ขอแชร์ประสบการณ์เรื่องการลืมของบนรถไฟ JR Yamanote Line ที่โตเกียวนะคะ อย่างที่ทราบๆกันอยู่ว่าการเดินทางที่สะดวกสบายและเป็นที่นิยมอย่างมากเวลาไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นคือรถไฟ ประเทศนี้มีการวางผังการเดินรถไฟได้สุดยอด ทั้งๆที่เป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ แต่พวกเค้าใช้รถยนต์กันน้อยมากค่ะ ช่วงเวลาก่อนเริ่มและหลังเลิกงาน คนจะแน่นมาก แต่ก็ไม่เลวร้ายเพราะเค้ามีจำนวนตู้โดยสารในแต่ละขบวนเยอะมากน่าจะมากกว่า 10 ตู้เลยค่ะ
เนื่องจากการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการไปเที่ยวกันเอง การเดินทางไปเที่ยวในทุกๆที่ จึงเน้นการใช้รถไฟทั้งบนดินและใต้ดินเป็นหลัก และการเดินทางในเมืองโตเกียวรถไฟสายหลักคือสาย Yamanote ที่วุ่นวนรอบเมืองเป็นวงกลม ขบวนรถมีคนใช้บริการแน่นมาก รถไฟจึงมีชั้นวางของเหนือศรีษะตรงเก้าอี้นั่งเพื่อให้คนวางกระเป๋า เพราะเวลายืนเบียดกันมันจะแน่นมาก รถไฟจะได้รองรับคนยืนได้มากขึ้น ประสบการณ์ครั้งนี้จึงบังเกิดขี้นค่ะ (กลัวว่าจะไม่มีเรื่องให้ตื่นเต้น) คุนลูกชายตัวดีวางเป้สะพายหลังไว้บนชั้นวางที่ทางรถไฟจัดไว้ และได้นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือเพลินจนถึงสถานีที่ต้องลง เมื่อถึงสถานีเธอจึงรีบลุกพรวดพราดออกมาจากขบวนรถไฟ โดยไม่ทันนึกถึงเป้ที่วางเอาไว้บนชั้นวางของ จนเมื่อจะเดินออกจากสถานีแล้วถึงได้รู้ตัว พวกเราตกใจมากรีบเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่ในสถานีรถไฟที่อยู่ด้านหน้าตรงทางเข้าออก เนื่องจากสถานีนี้ (นิปโปริ) มีขนาดเล็ก เจ้าหน้าที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เราต้องใช้ภาษามือเข้าช่วย ทางเจ้าหน้าที่รีบยื่นเบอร์ call center เพื่อให้เราติดต่อเอง และพยายามบอกเราว่ารถไฟจะวนกลับมาที่เดิมในอีก 1 ชม. เราวิ่งหาตู้โทรศัพท์สาธาณะ สายโทรศัพท์ไม่ว่างเลยแต่ในที่สุดก็ติดแต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ช่วยบอกเราให้โทรไปที่เบอร์อื่นแทน แต่สายโทรศัพท์ก็ยังคงไม่ว่าง แถมเมื่อโทรติด ก็แจ้งว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถมารับสายได้ให้ถือสายรอแล้วก็ตัดสายทิ้ง แงๆๆ แล้วนี่เราจะทำอย่างไร
พ่อลูกชายตัวดีวิ่งไปยืนรอรถไฟที่ชานชลา โดยหวังว่าในอีก 1 ชม.ข้างหน้าฉันจะได้เจอกระเป๋า ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าขบวนรถไฟเบอร์อะไร และไม่แน่ใจว่านั่งตู้ที่เท่าไหร่ ส่วนเราคิดว่าควรออกมาขอความช่วยเหลือจากพนักงานที่โรงแรมที่พักน่าจะได้ผลกว่า เพราะสามารถช่วยโทรไปคุยกับทาง call center เป็นภาษาญี่ปุ่นได้ สรุปลูกชายผิดหวังตามหากันไม่เจอแม้ว่าจะรอจนเลย 1 ชมไปแล้ว ส่วนทางโรงแรมก็ช่วยโทรจนติด สื่อสารแล้วบอกว่ายังไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องรอจนกว่ารถไฟขบวนนี้จะหยุดพัก แล้วช่วงเวลาสุดท้ายที่ขบวนจะหยุดพักคือหลังเที่ยงคืน ถึงจะมีการตรวจของที่ค้างอยู่บนรถไฟ แล้วส่งรายการมายังส่วนกลางอีกที โดยเราต้องโทรกลับไปตรวจสอบเอง เราจึงขอร้องให้ทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรมช่วยโทรสอบถามให้เรา
วันรุ่งขึ้นทางเจ้าหน้าที่โรงแรมก็ยังไม่สามารถสอบถามให้เราได้ เราจึงไปเที่ยวต่อโดยทำใจว่าคงไม่ได้กระเป๋าคืนแล้ว แต่หลังจากเราไปเที่ยวกลับมา พวกเราจึงคิดว่าควรไปสอบถามโดยตรงกับแผนก Lost & Found ในสถานีใหญ่ๆ ซึ่งวันนั้นเรากลับมาที่สถานี Ueno ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ เราจึงตรงดิ่งไปถามหาแผนก Lost & Found ทันที ที่สถานีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียวค่ะ พวกเค้าช่วยบอกทางให้เราไปยังห้อง Lost & Found ซึ่งตั้งอยู่ลึกลับห่างไปจากทางเข้าออกของสถานีพอสมควรทีเดียว พอได้เจอกับเจ้าหน้า เค้าจะให้เราแจ้งรายละเอียดของของที่เราทำหาย ทั้งสี ยี่ห้อ และสิ่งที่อยู่ด้านในโดยละเอียด เพื่อให้เค้าตรวจเช็คและสามารถยืนยันว่าเป็นของของเราจริง เจ้าหน้าที่ไปโทรเช็คอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเค้าก็ตรวจพบของๆเราที่ตรงตามรายการที่เราแจ้ง เค้ากลับมาให้เรายืนยันอีกครั้ง พวกเราดีใจกันมาก เค้าช่วยติดต่อกับสถานีที่เก็บของๆเราไว้ ถามเราว่าจะไปรับของวันนี้เลยไหม เราตอบว่าไป เค้าแจ้งทางนั้นและเขียนใบให้เราไปรับของที่สถานีนั้นเองค่ะ โดยตอนไปรับให้ใช้พาสปอร์ตยืนยันตัวตนด้วยค่ะ เราต้องไปรับของที่สถานี Osaki ซึ่งห่างจากสถานีอูเอโนะ ไปอีกราว 10 สถานี
พอเราไปถึงแผนก Lost & Found ของสถานีนี้ ตั้งอยู่ที่ชานชลาค่ะ เกือบหาไม่เจอ 555 เดินวนหาซะหลายรอบจนสุดท้ายต้องยื่นใบที่เค้าเขียนให้มาให้เจ้าหน้าที่สถานีดูเพราะเกรงว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องค่ะ สุดท้ายพ่อลูกชายตัวดีก็ได้กระเป๋าเป้คืน หน้าบาน ของครบทุกชิ้นเลยค่ะ ขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ไปหลายรอบมากเลยค่ะ เพราะไม่หวังว่าจะได้คืน
จากประสบการณฺนะคะ เราสามารถตามของที่หายได้หลังจากที่เกิดเหตุไปแล้ว 1 วันค่ะ เพราะเค้าจะใส่รายการของที่มีคนลืมเอาไว้ลงในระบบเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราไปที่แผนก Lost &Found เจ้าหน้าที่จึงจะได้หาข้อมูลของๆเราได้ค่ะ เมื่อไปถึงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ถึงรายการของที่เราลืมโดยละเอียด เพื่อให้เค้าตรวจเช็คและสามารถยืนยันว่าเป็นของของเราจริง ตอนไปรับให้ใช้พาสปอร์ตยืนยันตัวตนด้วยค่ะ
และสิ่งที่เราควรเตรียมพร้อมเวลาไปเที่ยวโดยใช้รถไฟคือรู้ว่าขึ้นรถไฟขบวนเบอร์อะไร ซึ่งจะมีเบอร์ขึ้นที่หน้าหัวขบวน ตู้เบอร์อะไรจะมีเลขบอกที่ตู้ค่ะ ขึ้นลงเวลาอะไร จากสถานีไหนไปสถานีไหน เพราะเวลาไปตามหาของเค้าจะถามเราค่ะ แต่ถ้าไม่รู้ทั้งหมดก็ไม่เป็นไรนะคะ แต่ถ้ามีไว้อาจจะสามารถหาของได้ง่ายและไวขึ้นค่ะ
สุดท้ายคือ พยายามมีสติรู้ตัวตลอดเวลา และอย่าลืมของไว้บนรถไฟจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ 555 😅😂😁 ท่องไว้นะคะ ของหายให้พึ่งตัวเองไปหาแผนก Lost & Found ที่สถานีใหญ่ๆ หลักๆ ให้เจอ ที่ญี่ปุ่นทำของหายมีโอกาสได้คืนมากๆๆๆๆๆๆๆ แค่เราจะไปตามหามันหรือปล่าวนะคะ อุปสรรคเดียวคือต้องสื่อสารกันให้รู้เรื่องด้วยค่ะ ถ้าทำได้คือ Happy Ending ค่ะ หวังว่าประสบการณืนี้คงจะพอเป็นเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนักเดินทางทุกๆคนนะค้าาา ขอให้มีสติ ไม่ลืมของกันนะคะทุกคน
[CR] ขอแชร์ประสบการณ์ลืมกระเป๋าเป้ไว้บนรถไฟ สาย JR Yamanote Line ค่ะ
เนื่องจากการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการไปเที่ยวกันเอง การเดินทางไปเที่ยวในทุกๆที่ จึงเน้นการใช้รถไฟทั้งบนดินและใต้ดินเป็นหลัก และการเดินทางในเมืองโตเกียวรถไฟสายหลักคือสาย Yamanote ที่วุ่นวนรอบเมืองเป็นวงกลม ขบวนรถมีคนใช้บริการแน่นมาก รถไฟจึงมีชั้นวางของเหนือศรีษะตรงเก้าอี้นั่งเพื่อให้คนวางกระเป๋า เพราะเวลายืนเบียดกันมันจะแน่นมาก รถไฟจะได้รองรับคนยืนได้มากขึ้น ประสบการณ์ครั้งนี้จึงบังเกิดขี้นค่ะ (กลัวว่าจะไม่มีเรื่องให้ตื่นเต้น) คุนลูกชายตัวดีวางเป้สะพายหลังไว้บนชั้นวางที่ทางรถไฟจัดไว้ และได้นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือเพลินจนถึงสถานีที่ต้องลง เมื่อถึงสถานีเธอจึงรีบลุกพรวดพราดออกมาจากขบวนรถไฟ โดยไม่ทันนึกถึงเป้ที่วางเอาไว้บนชั้นวางของ จนเมื่อจะเดินออกจากสถานีแล้วถึงได้รู้ตัว พวกเราตกใจมากรีบเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่ในสถานีรถไฟที่อยู่ด้านหน้าตรงทางเข้าออก เนื่องจากสถานีนี้ (นิปโปริ) มีขนาดเล็ก เจ้าหน้าที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เราต้องใช้ภาษามือเข้าช่วย ทางเจ้าหน้าที่รีบยื่นเบอร์ call center เพื่อให้เราติดต่อเอง และพยายามบอกเราว่ารถไฟจะวนกลับมาที่เดิมในอีก 1 ชม. เราวิ่งหาตู้โทรศัพท์สาธาณะ สายโทรศัพท์ไม่ว่างเลยแต่ในที่สุดก็ติดแต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ช่วยบอกเราให้โทรไปที่เบอร์อื่นแทน แต่สายโทรศัพท์ก็ยังคงไม่ว่าง แถมเมื่อโทรติด ก็แจ้งว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถมารับสายได้ให้ถือสายรอแล้วก็ตัดสายทิ้ง แงๆๆ แล้วนี่เราจะทำอย่างไร
พ่อลูกชายตัวดีวิ่งไปยืนรอรถไฟที่ชานชลา โดยหวังว่าในอีก 1 ชม.ข้างหน้าฉันจะได้เจอกระเป๋า ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าขบวนรถไฟเบอร์อะไร และไม่แน่ใจว่านั่งตู้ที่เท่าไหร่ ส่วนเราคิดว่าควรออกมาขอความช่วยเหลือจากพนักงานที่โรงแรมที่พักน่าจะได้ผลกว่า เพราะสามารถช่วยโทรไปคุยกับทาง call center เป็นภาษาญี่ปุ่นได้ สรุปลูกชายผิดหวังตามหากันไม่เจอแม้ว่าจะรอจนเลย 1 ชมไปแล้ว ส่วนทางโรงแรมก็ช่วยโทรจนติด สื่อสารแล้วบอกว่ายังไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องรอจนกว่ารถไฟขบวนนี้จะหยุดพัก แล้วช่วงเวลาสุดท้ายที่ขบวนจะหยุดพักคือหลังเที่ยงคืน ถึงจะมีการตรวจของที่ค้างอยู่บนรถไฟ แล้วส่งรายการมายังส่วนกลางอีกที โดยเราต้องโทรกลับไปตรวจสอบเอง เราจึงขอร้องให้ทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรมช่วยโทรสอบถามให้เรา
วันรุ่งขึ้นทางเจ้าหน้าที่โรงแรมก็ยังไม่สามารถสอบถามให้เราได้ เราจึงไปเที่ยวต่อโดยทำใจว่าคงไม่ได้กระเป๋าคืนแล้ว แต่หลังจากเราไปเที่ยวกลับมา พวกเราจึงคิดว่าควรไปสอบถามโดยตรงกับแผนก Lost & Found ในสถานีใหญ่ๆ ซึ่งวันนั้นเรากลับมาที่สถานี Ueno ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ เราจึงตรงดิ่งไปถามหาแผนก Lost & Found ทันที ที่สถานีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียวค่ะ พวกเค้าช่วยบอกทางให้เราไปยังห้อง Lost & Found ซึ่งตั้งอยู่ลึกลับห่างไปจากทางเข้าออกของสถานีพอสมควรทีเดียว พอได้เจอกับเจ้าหน้า เค้าจะให้เราแจ้งรายละเอียดของของที่เราทำหาย ทั้งสี ยี่ห้อ และสิ่งที่อยู่ด้านในโดยละเอียด เพื่อให้เค้าตรวจเช็คและสามารถยืนยันว่าเป็นของของเราจริง เจ้าหน้าที่ไปโทรเช็คอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเค้าก็ตรวจพบของๆเราที่ตรงตามรายการที่เราแจ้ง เค้ากลับมาให้เรายืนยันอีกครั้ง พวกเราดีใจกันมาก เค้าช่วยติดต่อกับสถานีที่เก็บของๆเราไว้ ถามเราว่าจะไปรับของวันนี้เลยไหม เราตอบว่าไป เค้าแจ้งทางนั้นและเขียนใบให้เราไปรับของที่สถานีนั้นเองค่ะ โดยตอนไปรับให้ใช้พาสปอร์ตยืนยันตัวตนด้วยค่ะ เราต้องไปรับของที่สถานี Osaki ซึ่งห่างจากสถานีอูเอโนะ ไปอีกราว 10 สถานี
พอเราไปถึงแผนก Lost & Found ของสถานีนี้ ตั้งอยู่ที่ชานชลาค่ะ เกือบหาไม่เจอ 555 เดินวนหาซะหลายรอบจนสุดท้ายต้องยื่นใบที่เค้าเขียนให้มาให้เจ้าหน้าที่สถานีดูเพราะเกรงว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องค่ะ สุดท้ายพ่อลูกชายตัวดีก็ได้กระเป๋าเป้คืน หน้าบาน ของครบทุกชิ้นเลยค่ะ ขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ไปหลายรอบมากเลยค่ะ เพราะไม่หวังว่าจะได้คืน
จากประสบการณฺนะคะ เราสามารถตามของที่หายได้หลังจากที่เกิดเหตุไปแล้ว 1 วันค่ะ เพราะเค้าจะใส่รายการของที่มีคนลืมเอาไว้ลงในระบบเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราไปที่แผนก Lost &Found เจ้าหน้าที่จึงจะได้หาข้อมูลของๆเราได้ค่ะ เมื่อไปถึงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ถึงรายการของที่เราลืมโดยละเอียด เพื่อให้เค้าตรวจเช็คและสามารถยืนยันว่าเป็นของของเราจริง ตอนไปรับให้ใช้พาสปอร์ตยืนยันตัวตนด้วยค่ะ
และสิ่งที่เราควรเตรียมพร้อมเวลาไปเที่ยวโดยใช้รถไฟคือรู้ว่าขึ้นรถไฟขบวนเบอร์อะไร ซึ่งจะมีเบอร์ขึ้นที่หน้าหัวขบวน ตู้เบอร์อะไรจะมีเลขบอกที่ตู้ค่ะ ขึ้นลงเวลาอะไร จากสถานีไหนไปสถานีไหน เพราะเวลาไปตามหาของเค้าจะถามเราค่ะ แต่ถ้าไม่รู้ทั้งหมดก็ไม่เป็นไรนะคะ แต่ถ้ามีไว้อาจจะสามารถหาของได้ง่ายและไวขึ้นค่ะ
สุดท้ายคือ พยายามมีสติรู้ตัวตลอดเวลา และอย่าลืมของไว้บนรถไฟจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ 555 😅😂😁 ท่องไว้นะคะ ของหายให้พึ่งตัวเองไปหาแผนก Lost & Found ที่สถานีใหญ่ๆ หลักๆ ให้เจอ ที่ญี่ปุ่นทำของหายมีโอกาสได้คืนมากๆๆๆๆๆๆๆ แค่เราจะไปตามหามันหรือปล่าวนะคะ อุปสรรคเดียวคือต้องสื่อสารกันให้รู้เรื่องด้วยค่ะ ถ้าทำได้คือ Happy Ending ค่ะ หวังว่าประสบการณืนี้คงจะพอเป็นเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนักเดินทางทุกๆคนนะค้าาา ขอให้มีสติ ไม่ลืมของกันนะคะทุกคน