สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราในพันทิปนะคะ หากมีอะไรตกหล่นผิดพลาดไปต้องขออภัยด้วย orz
เคยเห็นกระทู้เกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นในพันทิปมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการขอคำปรึกษาเกี่ยวกับบุตรหลานเนอะ วันนี้เราก็เลยอยากจะพูดในมุมมองของคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นเองและมีคนรอบตัวที่เป็นโรคนี้ดูบ้าง(แต่ข้อมูลอาจไม่แม่นเป๊ะแบบแพทย์เฉพาะทางหรอกนะคะ) 55555555
เราเป็นโรคสมาธิสั้นแท้ค่ะ วินิจฉัยโดยแพทย์เองเลย ตรงนี้อาจมีคำถามว่าสมาธิสั้นแท้ต่างจากสมาธิสั้นเทียมยังไง สมาธิสั้นแท้จะเกิดจากความผิดปกติของสมองโดยฮอร์โมนบางตัวที่หลั่งออกมาจะมีปริมาณที่ผิดปกติ ไม่ได้มีสาเหตุหลักจากสิ่งเร้าภายนอกค่ะ(ทีวี เกม มือถือ) เรียกได้ว่าต่อให้ห่างไกลจากสิ่งพวกนี้ก็ยังจะมีการแสงอาการของโรคอยู่ถ้าเป็น เพียงแต่โดยปกติแล้วภาพสีสันสดใสและการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจะไปกระตุ้นอาการสมาธิสั้นของเด็กที่มีแต่เดิมมาอยู่แล้ว
อาการที่สังเกตได้ง่ายของเด็กสมาธิสั้นเท่าที่เราเคยพบเจอมา
สมาธิสั้นแบ่งได้หลักๆสองกลุ่มค่ะ คือกลุ่มซน(ส่วนมากเป็นผู้ชาย) กับกลุ่มเหม่อ(ส่วนมากเป็นผู้หญิง) แต่จากภาพลักษณ์ของเด็กสมาธิสั้นที่อิงแอบแนบชิดมากับอาการไฮเปอร์ ทำให้คนที่เป็นสมาธิสั้นแบบเหม่อและเก็บอาการได้ในระดับนึงมักถูกมองว่าเป็นเด็กทั่วไป 5555555 เข้าเรื่องเลยดีกว่า อาการที่พบได้เช่น การเป็นเจ้าหนูจำไม ถามมากถามมาย ถามได้ทุกเรื่อง ถามซ้ำก็ยังมีบ่อย การวิ่งเล่นไปทั่ว นั่งที่ไม่ค่อยจะติด หรือถ้านั่งก็ขยับนิ้วเขี่ยโต๊ะเล่นดินสออะไรไปตามเรื่อง ไม่ค่อยชอบการอดทน พูดแทรก พูดขัด ดื้อ เวลาเถียงอย่างกับโลกทั้งใบเป็นเวทีดีเบต ขี้หลงขี้ลืมเรื่องงาน ไม่ค่อยทำงานส่ง
ทำไมเวลาเรียนเด็กสมาธิสั้นถึงไม่ค่อยจะใส่ใจฟัง ขี้หลงขี้ลืมเรื่องงาน หรือต่อให้จำได้ก็ไม่ค่อยจะยอมทำล่ะ
ข้อนี้สารภาพเลยค่ะว่าตอนเด็กเราก็เป็น เป็นมากด้วย 555555555 คือคนสมาธิสั้นน่ะมีสมาธิสูงนะคะ แต่จะสูงกับสิ่งที่เขารักเขาชอบหรืออาจจะเป็นเรื่องตรงหน้าที่เขาสนใจมากกว่า การกระจายความสนใจไปยังสิ่งอื่นเลยไม่ดีเท่าคนปกติ อย่างสมมุติตอนเรียนในคาบที่ไม่ชอบนี่ความสนใจของตัวเราก็จะพุ่งไปที่ความคิดในหัว วิวนอกหน้าต่าง และทุกสิ่งรอบตัวยกเว้นเวกเตอร์บนกระดาน และต่อให้พยายามดึงตัวเองมาสนใจเรื่องนั้น สักพักก็จะหลุดเข้าสู่โลกจินตนาการที่มีแรงดึงดูดมากกว่าเอง เหตุผลนี้เกี่ยวข้องกับการลืมเรื่องงานเช่นเดียวกันค่ะ เพราะสมองไปสนใจอย่างอื่นอยู่ มารู้ตัวอีกทีก็"....ทำแบบฝึกหัดหรือยัง"จากคุณเพื่อน แล้วก็ปั่นกันตาตั้ง ส่วนเคสจำได้แต่ไม่ทำมักเกิดขึ้นกับงานที่ให้เวลาส่งนานมาก คือเด็กสมาธิสั้นจะเหมือนกับมีเพื่อนคนนึงในหัวที่คอยดึงให้ไปสนุกกัน คนปกติจะฝืนแรงเพื่อนคนนี้ไว้ได้แล้วตั้งหน้าตั้งตาปั่นต่อ แต่ในรายเด็กสมาธิสั้นที่ยังไม่มีการควบคุมตัวเองเท่าวัยผู้ใหญ่เพื่อนคนนี้จะแรงเยอะมาก ฝืนไม่รอดแล้ว มันรู้สึกว่างานพวกนี้น่าเบื่ออยู่แล้ว ฉันต้องเติมเต็ม ฉันจะไปสนุกกันแล้ว แล้วการบ้านชิ้นนั้นก็ฝุ่นเกาะกระทั่งเดธไลน์ไล่กวด
แล้วทำไมเด็กสมาธิสั้นถึงไม่มีความอดทน ชอบโต้เถียง หรืออาจถึงขั้นทะเลาะทั้งกับเพื่อนและผู้ใหญ่
อันนี้ถ้าเลือกได้ก็คงไม่ค่อยมีใครอยากจะไปทะเลาะหรือเถียงใครล่ะมั้งคะ แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะความผิดปกติของฮอร์โมนกดให้คนสมาธิสั้นมีความยับยั้งชั่งใจค่อนข้างน้อยกว่าคนปกติ รอไม่ค่อยได้ ถ้าเกิดไม่ชอบหรือคิดว่ามันไม่ถูกต้องจะแทรกกลางปล้องขึ้นมาเลยโดยเฉพาะในวัยเด็กที่ยังควบคุมตัวเองได้ไม่ดีพอ หรือถ้าเกิดเจอสิ่งเร้าทางลบซ้ำๆอย่างเช่นการล้อเลียน แกล้งทำร้ายร่างกาย(หยิก ดึง จิ้ม) หรือพูดถึงสิ่งที่เขาไม่ชอบขึ้นมา(โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เขาเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบ)ซ้ำๆ อาจกระตุ้นให้เขาเกิดอาการหลุดขึ้นมาได้ ซึ่งสิ่งเร้านี้อาจเกิดขึ้นซ้ำๆในครั้งเดียวหรือเป็นสิ่งที่เกืดขึ้นมาอีกครั้งแล้วซ้อนทับกับสิ่งที่เคยบันทึกในหัวก็ได้
อาการหลุดคืออะไร
เป็นคำเรียกของตัวเราที่ใช้เรียกเวลาที่เรารู้สึกเหมือนกับปีศาจหลุดการควบคุมค่ะ ณ ตอนนั้นคนสมาธิสั้นจะเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้าย การที่จะมานั่งพูดคุยแบบสุภาพชนจะหายไปเป็นความรุนแรงทางด้านคำพูด(ตะโกน ก้าวร้าว โวยวายลั่น) หรือทางการกระทำ(ชกต่อย ทุบตี)ในหลายๆครั้ง หรืออาจจะเป็นการอธิบายทางเหตุผลที่เหมือนละซึ่งตรรกะทั้งปวงไปแล้ว อารมณ์ล้วนๆ(เช่นมีคนแซวว่าจะได้เจอครูCอีก ทั้งที่รู้ว่าเด็กคนนั้นไม่ชอบครูCด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็จะเป็นการเถียงแบบตรูไม่ชอบเพราะ...ฯลฯ) เหมือนกับเป็นอีกตัวตนนึงที่ไม่ใช่ตัวตนเวลาปกติของเรา ทั้งที่ปกติไม่เคยคิดจะพูดแบบนั้น ทั้งที่เวลาปกติเราสามารถอธิบายเหตุผลไปได้ แต่ความหมายลึกๆของพฤติกรรมรุนแรงเหล่านั้นส่วนใหญ่คือต้องการให้อีกฝ่ายหยุดพูด/ทำเรื่องนั้นซะที
หลังจากโดนคนสมาธิสั้นหลุดใส่ ควรจะทำยังไง
จริงๆอาการหลุดนี่เป็นตราบาปที่จะเรียกเสียงซุบซิบได้เยอะเลยนะคะว่าคนๆนี้ไม่มีมารยาท ใช้คำพูดรุนแรง และอื่นๆอีกมากมาย ถ้าเกิดคุณยังมีความผูกพันและปรารถนาดีต่อคนสมาธิสั้นคนนั้นอยู่ ให้เข้าไปตอนเขาสงบลงค่ะ(ปกติคนสมาธิสั้นมักมีภาวะอารมณ์ขึ้นสุดลงสุดค่ะ เขาหลุดได้ไม่ค่อยนานหรอกในแต่ละครั้ง)บอกเขาดีๆว่าการกระทำแบบนี้ไม่เหมาะสมยังไง ชี้แจงเหตุผลตัวเองอย่างมีสติ และคอยเป็นกำลังใจให้เขาค่อยๆควบคุมอารมณ์ให้ได้ดียิ่งขึ้นและเข้มแข็งจากผลที่ทำก่อนหน้า แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณโกรธมากหรือทนเขาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เดินออกมาเถอะค่ะ ถ้าคุณไม่ไหวแล้วมันก็อาจเป็นแผลให้คุณไปตลอด แต่สิ่งที่เราขอร้องคืออย่าซ้ำเติมพวกเขาเลยนะคะ แค่การที่หลุดพฤติกรรมเลวร้ายออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกแย่พออยู่แล้ว ยิ่งประกอบกับเสียงรอบข้างแบบ"นี่ดูสิ มันพูดอย่างนี้กับฉันมาล่ะ ทุเรศเนอะ โวยวายอย่างกับคนบ้า ไม่รู้จักควบคุมตัวเองเลย" (เคยเจอตอนสมัยเรียนหลังจากที่เพื่อนสนิทคนนั้นมาล้อเราจนหลุดใส่ จากนั้นคุณเธอก็เอาไปขยายต่อให้คนทั้งห้องค่ะ ที่สำคัญนินทาระยะเผาขนกะว่าให้เราได้ยินเลย)จะยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากๆ อาจทำให้เกิดการหลุดรอบสองสามสี่ตามมา หรืออาจฉุดเข้าไปทางอาการซึมเศร้าเลยก็ได้(เคยเจอเพื่อนสมาธิสั้นคนนึงโดนแบบนี้มาค่ะ)
หากเป็นครูที่ต้องการจะช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้น
อืม หัวข้อนี้แอบยากแฮะ 5555555 เท่าที่จำได้แม่เราไม่เคยใส่ชื่อโรคสมาธิสั้นเข้าไปในใบโรคประจำตัวเลยค่ะ แถมเรายังดูคล้ายเด็กปกติมากจนครูหลายคนไม่รู้ว่าเราเป็นโรคนี้ แรกสุดคงต้องดูก่อนว่าเด็กสมาธิสั้นคนนั้นสนใจเกี่ยวกับอะไร(หลายคนมักจะคิดว่าสมาธิสั้นแล้วจะชอบพวกคณิตวิทย์ เครื่องยนต์กลไกหรืออะไรที่เป็นการปฏิบัติ เราคนนึงแหละค่ะที่ชอบเกี่ยวกับหนังสือ ภาษา ประวัติศาสตร์) แล้วก็ประยุกต์วิชาที่สอนให้เข้ากับสิ่งที่เขาสนใจ เช่นการผูกเรื่องอัตราส่วนทองคำเข้ากับวิหารพาร์เธนอน อันนี้ทำเราหูผึ่งและตั้งใจเรียนคาบนั้นได้แน่นอนค่ะ แล้วก็ต้องดูด้วยว่าเด็กคนนั้นตื่นตัวไหม เข้ากับเพื่อนได้หรือเปล่า มีแนวโน้มที่จะชอบทำงานกับเพื่อนหรือฉายเดี่ยวมากกว่า อย่างถ้าเป็นเราที่ค่อนข้างเก็บตัว เจองานกลุ่มเข้าบ่อยๆก็เซ็งเหมือนกัน กรณีนี้เอาแค่พอดีๆก็โอเคแล้วค่ะ
สิ่งที่ควรและไม่ควรทำกับเด็กสมาธิสั้น
ควรพูดให้ชัดเจนว่าคุณอยากและไม่อยากให้เขาทำแบบไหน ชอบและไม่ชอบให้เขาทำอะไร ไม่ใช่บอกอ้อมๆให้เขาไปตีความเอาเองหรือคิดว่าเขาน่าจะรู้ว่าเราคิดแบบนี้ๆควรทำแบบนี้ๆ หลายครั้งที่เด็กสมาธิสั้นไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงเพราะเขาอาจไม่ได้จดจ่อกับการพยายามอ่านความคิดอีกฝ่าย หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้น ในมุมมองของเด็กสมาธิสั้นอาจมองเป็นเรื่องสนุกของเขา เช่นแกล้งแหย่คนอื่นหรือถามซอกแซกเกินพอดี ให้อธิบายไปเลยว่าไม่ควรทำแบบนี้ หรือไม่ก็บอกกับเขาไปว่าเรื่องนี้คงตอบไม่ได้(เพราะ....) อย่าเพิ่งบอกว่าเขาไม่มีมารยาทในทันที การตีที่เห็นหลายคนบอกว่ากินไม้เรียวแล้วสงบปากสงบคำกันได้ นั่นเป็นระยะแรกค่ะ ถ้าใช้วิธีนี้บ่อยๆก็มันจะเกิดอาการยอมเจ็บไม่ยอมถอยขึ้น หรือที่เรียกว่าดื้อไม้เรียว หนำซ้ำอารมณ์โกรธที่มักจะมาควบคู่กับการตีก็จะเร้าให้เขาซึมซับและอาจกระทำจนเกิดความรุนแรงต่อผู้อื่นได้ในระยะยาวค่ะ
สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกว่าไม่ได้อยากให้เอาความผิดปกติมาเป็นแต้มต่อ แค่เพียงอยากให้สังคมเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของคนสมาธิสั้นด้วยนะคะ สมาธิสั้นไม่ใช่แค่เด็กซนตัวน้อยไฮเปอร์อยากรู้อยากเห็น แต่อีกด้านนึงที่ควบคุมตัวเองได้ยากก็ยังคงเป็นส่วนของโรคนี้เช่นเดียวกัน ไม่อยากเอาเพียงด้านน่ารักหรือด้านที่ไม่น่ารักมาตัดสินว่าคนสมาธิสั้นเป็นแบบนี้ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ!
มาแชร์ประสบการณ์เรื่องของโรคสมาธิสั้น จากผู้มีอาการสมาธิสั้นคนนึงค่ะ
เคยเห็นกระทู้เกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นในพันทิปมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการขอคำปรึกษาเกี่ยวกับบุตรหลานเนอะ วันนี้เราก็เลยอยากจะพูดในมุมมองของคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นเองและมีคนรอบตัวที่เป็นโรคนี้ดูบ้าง(แต่ข้อมูลอาจไม่แม่นเป๊ะแบบแพทย์เฉพาะทางหรอกนะคะ) 55555555
เราเป็นโรคสมาธิสั้นแท้ค่ะ วินิจฉัยโดยแพทย์เองเลย ตรงนี้อาจมีคำถามว่าสมาธิสั้นแท้ต่างจากสมาธิสั้นเทียมยังไง สมาธิสั้นแท้จะเกิดจากความผิดปกติของสมองโดยฮอร์โมนบางตัวที่หลั่งออกมาจะมีปริมาณที่ผิดปกติ ไม่ได้มีสาเหตุหลักจากสิ่งเร้าภายนอกค่ะ(ทีวี เกม มือถือ) เรียกได้ว่าต่อให้ห่างไกลจากสิ่งพวกนี้ก็ยังจะมีการแสงอาการของโรคอยู่ถ้าเป็น เพียงแต่โดยปกติแล้วภาพสีสันสดใสและการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจะไปกระตุ้นอาการสมาธิสั้นของเด็กที่มีแต่เดิมมาอยู่แล้ว
อาการที่สังเกตได้ง่ายของเด็กสมาธิสั้นเท่าที่เราเคยพบเจอมา
สมาธิสั้นแบ่งได้หลักๆสองกลุ่มค่ะ คือกลุ่มซน(ส่วนมากเป็นผู้ชาย) กับกลุ่มเหม่อ(ส่วนมากเป็นผู้หญิง) แต่จากภาพลักษณ์ของเด็กสมาธิสั้นที่อิงแอบแนบชิดมากับอาการไฮเปอร์ ทำให้คนที่เป็นสมาธิสั้นแบบเหม่อและเก็บอาการได้ในระดับนึงมักถูกมองว่าเป็นเด็กทั่วไป 5555555 เข้าเรื่องเลยดีกว่า อาการที่พบได้เช่น การเป็นเจ้าหนูจำไม ถามมากถามมาย ถามได้ทุกเรื่อง ถามซ้ำก็ยังมีบ่อย การวิ่งเล่นไปทั่ว นั่งที่ไม่ค่อยจะติด หรือถ้านั่งก็ขยับนิ้วเขี่ยโต๊ะเล่นดินสออะไรไปตามเรื่อง ไม่ค่อยชอบการอดทน พูดแทรก พูดขัด ดื้อ เวลาเถียงอย่างกับโลกทั้งใบเป็นเวทีดีเบต ขี้หลงขี้ลืมเรื่องงาน ไม่ค่อยทำงานส่ง
ทำไมเวลาเรียนเด็กสมาธิสั้นถึงไม่ค่อยจะใส่ใจฟัง ขี้หลงขี้ลืมเรื่องงาน หรือต่อให้จำได้ก็ไม่ค่อยจะยอมทำล่ะ
ข้อนี้สารภาพเลยค่ะว่าตอนเด็กเราก็เป็น เป็นมากด้วย 555555555 คือคนสมาธิสั้นน่ะมีสมาธิสูงนะคะ แต่จะสูงกับสิ่งที่เขารักเขาชอบหรืออาจจะเป็นเรื่องตรงหน้าที่เขาสนใจมากกว่า การกระจายความสนใจไปยังสิ่งอื่นเลยไม่ดีเท่าคนปกติ อย่างสมมุติตอนเรียนในคาบที่ไม่ชอบนี่ความสนใจของตัวเราก็จะพุ่งไปที่ความคิดในหัว วิวนอกหน้าต่าง และทุกสิ่งรอบตัวยกเว้นเวกเตอร์บนกระดาน และต่อให้พยายามดึงตัวเองมาสนใจเรื่องนั้น สักพักก็จะหลุดเข้าสู่โลกจินตนาการที่มีแรงดึงดูดมากกว่าเอง เหตุผลนี้เกี่ยวข้องกับการลืมเรื่องงานเช่นเดียวกันค่ะ เพราะสมองไปสนใจอย่างอื่นอยู่ มารู้ตัวอีกทีก็"....ทำแบบฝึกหัดหรือยัง"จากคุณเพื่อน แล้วก็ปั่นกันตาตั้ง ส่วนเคสจำได้แต่ไม่ทำมักเกิดขึ้นกับงานที่ให้เวลาส่งนานมาก คือเด็กสมาธิสั้นจะเหมือนกับมีเพื่อนคนนึงในหัวที่คอยดึงให้ไปสนุกกัน คนปกติจะฝืนแรงเพื่อนคนนี้ไว้ได้แล้วตั้งหน้าตั้งตาปั่นต่อ แต่ในรายเด็กสมาธิสั้นที่ยังไม่มีการควบคุมตัวเองเท่าวัยผู้ใหญ่เพื่อนคนนี้จะแรงเยอะมาก ฝืนไม่รอดแล้ว มันรู้สึกว่างานพวกนี้น่าเบื่ออยู่แล้ว ฉันต้องเติมเต็ม ฉันจะไปสนุกกันแล้ว แล้วการบ้านชิ้นนั้นก็ฝุ่นเกาะกระทั่งเดธไลน์ไล่กวด
แล้วทำไมเด็กสมาธิสั้นถึงไม่มีความอดทน ชอบโต้เถียง หรืออาจถึงขั้นทะเลาะทั้งกับเพื่อนและผู้ใหญ่
อันนี้ถ้าเลือกได้ก็คงไม่ค่อยมีใครอยากจะไปทะเลาะหรือเถียงใครล่ะมั้งคะ แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะความผิดปกติของฮอร์โมนกดให้คนสมาธิสั้นมีความยับยั้งชั่งใจค่อนข้างน้อยกว่าคนปกติ รอไม่ค่อยได้ ถ้าเกิดไม่ชอบหรือคิดว่ามันไม่ถูกต้องจะแทรกกลางปล้องขึ้นมาเลยโดยเฉพาะในวัยเด็กที่ยังควบคุมตัวเองได้ไม่ดีพอ หรือถ้าเกิดเจอสิ่งเร้าทางลบซ้ำๆอย่างเช่นการล้อเลียน แกล้งทำร้ายร่างกาย(หยิก ดึง จิ้ม) หรือพูดถึงสิ่งที่เขาไม่ชอบขึ้นมา(โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เขาเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบ)ซ้ำๆ อาจกระตุ้นให้เขาเกิดอาการหลุดขึ้นมาได้ ซึ่งสิ่งเร้านี้อาจเกิดขึ้นซ้ำๆในครั้งเดียวหรือเป็นสิ่งที่เกืดขึ้นมาอีกครั้งแล้วซ้อนทับกับสิ่งที่เคยบันทึกในหัวก็ได้
อาการหลุดคืออะไร
เป็นคำเรียกของตัวเราที่ใช้เรียกเวลาที่เรารู้สึกเหมือนกับปีศาจหลุดการควบคุมค่ะ ณ ตอนนั้นคนสมาธิสั้นจะเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้าย การที่จะมานั่งพูดคุยแบบสุภาพชนจะหายไปเป็นความรุนแรงทางด้านคำพูด(ตะโกน ก้าวร้าว โวยวายลั่น) หรือทางการกระทำ(ชกต่อย ทุบตี)ในหลายๆครั้ง หรืออาจจะเป็นการอธิบายทางเหตุผลที่เหมือนละซึ่งตรรกะทั้งปวงไปแล้ว อารมณ์ล้วนๆ(เช่นมีคนแซวว่าจะได้เจอครูCอีก ทั้งที่รู้ว่าเด็กคนนั้นไม่ชอบครูCด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็จะเป็นการเถียงแบบตรูไม่ชอบเพราะ...ฯลฯ) เหมือนกับเป็นอีกตัวตนนึงที่ไม่ใช่ตัวตนเวลาปกติของเรา ทั้งที่ปกติไม่เคยคิดจะพูดแบบนั้น ทั้งที่เวลาปกติเราสามารถอธิบายเหตุผลไปได้ แต่ความหมายลึกๆของพฤติกรรมรุนแรงเหล่านั้นส่วนใหญ่คือต้องการให้อีกฝ่ายหยุดพูด/ทำเรื่องนั้นซะที
หลังจากโดนคนสมาธิสั้นหลุดใส่ ควรจะทำยังไง
จริงๆอาการหลุดนี่เป็นตราบาปที่จะเรียกเสียงซุบซิบได้เยอะเลยนะคะว่าคนๆนี้ไม่มีมารยาท ใช้คำพูดรุนแรง และอื่นๆอีกมากมาย ถ้าเกิดคุณยังมีความผูกพันและปรารถนาดีต่อคนสมาธิสั้นคนนั้นอยู่ ให้เข้าไปตอนเขาสงบลงค่ะ(ปกติคนสมาธิสั้นมักมีภาวะอารมณ์ขึ้นสุดลงสุดค่ะ เขาหลุดได้ไม่ค่อยนานหรอกในแต่ละครั้ง)บอกเขาดีๆว่าการกระทำแบบนี้ไม่เหมาะสมยังไง ชี้แจงเหตุผลตัวเองอย่างมีสติ และคอยเป็นกำลังใจให้เขาค่อยๆควบคุมอารมณ์ให้ได้ดียิ่งขึ้นและเข้มแข็งจากผลที่ทำก่อนหน้า แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณโกรธมากหรือทนเขาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เดินออกมาเถอะค่ะ ถ้าคุณไม่ไหวแล้วมันก็อาจเป็นแผลให้คุณไปตลอด แต่สิ่งที่เราขอร้องคืออย่าซ้ำเติมพวกเขาเลยนะคะ แค่การที่หลุดพฤติกรรมเลวร้ายออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกแย่พออยู่แล้ว ยิ่งประกอบกับเสียงรอบข้างแบบ"นี่ดูสิ มันพูดอย่างนี้กับฉันมาล่ะ ทุเรศเนอะ โวยวายอย่างกับคนบ้า ไม่รู้จักควบคุมตัวเองเลย" (เคยเจอตอนสมัยเรียนหลังจากที่เพื่อนสนิทคนนั้นมาล้อเราจนหลุดใส่ จากนั้นคุณเธอก็เอาไปขยายต่อให้คนทั้งห้องค่ะ ที่สำคัญนินทาระยะเผาขนกะว่าให้เราได้ยินเลย)จะยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากๆ อาจทำให้เกิดการหลุดรอบสองสามสี่ตามมา หรืออาจฉุดเข้าไปทางอาการซึมเศร้าเลยก็ได้(เคยเจอเพื่อนสมาธิสั้นคนนึงโดนแบบนี้มาค่ะ)
หากเป็นครูที่ต้องการจะช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้น
อืม หัวข้อนี้แอบยากแฮะ 5555555 เท่าที่จำได้แม่เราไม่เคยใส่ชื่อโรคสมาธิสั้นเข้าไปในใบโรคประจำตัวเลยค่ะ แถมเรายังดูคล้ายเด็กปกติมากจนครูหลายคนไม่รู้ว่าเราเป็นโรคนี้ แรกสุดคงต้องดูก่อนว่าเด็กสมาธิสั้นคนนั้นสนใจเกี่ยวกับอะไร(หลายคนมักจะคิดว่าสมาธิสั้นแล้วจะชอบพวกคณิตวิทย์ เครื่องยนต์กลไกหรืออะไรที่เป็นการปฏิบัติ เราคนนึงแหละค่ะที่ชอบเกี่ยวกับหนังสือ ภาษา ประวัติศาสตร์) แล้วก็ประยุกต์วิชาที่สอนให้เข้ากับสิ่งที่เขาสนใจ เช่นการผูกเรื่องอัตราส่วนทองคำเข้ากับวิหารพาร์เธนอน อันนี้ทำเราหูผึ่งและตั้งใจเรียนคาบนั้นได้แน่นอนค่ะ แล้วก็ต้องดูด้วยว่าเด็กคนนั้นตื่นตัวไหม เข้ากับเพื่อนได้หรือเปล่า มีแนวโน้มที่จะชอบทำงานกับเพื่อนหรือฉายเดี่ยวมากกว่า อย่างถ้าเป็นเราที่ค่อนข้างเก็บตัว เจองานกลุ่มเข้าบ่อยๆก็เซ็งเหมือนกัน กรณีนี้เอาแค่พอดีๆก็โอเคแล้วค่ะ
สิ่งที่ควรและไม่ควรทำกับเด็กสมาธิสั้น
ควรพูดให้ชัดเจนว่าคุณอยากและไม่อยากให้เขาทำแบบไหน ชอบและไม่ชอบให้เขาทำอะไร ไม่ใช่บอกอ้อมๆให้เขาไปตีความเอาเองหรือคิดว่าเขาน่าจะรู้ว่าเราคิดแบบนี้ๆควรทำแบบนี้ๆ หลายครั้งที่เด็กสมาธิสั้นไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงเพราะเขาอาจไม่ได้จดจ่อกับการพยายามอ่านความคิดอีกฝ่าย หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้น ในมุมมองของเด็กสมาธิสั้นอาจมองเป็นเรื่องสนุกของเขา เช่นแกล้งแหย่คนอื่นหรือถามซอกแซกเกินพอดี ให้อธิบายไปเลยว่าไม่ควรทำแบบนี้ หรือไม่ก็บอกกับเขาไปว่าเรื่องนี้คงตอบไม่ได้(เพราะ....) อย่าเพิ่งบอกว่าเขาไม่มีมารยาทในทันที การตีที่เห็นหลายคนบอกว่ากินไม้เรียวแล้วสงบปากสงบคำกันได้ นั่นเป็นระยะแรกค่ะ ถ้าใช้วิธีนี้บ่อยๆก็มันจะเกิดอาการยอมเจ็บไม่ยอมถอยขึ้น หรือที่เรียกว่าดื้อไม้เรียว หนำซ้ำอารมณ์โกรธที่มักจะมาควบคู่กับการตีก็จะเร้าให้เขาซึมซับและอาจกระทำจนเกิดความรุนแรงต่อผู้อื่นได้ในระยะยาวค่ะ
สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกว่าไม่ได้อยากให้เอาความผิดปกติมาเป็นแต้มต่อ แค่เพียงอยากให้สังคมเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของคนสมาธิสั้นด้วยนะคะ สมาธิสั้นไม่ใช่แค่เด็กซนตัวน้อยไฮเปอร์อยากรู้อยากเห็น แต่อีกด้านนึงที่ควบคุมตัวเองได้ยากก็ยังคงเป็นส่วนของโรคนี้เช่นเดียวกัน ไม่อยากเอาเพียงด้านน่ารักหรือด้านที่ไม่น่ารักมาตัดสินว่าคนสมาธิสั้นเป็นแบบนี้ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ!