช งานบุญ ไปได้หมดค่ะ ชีวิตเรากำหนดเอง ไม่ต้องพึ่งตารางบิน ปีหน้าจะแต่งงงานก็ไม่ต้องห่วงทิ้งว่าถ้าทิ้งสามีไว้ที่บ้านคนเดียวจะเป็นยังไง อีกหน่อยมีเบบี๋ก็ได้อยู่กับลูกทุกวัน
พิมพ์มาซะยาวเลย พิมพ์ไปก็คิดถึงวันเก่า ๆ ไป เอาจริง ๆ อาชีพแอร์เป็นอาชีพที่ดีนะคะ แต่ความเห็นส่วนตัวเราว่ามันเหมาะกับเด็ก ๆ ทำซัก 2-3 ปี เก็บเงิน เก็บประสบการณ์ แล้วต้องรีบออกมาเริ่มต้นใหม่ก่อนที่จะออกมาไม่ได้ ก่อนที่สุขภาพจะทรุดโทรม
เราทำสายการบินต่างชาติ แต่โฮมเบสที่เมืองไทย คือใน 1 แพทเทิร์นคุณจะบินไปไหนกี่วันก็ตาม สุดท้ายคุณจะได้กลับมาอยู่บ้านอย่างต่ำก็ 2 days off ก่อนที่จะเริ่มแพทเทิร์นใหม่ แพทเทิร์นนึงก็มีตั้งแต่ 2-12 วัน แล้วแต่รูทบินที่เค้าจัดให้
ตอนเป็นแอร์มีความสุขค่ะ โชคดีว่าสายการบินที่เราอยู่สังคมคนไทยดีค่ะ เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ รักกันมาก คอยช่วยเหลือกันตลอด (จนถึงตอนนี้ลาออกมา 3 ปีแล้วก็ยังติดต่อ พบปะพูดคุยกันอยู่) รูทบินก็ดี บินยุโรป บินเมกาตลอด มีโอกาสได้ไปเที่ยวหลาย ๆ ที่ เปิดหูเปิดตา เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติอื่น ๆ ทั้งจากตัวผู้โดยสาร และบ้านเมืองของเค้า แถมได้ชอปปิ้งกันมันส์ระเบิด มีรายได้เยอะ มีเงินใช้ไม่ขาดมือ เราผ่อนรถได้ 1 คัน มีเงินเก็บนิดหน่อย (คือว่าใช้เยอะอ่ะค่ะ แหะ แหะ) มีเงินให้พ่อแม่เดือนละเป็นหมื่น ได้ประสบการณ์แบบที่ทำงานแบบอื่นคงให้ไม่ได้ แต่สาเหตุที่ออกเพราะคิดถึงอนาคต สุขภาพ และชีวิตครอบครัว
เราก็แค่ลองคิดดูว่าถ้าเราแก่แล้ว เราจะยังอยากทำงานตรงนี้อยู่มั๊ย เราจะไหวอยู่มั๊ย ตอบตัวเองแบบไม่ต้องคิดซ้ำเลยว่าไม่ ด้วยลักษณะของงานมันไม่เหมาะกับคนอายุเยอะๆ เอาเข้าจริง ๆ เด็ก ๆ 25-26 บางคน เจอแบบนี้เข้าไปยังไม่ไหวเลยค่ะ อดหลับอดนอน กินนอนไม่เป็นเวลา ยกของหนักสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก เครื่องขึ้นเครื่องลง แค่นี้ก็แย่แล้วค่ะ
ทุกอย่างมันส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย เมื่อนาฬิกาชีวิตรวน ระบบต่าง ๆ ในร่างกายก็รวนไปด้วย เวลาที่ควรจะกินเรากลับไม่ได้กินทีนี้ก็โรคกระเพาะสิคะ เวลาที่ควรจะนอนกลับไม่ได้นอนหน้าก็โทรมเป็นสิว สมองก็เบลอ ไม่สดชื่น คิดไรก็ไม่ค่อยออก ยกของเข็นคาร์ทหนัก ๆ บนเครื่อง ก็ปวดหลังนะคะ บางคนเป็นหนักถึงขั้นหมอนรองกระดูกอักเสบ (สายการบินเราเป็นหญิงล้วนค่ะ ของหนัก ๆ นี่ยกกันเองหมดเลย ไม่มี ผู้ชายช่วย) บางไฟล์ทยุ่งมาก ๆ แทบไม่ได้นั่ง แลนด์ปุ๊ปน้ำตาจะไหล อากาศบนเครื่องก็ไม่ดีค่ะ อากาศสกปรก บางคนไม่เคยเป็นก็มาเป็นภูมิแพ้กันคราวนี้แหละค่ะ ช่วงเครื่องแลนด์ก็อีก มีผลกับมดลูกค่ะ สารพัดจะบรรยาย เวลาลากกระเป๋าออกจากบ้านนี่หดหู่มากค่ะ นึกออกทุกขั้นตอนล่ะค่ะ บินไฟล์ทนั้นต่อไฟล์ทนี้ บนไฟล์ททำอะไรจะเจออะไรบ้าง
ก็ตัดสินใจรีบออกมาก่อนที่จะออกไม่ได้ค่ะ นั่งเปิดเพจรับสมัครงานส่วนมาก ระดับ Staff ก็รับอายุไม่เกิน 26-28 ถ้าอายุเยอะกว่านั้นก็จะเป็นระดับ Supervisor หรือ Manager ขึ้นไป แถมเป็นแอร์นี่เค้าถือว่าเป็น non-experience นะคะ หางานยากค่ะ ถ้าไม่ได้ต่อในสายอาชีพบริการ เช่นงานโรงแรม สายการบิน (พนักงานภาคพื้นดิน) แถมรับเงินเดือนที่น้อยลงไม่ได้อีก คำถามที่คนเป็นแอร์ส่วนมากตอบไม่ได้คือ ออกแล้วไปทำอะไร คล้าย ๆ กับตายแล้วไปไหน คือมันมืดไปหมด เคยได้เงินเท่านี้ อยู่ดี ๆ จะออกไปรับเงินเดือนน้อย ๆ ก็ยังไงอยู่ บางคนมีภาระผ่อนบ้านผ่อนรถ ก็ต้องคิดหนักล่ะค่ะ
เราโชคดีที่ตอนนั้นผ่อนรถหมดพอดี ไม่มีภาระทางบ้าน สามารถออกมาเริ่มต้นใหม่ได้แบบไม่มีห่วง งานแรกที่ทำคือเป็น AE ค่ะ รายได้เหลือแค่ 30% จากที่เคยได้ แต่ก็อยู่ได้ค่ะ อยู่เมืองไทยค่าใช้จ่ายก็น้อยลง ประหยัดหน่อย ไม่ชอปเยอะ ก็ถือว่าสร้างโพรไฟล์เพิ่มประสบการณ์ในการทำงานให้ตัวเอง ก็ลองผิดลองถูกเปลี่ยนงานมาอีก 2 ครั้งหลังจากนั้น จนตอนนี้มาทำสาย Logistics รายได้รวมตอนนี้เกือบเท่าตอนเป็นแอร์แล้วค่ะ สุขภาพดี ชีวิตดี กินนอนขี้เป็นเวลา มีเวลาให้ครอบครัว งานแต่ง งานบวช งานบุญ ไปได้หมดค่ะ ชีวิตเรากำหนดเอง ไม่ต้องพึ่งตารางบิน ปีหน้าจะแต่งงงานก็ไม่ต้องห่วงทิ้งว่าถ้าทิ้งสามีไว้ที่บ้านคนเดียวจะเป็นยังไง อีกหน่อยมีเบบี๋ก็ได้อยู่กับลูกทุกวัน
พิมพ์มาซะยาวเลย พิมพ์ไปก็คิดถึงวันเก่า ๆ ไป เอาจริง ๆ อาชีพแอร์เป็นอาชีพที่ดีนะคะ แต่ความเห็นส่วนตัวเราว่ามันเหมาะกับเด็ก ๆ ทำซัก 2-3 ปี เก็บเงิน เก็บประสบการณ์ แล้วต้องรีบออกมาเริ่มต้นใหม่ก่อนที่จะออกมาไม่ได้ ก่อนที่สุขภาพจะทรุดโทรม
ความคิดเห็นที่ 29
ลาออกมา2ปีแล้วค่ะ
เหตุผลหลักเลยคือแต่งงานค่ะ อยากอยู่กับครอบครัว
ชีวิตคนเรามีหลายฝันนะคะ เมื่อเดินมาถึงจุดๆหนึ่ง เราเจอคนที่ดีพอที่ทำให้เราไม่กลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายหน้า เงินหรือการงานก็มาแทนที่ไม่ได้ค่ะ
การได้อยู่บ้านเจอหน้าคนที่รักเราและเรารัก มันมีความสุขกว่าตอนสมัยเราบินแล้วกลับมาเจอห้องที่ว่างเปล่าค่ะ
จนทุกวันนี้ก็ไม่คิดเสียใจ ทั้งๆที่ทุกคนถามว่าลาออกทำไม
ตอนนี้มีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง เงินก็ได้น้องๆกับแอร์ใหม่ แต่อยู่เมืองไทยค่ากินอยู่ถูกกว่าเยอะ
ชีวิตมีอะไรมากกว่านั้นค่ะ ถ้าเรายังมีสมองและสองมือ
เหตุผลหลักเลยคือแต่งงานค่ะ อยากอยู่กับครอบครัว
ชีวิตคนเรามีหลายฝันนะคะ เมื่อเดินมาถึงจุดๆหนึ่ง เราเจอคนที่ดีพอที่ทำให้เราไม่กลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายหน้า เงินหรือการงานก็มาแทนที่ไม่ได้ค่ะ
การได้อยู่บ้านเจอหน้าคนที่รักเราและเรารัก มันมีความสุขกว่าตอนสมัยเราบินแล้วกลับมาเจอห้องที่ว่างเปล่าค่ะ
จนทุกวันนี้ก็ไม่คิดเสียใจ ทั้งๆที่ทุกคนถามว่าลาออกทำไม
ตอนนี้มีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง เงินก็ได้น้องๆกับแอร์ใหม่ แต่อยู่เมืองไทยค่ากินอยู่ถูกกว่าเยอะ
ชีวิตมีอะไรมากกว่านั้นค่ะ ถ้าเรายังมีสมองและสองมือ
แสดงความคิดเห็น
คนที่เป็นแอร์โฮสเตสแล้วเลิกเป็นแล้ว เพราะอะไรถึงเลิกคะ
และเพราะอะไรถึงเลิกคะ มีข้อเสียอะไรที่ไม่ชอบจนต้องลาออกไหมคะ