1.เหตุแห่งปัญหา
“สงครามกลางเมือง” ที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองเราในขณะนี้นอกจากจะเกิดจากการ “ชิงตำแหน่ง แย่งอำนาจ” กันเอง ระหว่าง “ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง” แล้ว ยังมีสาเหตุที่แท้จริงมาจาก “ต้นไม้พิษ” คือการปกครองแบบ “เผด็จการระบบรัฐสภา” ที่เปิดโอกาสให้ “ทุนผูกขาด” “ผู้อยู่เบื้องหลังการปกครอง” ได้มีโอกาสกดขี่ขูดรีดกรรมกร ชาวไร่ชาวนา และทำลายทุนขนาดกลางขนาดย่อมอย่างถูกกฏหมายอีกด้วย
ผลของการขูดรีดของ “ทุนผูกขาด” ภายใต้อำนาจรัฐเผด็จการทำให้ “ความยากจนของคนส่วนใหญ่” “ผกผัน” กับ “ความร่ำรวยของคนส่วนน้อย” อย่างรุนแรง ช่องว่างระหว่างชนชั้นดังกล่าวจึงทำให้ “คนส่วนใหญ่” จำต้องกลายเป็น “ทาส” ทางการเมืองและทาสทางเศรษฐกิจ ของคนส่วนน้อย ผู้ร่ำรวย “ทั้งทางตรงและทางอ้อม” ไปโดยพฤตินัย
การที่คนจนเป็นทาสคนรวยโดยพฤตินัยดังกล่าวนำมาซึ่ง
วัฒนธรรมเผด็จการ!
วัฒนธรรมเผด็จการคือ “ความสัมพันธ์ภายใน” ของการกดขี่ภายในสังคมทั้งระบบ เช่นหัวหน้างาน (หัวหน้าทาส) ต้องช่วยนายทุน (นายทาส) คุมทาส คุมกรรมกรทำงานหนัก เพื่อให้การ “ขูดรีดแรงงาน” เพื่อนายทาสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนทาสใด กรรมกรใด ถ้าอยากจะอยู่รอดปลอดภัยในองค์กรได้ก็ต้อง “พินอบพิเทา” ต้องประจบ ต้องเลีย หัวหน้างานหัวหน้าทาส เพื่อหัวหน้างาน หัวหน้าทาสให้ความเมตตา มอบหมายงานดี เงินดีให้ทำ ในระบบราชการก็เกิดวัฒนธรรม “ถูกต้องครับนาย ใช่ครับผม” เพื่อการอยู่รอดและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การใช้ “เสน่หา” และการ “ซื้อขายตำแหน่ง” เป็นเครื่องมือในการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งในทุกกระทรวงทบวงกรม ทำให้คนไร้ความสามารถข้ามหัวคนมีความสามารถและซื่อสัตย์ขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ส่งผลทำให้เกิด “ความแตกแยก” ในองค์กร ความแตกแยกในองค์กรและความไร้ประสิทธิภาพของหัวหน้างาน ทำให้องค์กรอ่อนแอมากขึ้นๆทุกวัน
ยิ่งไปกว่านั้นวัฒนธรรมเผด็จการยังส่งผลให้ “ความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย” และ “ความเสมอภาคในโอกาส” ของคนรวยผู้ร่ำรวยผู้อยู่เบื้องหลังการปกครองกับคนจนผู้ถูกปกครอง มีสภาพที่แตกต่างกันดังฟ้ากับเหว ส่งผลทำให้เกิดอาชญากรรมมากมายตามมา การปล้นธนาคารเอย ปล้นร้านทองเอย ปล้นร้านสะดวกซื้อเอยเกิดขึ้นดังดอกเห็ด การหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก คนติดยาเสพติดมีปริมาณมากจนคุกล้น สะท้อนภาพเลวร้ายของสังคมอันเกิดจากระบอบเผด็จการที่สะสมและบ่มปัญหาอย่างต่อเนื่องมาแล้วกว่า 80 ปีได้เป็นอย่างดี จนนำมาซึ่ง “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” และสงครามประชาชนในวันนี้
สงครามประชาชนคือสงครามที่ประชาชนทำสงครามกับผู้ปกครอง ไม่ว่าผู้ปกครองนั้นจะมีสีเหลืองหรือสีแดงเป็นสัญลักษณ์
วันนี้ฝ่ายทุนผูกขาดใหม่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนทุนผูกขาดเก่าที่ครองอำนาจมายาวนาน ดังนั้นเมื่อ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” ตรงกับยุคที่ “ยิ่งลักษณ์” เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ยิ่งลักษณ์จึงต้องกลายเป็น “แพะรับบาป” ของระบอบเผด็จการ” มากกว่ารัฐบาลเผด็จการใดๆที่มีมาแต่ในอดีต เพราะเธอ ถูก 2 ศึกขนาบ
ศึกหนึ่งกับ “มวลชนที่ต้องการประชาธิปไตย” ศึกสองกับ “เผด็จการเหลือง” ผู้ฉวยโอกาส
ศึกแรกมวลชนประชาธิปไตยแม้จะไม่ชอบเผด็จการเหลืองแต่ก็ “ยืมมือ” เผด็จการเหลืองมาโค่นเผด็จการแดงและใน “โอกาสเดียวกัน” “เผด็จการเหลือง” ก็ “ยืมมือ” มวลชนประชาธิปไตย “มาเป็นเครื่องมือ” ในการแย่งอำนาจคืน
แต่ความต่างใน 1.จุดยืน 2.ทัศนะ และ3.มรรควิธี (แนวทาง) ของคนในชาติ เมื่อเกิดสภาวะประฏิวัติกระแสสูงจึงส่งผลทำให้ “ความขัดแย้ง” ระหว่าง “ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง” “ประชาชน” กับ “ประชาชน” ลุกลามไปทุกสาขาอาชีพ ทุกครอบครัว และทุกภูมิภาค
คงไม่ต้องไปอธิบายถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครอง (แดง)กับผู้ปกครอง (เหลือง) ว่าเกิดจากการแย่งอำนาจและผลประโยชน์อย่างไร
แต่ถ้าไปถามมวลชนเจตนาประชาธิปไตย “แต่ละฝ่าย” ที่รวมตัวกัน โค่นรัฐบาลเผด็จการให้เหลือง โค่นรัฐบาลเผด็จการเหลืองให้แดงว่า
เชื่อหรือไม่ว่า “ผู้นำมวลชน” ที่พวกเขายอมตัวเป็นเบี้ยทางการเมืองให้นั้น สามารถนำพาคนไทยทั้งมวลไปสู่สังคมประชาธิปไตยตามที่พวกเขาต้องการได้?
คำตอบคือ “ไม่รู้” และ “ไม่แน่ใจ”
พวกเขารู้อย่างเดียวว่าต้องโค่นรัฐบาลฝ่ายที่พวกเขาถูกชี้นำให้เชื่อว่า “เลวร้าย” ลงไปก่อน
บางคนถึงกับยอม “เซ็นเช็คเปล่า” ให้ผู้ที่สัญญาว่าจะปฏิรูป (ที่เขาไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร) “ไปกรอกอำนาจอธิปไตยกันเอง”
ส่วนมวลชนหลัง กลัวว่าทหารซึ่งเคยเป็นเครื่องมือของเผด็จการที่อยู่ในที่มืด จะทำการรัฐประหาร ยอมออกมาประกันการเลือกตั้ง ทั้งๆที่รู้ดีว่าการเลือกตั้งนั้นนำมาซึ่งอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยหรืออำนาจอธิปไตยทุนผูกขาดแท้ๆ
มวลชนแรกก็ไม่ผิด มวลชนหลังก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก ไม่ถูกที่ไม่เข้าใจว่าทั้งเหลืองทั้งแดงก็
ล้วนแต่เป็นเผด็จการที่ต้องสลัดทิ้งทั้งคู่!
2.ทำลายสิ่งผิดลงแล้วต้องสถาปนาสิ่งถูกขึ้นมาด้วย
ในการแก้ไขปัญหาใดๆในโลกก็คือ “การลำลายสิ่งผิดลง” “สถาปนาสิ่งถูกขึ้น” สถาปนาสิ่งถูกแล้วยังไม่พอยังต้องรักษาสิ่งถูกนั้นให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนอีกต่างหาก (1.ทำลาย 2.สร้าง 3.รักษา)
เหตุแห่งทุกข์ของคนทั้งประเทศคือระบอบแบบเผด็จการ (Dictatorial Regime) ดังนั้นมวลชนประชาธิปไตยจึง
1.ต้องทำลายระบอบแบบเผด็จการลง ไม่ว่าระบอบเผด็จการเหล่านั้นจะเป็นระบอบเผด็จการที่ใช้สีแดง สีเหลืองหรือสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ก็ตาม
2.ทำลาย “ระบอบ” “เผด็จการ” ลงได้แล้ว ก็ต้องสถาปนา “การปกครอง” “แบบประชาธิปไตย” (Democratic Government) ขึ้นมา “ทดแทน” “การปกครองแบบเผด็จการ” และ
3.มีมาตรการวิธีการที่จะรักษาการปกครองแบบประชาธิปไตยเอาไว้
4.สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย (ทั้งในสังคมและในครอบครัว) ให้ระบบทั้งระบบเป็นระบบประชาธิปไตย ปัญหาชาติอันเกิดจากระบอบเผด็จการจึงจะคลี่คลายและหายไป
ปราบวัชพืชลงแล้ว ถ้าไม่ปลูกข้าว คนไทยทุกคนจะได้ข้าวมากินได้อย่างไร!
ถ้าเราไม่สลัด “ความเห็นผิด” ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ “เป็นของกู” แล้วเอา “ความเห็นถูก” ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ “เป็นของคนทุกคน” (และสรรพสัตว์) ลงเสียแล้ว
เราจะเข้าถึงความจริงแท้ได้อย่างไร!
3.ไม่หลุดออกจากวงจรอุบาทว์
“เหตุแห่งปัญหาชาติ” ไม่ได้อยู่ที่ “รัฐบาล” (Cabinet) โดด เพราะรัฐบาลเป็นเพียง “ร่างทรง” ของ “อำนาจอธิปไตย” หรือ “ระบอบ” (Regime) ที่เป็น “นามธรรม”
แต่การที่ “ระบอบ” หรือ “อำนาจ” (อธิปไตย) เป็น “นามธรรม” (Abstract) จึงทำให้คนทั่วไป “เห็นได้ยาก” เมื่อเห็นได้ยาก “ประชาชนคนทุกข์” จึงมุ่งแต่จะ ไป ขจัด “รัฐบาล” (ไม่ว่าจะใช้มวลชน Uprising หรือการ Coup d’etat โดยทหาร) ซึ่งเป็นร่างทรง โดยไม่ขจัดระบอบหลายต่อหลายครั้ง และเมื่อไม่ขจัดระบอบ (เพราะไม่รู้ว่าระบอบคืออะไร) ท้ายสุดก็ต้องหันกลับไป “พึ่งพา” “การเลือกตั้ง” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เหล้าเก่าในขวดใหม่” ตามที่นักตำราการไร้เดียงสา นักการเมืองเผด็จการเหลืองแดง “ชี้นำ” ว่า..การเลือกตั้งคือประชาธิปไตยไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย! (ทั้งๆที่การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองวิธีหนึ่งเท่านั้น)
จนหลุดออกไปจาก “วงจรอุบาทว์ของการปกครองแบบเผด็จการ” ไม่ได้!
4.หลุดออกจากวงจรอุบาทว์
ก่อนอื่นต้องความหมายที่แท้จริงของคำว่าประชาธิปไตย (ประชา+อำนาจอธิปไตย) เสียก่อนว่า คืออำนาจอธิปไตยปวงชนเท่านั้น ส่วนเรื่องความเสมอภาค เสรีภาพบริบูรณ์ และการปกครองจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นอีก 3 หลักนั้นจะเกิดขึ้นมาทีหลัง หลังจากการสถาปนา “อำนาจอธิปไตยปวงชน” แล้ว
ดังนั้นถ้าเรา “ผู้ถูกปกครอง” ที่ถือหางทั้งเหลือง-แดงและไม่ถือหางทั้งเหลืองและแดง “ไม่เข้าใจ” ใน
1.Concept ของคำว่าประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
2.ไม่เข้าใจขั้นตอนการสร้างประชาธิปไตยว่า โค่นระบอบ (Regime) แล้วยังไม่พอ ยังต้องสถาปนาการปกครอง (Government) ด้วย สร้างการปกครองแล้วยังไม่พอ ยังต้องสร้างระบบประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและการใช้ชีวิตด้วยแล้ว เราก็ไม่มีทางได้สังคมประชาธิปไตยในอุดมคติตามที่เราหวังได้เลย ไม่ว่าเราจะมีความปรารถนาในประชาธิปไตยด้วยการทุ่มแรงกายแรงใจมากมายเพียงใด “ฆ่า” “คน” ที่เรา “เข้าใจผิด” ว่าเป็น “เหตุแห่งปัญหา” (ทั้งๆที่ระบอบซึ่งเป็นนามธรรมต่างหากที่เป็นปัญหา) ตายไปมากมายเพียงไหนก็ตาม
การยึดติดในตัวกูของกูไม่สามารถทำให้เรา “หลุดพ้น” ไปจากวงจร “ปฏิจจสมุปบาททางจิต” ได้ฉันใด อวิชชาทางการเมือง (หลงผิดคิดไปว่าเผด็จการฝ่ายเหลืองเผด็จการฝ่ายแดงคือสรณะ ติดรัฐธรรมนูญว่าเป็นประชาธิปไตย ติดการเลือกตั้งว่าเป็นประชาธิปไตย และติดว่าใครเห็นต่างกับตนไม่ได้ต้องทำลายลง) ก็ทำให้เราไม่สามารถหลุดออกไปจากวงจรปฏิจจสมุปบาททางการเมืองได้ฉันนั้น!
5.ไม่ว่าใครจะเป็นสีใด ทุกคนคือพี่น้องเรา
ความขัดแย้งระหว่าง1.เผด็จการกับเผด็จการ 2.ประชาชนกับระบอบเผด็จการและ 3.ประชาชนประชาธิปไตยเหลืองกับมวลชนประชาธิปไตยแดง ที่ “จำแนก” กันออกมาตาม “จุดยืน” “ทัศนะ” และ “มรรควิธี” และภายใต้การปั่นจิ้งหรีดของนายทาสเพื่อให้ประชาชนจงเกลียดจงชังกันและกัน และความเห็นผิดว่า “คนคือปัญหา” ไม่ใช่ “ระบอบคือปัญหา” นั่นแหละ ซึ่งนำมาซึ่งการ “ชี้หน้า” “ด่ากันเอง” !
การชี้หน้ากล่าวหาซึ่งกันและกันอย่าง “อวิชชา” นั้นแหละที่ทำให้มวลชนแต่ละฝ่าย เกิดความ “เครียด” สะสม ไม่ต่างอะไรกับการ “กินยาพิษ” ทางอารมณ์เข้าไปทุกวันๆ ยิ่งได้เสพสื่อที่มีทัศนะเดียวกันบ่อยๆครั้ง ก็จะทำให้คนเหล่านั้น “เสพติด” ยาเสพติดทางอารมณ์ ที่ไม่แตกต่างอะไรกับ “คนติดยาเสพติด” ที่เป็นวัตถุที่.“ใครเห็นต่างไม่ได้” นั่นเอง
ได้เสพข่าว (สี) ฝ่ายเดียว ซ้ำไปซ้ำมาบ่อยๆครั้งด้วยแล้ว นอกจากจะทำให้ผู้เสพ “งมงาย” จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ยังไปเพิ่มความ “กระเหี้ยนกระหือรือ” ของคนเสพในอันที่จะไป “ขจัด” “คนอื่น” ที่ “มีความเห็นต่าง” ทั้งๆที่ “คนเห็นต่าง” นั้นก็คือคนที่เป็นญาติพี่น้องกับเรา มีเลือดสีเดียวกันกับเราและมีความต้องการสังคมอุดมคติเหมือนกันกับเรานั่นเอง!
การที่มวลมหาประชาชนในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงแต่ละฝ่าย ต่างเอา “ฝ่ายที่ตนไม่ชอบ” เป็น “จำเลย” เห็นฝ่ายซีกเดียวกับตนเป็น “โจทย์” ที่ชอบธรรม (ทั้งๆที่มีความปรารถนาในประชาธิปไตยเดียวกัน) อย่าง “สุดขั้ว” ย่อมนำมาซึ่งการ “ฆ่ากัน” ชนิด “เลือดนองแผ่นดิน” ด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าประเทศใดในโลก เมื่อเป็นดังนี้แล้ว....เรายังจะมาฆ่ากันอีกทำไม?
ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปก็ไม่มีค่าเท่า“ปฏิวัติประชาธิปไตย” โดย อาจารย์จำลอง บุญสอง
“สงครามกลางเมือง” ที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองเราในขณะนี้นอกจากจะเกิดจากการ “ชิงตำแหน่ง แย่งอำนาจ” กันเอง ระหว่าง “ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง” แล้ว ยังมีสาเหตุที่แท้จริงมาจาก “ต้นไม้พิษ” คือการปกครองแบบ “เผด็จการระบบรัฐสภา” ที่เปิดโอกาสให้ “ทุนผูกขาด” “ผู้อยู่เบื้องหลังการปกครอง” ได้มีโอกาสกดขี่ขูดรีดกรรมกร ชาวไร่ชาวนา และทำลายทุนขนาดกลางขนาดย่อมอย่างถูกกฏหมายอีกด้วย
ผลของการขูดรีดของ “ทุนผูกขาด” ภายใต้อำนาจรัฐเผด็จการทำให้ “ความยากจนของคนส่วนใหญ่” “ผกผัน” กับ “ความร่ำรวยของคนส่วนน้อย” อย่างรุนแรง ช่องว่างระหว่างชนชั้นดังกล่าวจึงทำให้ “คนส่วนใหญ่” จำต้องกลายเป็น “ทาส” ทางการเมืองและทาสทางเศรษฐกิจ ของคนส่วนน้อย ผู้ร่ำรวย “ทั้งทางตรงและทางอ้อม” ไปโดยพฤตินัย
การที่คนจนเป็นทาสคนรวยโดยพฤตินัยดังกล่าวนำมาซึ่ง
วัฒนธรรมเผด็จการ!
วัฒนธรรมเผด็จการคือ “ความสัมพันธ์ภายใน” ของการกดขี่ภายในสังคมทั้งระบบ เช่นหัวหน้างาน (หัวหน้าทาส) ต้องช่วยนายทุน (นายทาส) คุมทาส คุมกรรมกรทำงานหนัก เพื่อให้การ “ขูดรีดแรงงาน” เพื่อนายทาสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนทาสใด กรรมกรใด ถ้าอยากจะอยู่รอดปลอดภัยในองค์กรได้ก็ต้อง “พินอบพิเทา” ต้องประจบ ต้องเลีย หัวหน้างานหัวหน้าทาส เพื่อหัวหน้างาน หัวหน้าทาสให้ความเมตตา มอบหมายงานดี เงินดีให้ทำ ในระบบราชการก็เกิดวัฒนธรรม “ถูกต้องครับนาย ใช่ครับผม” เพื่อการอยู่รอดและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การใช้ “เสน่หา” และการ “ซื้อขายตำแหน่ง” เป็นเครื่องมือในการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งในทุกกระทรวงทบวงกรม ทำให้คนไร้ความสามารถข้ามหัวคนมีความสามารถและซื่อสัตย์ขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ส่งผลทำให้เกิด “ความแตกแยก” ในองค์กร ความแตกแยกในองค์กรและความไร้ประสิทธิภาพของหัวหน้างาน ทำให้องค์กรอ่อนแอมากขึ้นๆทุกวัน
ยิ่งไปกว่านั้นวัฒนธรรมเผด็จการยังส่งผลให้ “ความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย” และ “ความเสมอภาคในโอกาส” ของคนรวยผู้ร่ำรวยผู้อยู่เบื้องหลังการปกครองกับคนจนผู้ถูกปกครอง มีสภาพที่แตกต่างกันดังฟ้ากับเหว ส่งผลทำให้เกิดอาชญากรรมมากมายตามมา การปล้นธนาคารเอย ปล้นร้านทองเอย ปล้นร้านสะดวกซื้อเอยเกิดขึ้นดังดอกเห็ด การหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก คนติดยาเสพติดมีปริมาณมากจนคุกล้น สะท้อนภาพเลวร้ายของสังคมอันเกิดจากระบอบเผด็จการที่สะสมและบ่มปัญหาอย่างต่อเนื่องมาแล้วกว่า 80 ปีได้เป็นอย่างดี จนนำมาซึ่ง “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” และสงครามประชาชนในวันนี้
สงครามประชาชนคือสงครามที่ประชาชนทำสงครามกับผู้ปกครอง ไม่ว่าผู้ปกครองนั้นจะมีสีเหลืองหรือสีแดงเป็นสัญลักษณ์
วันนี้ฝ่ายทุนผูกขาดใหม่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนทุนผูกขาดเก่าที่ครองอำนาจมายาวนาน ดังนั้นเมื่อ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” ตรงกับยุคที่ “ยิ่งลักษณ์” เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ยิ่งลักษณ์จึงต้องกลายเป็น “แพะรับบาป” ของระบอบเผด็จการ” มากกว่ารัฐบาลเผด็จการใดๆที่มีมาแต่ในอดีต เพราะเธอ ถูก 2 ศึกขนาบ
ศึกหนึ่งกับ “มวลชนที่ต้องการประชาธิปไตย” ศึกสองกับ “เผด็จการเหลือง” ผู้ฉวยโอกาส
ศึกแรกมวลชนประชาธิปไตยแม้จะไม่ชอบเผด็จการเหลืองแต่ก็ “ยืมมือ” เผด็จการเหลืองมาโค่นเผด็จการแดงและใน “โอกาสเดียวกัน” “เผด็จการเหลือง” ก็ “ยืมมือ” มวลชนประชาธิปไตย “มาเป็นเครื่องมือ” ในการแย่งอำนาจคืน
แต่ความต่างใน 1.จุดยืน 2.ทัศนะ และ3.มรรควิธี (แนวทาง) ของคนในชาติ เมื่อเกิดสภาวะประฏิวัติกระแสสูงจึงส่งผลทำให้ “ความขัดแย้ง” ระหว่าง “ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง” “ประชาชน” กับ “ประชาชน” ลุกลามไปทุกสาขาอาชีพ ทุกครอบครัว และทุกภูมิภาค
คงไม่ต้องไปอธิบายถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครอง (แดง)กับผู้ปกครอง (เหลือง) ว่าเกิดจากการแย่งอำนาจและผลประโยชน์อย่างไร
แต่ถ้าไปถามมวลชนเจตนาประชาธิปไตย “แต่ละฝ่าย” ที่รวมตัวกัน โค่นรัฐบาลเผด็จการให้เหลือง โค่นรัฐบาลเผด็จการเหลืองให้แดงว่า
เชื่อหรือไม่ว่า “ผู้นำมวลชน” ที่พวกเขายอมตัวเป็นเบี้ยทางการเมืองให้นั้น สามารถนำพาคนไทยทั้งมวลไปสู่สังคมประชาธิปไตยตามที่พวกเขาต้องการได้?
คำตอบคือ “ไม่รู้” และ “ไม่แน่ใจ”
พวกเขารู้อย่างเดียวว่าต้องโค่นรัฐบาลฝ่ายที่พวกเขาถูกชี้นำให้เชื่อว่า “เลวร้าย” ลงไปก่อน
บางคนถึงกับยอม “เซ็นเช็คเปล่า” ให้ผู้ที่สัญญาว่าจะปฏิรูป (ที่เขาไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร) “ไปกรอกอำนาจอธิปไตยกันเอง”
ส่วนมวลชนหลัง กลัวว่าทหารซึ่งเคยเป็นเครื่องมือของเผด็จการที่อยู่ในที่มืด จะทำการรัฐประหาร ยอมออกมาประกันการเลือกตั้ง ทั้งๆที่รู้ดีว่าการเลือกตั้งนั้นนำมาซึ่งอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยหรืออำนาจอธิปไตยทุนผูกขาดแท้ๆ
มวลชนแรกก็ไม่ผิด มวลชนหลังก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก ไม่ถูกที่ไม่เข้าใจว่าทั้งเหลืองทั้งแดงก็
ล้วนแต่เป็นเผด็จการที่ต้องสลัดทิ้งทั้งคู่!
2.ทำลายสิ่งผิดลงแล้วต้องสถาปนาสิ่งถูกขึ้นมาด้วย
ในการแก้ไขปัญหาใดๆในโลกก็คือ “การลำลายสิ่งผิดลง” “สถาปนาสิ่งถูกขึ้น” สถาปนาสิ่งถูกแล้วยังไม่พอยังต้องรักษาสิ่งถูกนั้นให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนอีกต่างหาก (1.ทำลาย 2.สร้าง 3.รักษา)
เหตุแห่งทุกข์ของคนทั้งประเทศคือระบอบแบบเผด็จการ (Dictatorial Regime) ดังนั้นมวลชนประชาธิปไตยจึง
1.ต้องทำลายระบอบแบบเผด็จการลง ไม่ว่าระบอบเผด็จการเหล่านั้นจะเป็นระบอบเผด็จการที่ใช้สีแดง สีเหลืองหรือสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ก็ตาม
2.ทำลาย “ระบอบ” “เผด็จการ” ลงได้แล้ว ก็ต้องสถาปนา “การปกครอง” “แบบประชาธิปไตย” (Democratic Government) ขึ้นมา “ทดแทน” “การปกครองแบบเผด็จการ” และ
3.มีมาตรการวิธีการที่จะรักษาการปกครองแบบประชาธิปไตยเอาไว้
4.สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย (ทั้งในสังคมและในครอบครัว) ให้ระบบทั้งระบบเป็นระบบประชาธิปไตย ปัญหาชาติอันเกิดจากระบอบเผด็จการจึงจะคลี่คลายและหายไป
ปราบวัชพืชลงแล้ว ถ้าไม่ปลูกข้าว คนไทยทุกคนจะได้ข้าวมากินได้อย่างไร!
ถ้าเราไม่สลัด “ความเห็นผิด” ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ “เป็นของกู” แล้วเอา “ความเห็นถูก” ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ “เป็นของคนทุกคน” (และสรรพสัตว์) ลงเสียแล้ว
เราจะเข้าถึงความจริงแท้ได้อย่างไร!
3.ไม่หลุดออกจากวงจรอุบาทว์
“เหตุแห่งปัญหาชาติ” ไม่ได้อยู่ที่ “รัฐบาล” (Cabinet) โดด เพราะรัฐบาลเป็นเพียง “ร่างทรง” ของ “อำนาจอธิปไตย” หรือ “ระบอบ” (Regime) ที่เป็น “นามธรรม”
แต่การที่ “ระบอบ” หรือ “อำนาจ” (อธิปไตย) เป็น “นามธรรม” (Abstract) จึงทำให้คนทั่วไป “เห็นได้ยาก” เมื่อเห็นได้ยาก “ประชาชนคนทุกข์” จึงมุ่งแต่จะ ไป ขจัด “รัฐบาล” (ไม่ว่าจะใช้มวลชน Uprising หรือการ Coup d’etat โดยทหาร) ซึ่งเป็นร่างทรง โดยไม่ขจัดระบอบหลายต่อหลายครั้ง และเมื่อไม่ขจัดระบอบ (เพราะไม่รู้ว่าระบอบคืออะไร) ท้ายสุดก็ต้องหันกลับไป “พึ่งพา” “การเลือกตั้ง” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เหล้าเก่าในขวดใหม่” ตามที่นักตำราการไร้เดียงสา นักการเมืองเผด็จการเหลืองแดง “ชี้นำ” ว่า..การเลือกตั้งคือประชาธิปไตยไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย! (ทั้งๆที่การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองวิธีหนึ่งเท่านั้น)
จนหลุดออกไปจาก “วงจรอุบาทว์ของการปกครองแบบเผด็จการ” ไม่ได้!
4.หลุดออกจากวงจรอุบาทว์
ก่อนอื่นต้องความหมายที่แท้จริงของคำว่าประชาธิปไตย (ประชา+อำนาจอธิปไตย) เสียก่อนว่า คืออำนาจอธิปไตยปวงชนเท่านั้น ส่วนเรื่องความเสมอภาค เสรีภาพบริบูรณ์ และการปกครองจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นอีก 3 หลักนั้นจะเกิดขึ้นมาทีหลัง หลังจากการสถาปนา “อำนาจอธิปไตยปวงชน” แล้ว
ดังนั้นถ้าเรา “ผู้ถูกปกครอง” ที่ถือหางทั้งเหลือง-แดงและไม่ถือหางทั้งเหลืองและแดง “ไม่เข้าใจ” ใน
1.Concept ของคำว่าประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
2.ไม่เข้าใจขั้นตอนการสร้างประชาธิปไตยว่า โค่นระบอบ (Regime) แล้วยังไม่พอ ยังต้องสถาปนาการปกครอง (Government) ด้วย สร้างการปกครองแล้วยังไม่พอ ยังต้องสร้างระบบประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและการใช้ชีวิตด้วยแล้ว เราก็ไม่มีทางได้สังคมประชาธิปไตยในอุดมคติตามที่เราหวังได้เลย ไม่ว่าเราจะมีความปรารถนาในประชาธิปไตยด้วยการทุ่มแรงกายแรงใจมากมายเพียงใด “ฆ่า” “คน” ที่เรา “เข้าใจผิด” ว่าเป็น “เหตุแห่งปัญหา” (ทั้งๆที่ระบอบซึ่งเป็นนามธรรมต่างหากที่เป็นปัญหา) ตายไปมากมายเพียงไหนก็ตาม
การยึดติดในตัวกูของกูไม่สามารถทำให้เรา “หลุดพ้น” ไปจากวงจร “ปฏิจจสมุปบาททางจิต” ได้ฉันใด อวิชชาทางการเมือง (หลงผิดคิดไปว่าเผด็จการฝ่ายเหลืองเผด็จการฝ่ายแดงคือสรณะ ติดรัฐธรรมนูญว่าเป็นประชาธิปไตย ติดการเลือกตั้งว่าเป็นประชาธิปไตย และติดว่าใครเห็นต่างกับตนไม่ได้ต้องทำลายลง) ก็ทำให้เราไม่สามารถหลุดออกไปจากวงจรปฏิจจสมุปบาททางการเมืองได้ฉันนั้น!
5.ไม่ว่าใครจะเป็นสีใด ทุกคนคือพี่น้องเรา
ความขัดแย้งระหว่าง1.เผด็จการกับเผด็จการ 2.ประชาชนกับระบอบเผด็จการและ 3.ประชาชนประชาธิปไตยเหลืองกับมวลชนประชาธิปไตยแดง ที่ “จำแนก” กันออกมาตาม “จุดยืน” “ทัศนะ” และ “มรรควิธี” และภายใต้การปั่นจิ้งหรีดของนายทาสเพื่อให้ประชาชนจงเกลียดจงชังกันและกัน และความเห็นผิดว่า “คนคือปัญหา” ไม่ใช่ “ระบอบคือปัญหา” นั่นแหละ ซึ่งนำมาซึ่งการ “ชี้หน้า” “ด่ากันเอง” !
การชี้หน้ากล่าวหาซึ่งกันและกันอย่าง “อวิชชา” นั้นแหละที่ทำให้มวลชนแต่ละฝ่าย เกิดความ “เครียด” สะสม ไม่ต่างอะไรกับการ “กินยาพิษ” ทางอารมณ์เข้าไปทุกวันๆ ยิ่งได้เสพสื่อที่มีทัศนะเดียวกันบ่อยๆครั้ง ก็จะทำให้คนเหล่านั้น “เสพติด” ยาเสพติดทางอารมณ์ ที่ไม่แตกต่างอะไรกับ “คนติดยาเสพติด” ที่เป็นวัตถุที่.“ใครเห็นต่างไม่ได้” นั่นเอง
ได้เสพข่าว (สี) ฝ่ายเดียว ซ้ำไปซ้ำมาบ่อยๆครั้งด้วยแล้ว นอกจากจะทำให้ผู้เสพ “งมงาย” จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ยังไปเพิ่มความ “กระเหี้ยนกระหือรือ” ของคนเสพในอันที่จะไป “ขจัด” “คนอื่น” ที่ “มีความเห็นต่าง” ทั้งๆที่ “คนเห็นต่าง” นั้นก็คือคนที่เป็นญาติพี่น้องกับเรา มีเลือดสีเดียวกันกับเราและมีความต้องการสังคมอุดมคติเหมือนกันกับเรานั่นเอง!
การที่มวลมหาประชาชนในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงแต่ละฝ่าย ต่างเอา “ฝ่ายที่ตนไม่ชอบ” เป็น “จำเลย” เห็นฝ่ายซีกเดียวกับตนเป็น “โจทย์” ที่ชอบธรรม (ทั้งๆที่มีความปรารถนาในประชาธิปไตยเดียวกัน) อย่าง “สุดขั้ว” ย่อมนำมาซึ่งการ “ฆ่ากัน” ชนิด “เลือดนองแผ่นดิน” ด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าประเทศใดในโลก เมื่อเป็นดังนี้แล้ว....เรายังจะมาฆ่ากันอีกทำไม?