กำปงลามา วรรณกรรมสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย

วรรณกรรมจะมาสัมพันธ์กันได้อย่างไร?  ไทยกับมาเลเซียอยู่ติดกันเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกันมาตลอด  แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักว่าวัฒนธรรมของชาวมาเลเซียเป็นอย่างไร?  จะมีใครสักกี่คนที่เคยอยู่มาแล้วทั้งสองประเทศ?  จริงๆ แล้วคนไทยกับคนมาเลย์หน้าตาคล้ายๆ กัน  ผิวพรรณแทบไม่ต่างกันมาก  แต่วัฒนธรรมและภาษาที่บ้านเขาแตกต่างจากบ้านเรามาก  สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรารู้จักประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ดีขึ้น  ก็คือการจับมือกัน  ใช่แล้วครับ .. จับมือร่วมกันทางวรรณกรรม  เราแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าซึ่งกันและกัน  โดยเรื่องเล่าที่มีบริบทอันหลากหลายนั้นเองที่ทำให้ฝ่ายหนึ่งรู้จักอีกฝ่ายได้มากขึ้น  



“นี่คือการบรรลุข้อตกลงทางวรรณกรรมระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย  ในการคัดสรรผลงานของนักเขียนรางวัลซีไรต์ประเทศละ 7 คน 7 เรื่องสั้น  ได้นำเอาเรื่องสั้นของทั้งสองประเทศมาประชันกัน เพื่อขยายขอบเขตการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ร่วมกัน โดยมีงานวรรณกรรมเป็นสะพานเชื่อม”
จากคำโปรยปกหลัง




สำหรับในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “กำปงลามา  รวมเรื่องสั้นนักเขียนรางวัลซีไรต์ไทย-มาเลเซีย” หนังสือที่เป็นวรรณกรรมสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซีย  ที่จัดพิมพ์โดย กองทุนกนกพงศ์ สงสมพันธุ์  ที่เปิดตัวในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 46 เมื่อวันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา  ในงานมีการเสวนาในหัวข้อ “กำปงลามา วรรณกรรมสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย”  โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ อาจารย์ ดร.ธัญญา  สังขพันธานนท์  หรือกวีซีไรต์ที่ชื่อ ไพฑูรย์ ธัญญา , มร.โมฮัมหมัด  คอยร์ งาดีรน หรือคุณเค ผู้อำนวยการสถาบันการแปลแห่งชาติมาเลเซีย , มร. ซาอิด มูฮัมหมัด ซากีร์ ซาอิด อ็อธมัน  หรือคุณเอส. เอ็ม. ซากีร์ นักเขียนและบรรณาธิการฝั่งมาเลเซีย , อาจารย์วนิดา  เต๊ะหลง อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญภาษามลายู จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ทำหน้าที่ล่ามบนเวทีเสวนา  ดำเนินการเสวนาโดยอาจารย์ ดร.ธเนศ  เวศร์ภาดา  คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และประยุกต์ศิลป์  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  โดยรายละเอียดที่น่าสนใจมีดังนี้

(รายละเอียดจากเวทีเสวนาในครั้งนี้  ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่  โดยมีการคัดสรรตัดย่อเพื่อเขียนสรุปเป็นประเด็น  ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด  หรือคาดเคลื่อนผิดไปจากที่ท่านวิทยากรพูด  ผมก็ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)



อาจารย์ ดร.ธเนศ  - หนังสือ “กำปงลามา” ถือว่ามีบทบาทสำคัญที่เป็นจุดมุ่งหมายอันบรรลุถึงเป้าหมายสำคัญของรางวัลวรรณกรรมซีไรต์  ที่ปรารถนาจะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน  ซึ่งหนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่ในประเด็นนี้ได้ชัดเจนมาก

-ขอถามคุณซากีร์ บรรณาธิการผู้คัดสรรเรื่องจากมาเลเซีย ขอถามว่ากระบวนการคัดเลือกเรื่องสั้นทั้ง 7 เรื่องของทางฝั่งมาเลเซียมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกอย่างไร?

คุณเอส. เอ็ม. ซากีร์ – สำหรับการคัดเลือกเรื่องสั้นของทางมาเลเซีย  เราจะคัดเลือกจากนักเขียนที่เป็นตัวแทนของยุคสมัย  เป็นตัวแทนจากทางภูมิภาคต่างๆ จากทุกภาคส่วน  รวมทั้งมีการเลือกนักเขียนในรุ่นหลังๆ มาด้วย  รวมทั้งเลือกจากตัวแทนนักเขียนทึ่เป็นศิลปินแห่งชาติด้วย

อาจารย์ ดร.ธเนศ – ของทางประเทศไทยคัดเลือกจากตัวบุคคล  ซึ่งกระบวนการคัดสรรคงแตกต่างจากทางมาเลเซียมาก  จึงขอถามอาจารย์ไพฑูรย์ ธัญญา อยากให้พูดถึงบรรยากาศความร่วมมือกันระหว่างไทยกับมาเลเซีย

อาจารย์ไพฑูรย์ ธัญญา – ตัวหนังสือ “กำปงลามา” เล่มนี้เพิ่งจะพิมพ์เสร็จไม่นานนัก  ในส่วนเรื่องสั้นของนักเขียนไทยพวกเราคงเคยได้อ่านมาเกือบทุกเรื่องแล้ว  ดังนั้นจึงจะขอพูดถึงเรื่องสั้นทางฝั่งมาเลเซียมากกว่า

-ในส่วนนี้เราต้องขอชื่นชมทางมาเลเซียด้วย ที่เขามีการร่วมมือกันทางวรรณกรรมอย่างนี้ไม่ใช่เขาจะทำเฉพาะแค่อาเซ๊ยน แต่เขายังได้ทำร่วมกับประเทศทางละตินอเมริกาด้วย

-สำหรับเรื่องสั้นในกำปงลามานี้  เรื่องสั้นของฝ่ายไทยจะคล้ายๆ กับของมาเลเซีย  คือมีประเด็นที่พูดถึงบริบทของความเป็นเมืองเหมือนกัน  แต่ของทางมาเลเซียเขาจะมีการพูดถึงความเป็นท้องถิ่นมากกว่าของไทยเรา หรืออาจจะเป็นเพราะสังคมไทยถูกทำให้เหมือนกันจนไม่มีความแตกต่างกันแล้วก็ได้

-ของทางมาเลเซียเขามีการเลือกนักเขียนที่มีทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่  เรื่องสั้นของมาเลเซียจะมีประเด็นที่พูดกันมากคือประเด็นเรื่องความคิดที่อคติต่อชาติพันธุ์ ความขัดแย้งระหว่างคนจีนกับคนมลายู  โดยคนมลายูเป็นชนดั้งเดิมในพื้นที่ที่ต่อสู้กับการปลดปล่อยความเป็นอนานิคมจากอังกฤษ   แต่คนจีนไม่ได้ต่อสู้เลยเป็นคนพวกที่มาทีหลัง

-อย่างเช่นเรื่องสั้นชื่อ “ปลิง” (เรื่องสั้นของมาเลเซีย) จะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์  โดยบอกว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน

-หรือเรื่องสั้นชื่อ “มันโตจับปลาชะโด” (เรื่องสั้นของมาเลเซีย) เรื่องนี้สนุกมาก  อ่านแล้วรู้สึกถึงความเป็นท้องถิ่นมาก  เป็นเรื่องการจับปลาชะโดในท้องถิ่นสมัยโบราณ  เรื่องนี้จะคล้ายๆ กับบ้านเราที่เวลาจะพูดถึงผู้นำประเทศเราจะมองถึงความล้มเหลวของเขาเท่านั้น  ไม่ค่อยมองไปที่ผลงานเขาเลย

-เรื่องสั้นของมาเลเซียบางเรื่องจะพูดถึงมาเลเซียในมิติที่แตกตางออกไป  พูดถึงความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่  ความเชื่อเก่ากับความเชื่อใหม่  คติของคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ อย่างเช่นเรื่องสั้นชื่อ “โลกลวงหลอก” จะพูดถึงคนมลายูรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจในประวัติศาสตร์  และพูดถึงคนมลายูรุ่นโบราณที่ต่อสู้กับอังกฤษในการปลดปล่อยจากความเป็นอนานิคม  โดยที่คนรุ่นใหม่ไม่ให้ความสำคัญกับคนรุ่นเก่าเลย

-เรื่องสั้นของทางมาเลเซียก็มีการพูดถึงประเด็นคอรัปชั่นเหมือนกัน  แต่จะพูดโดยมีความคิดใหม่เข้ามา  มีความเป็นมลายูแบบเสรีนิยม

-เรื่องสั้นชื่อ “กำปงลามา”  เป็นเรื่องที่มีจุดเด่นจึงถูกยกมาเป็นชื่อหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มนี้  โดยในเรื่องพูดถึงความขัดแย้งกันอย่างชัดเจน  พูดถึงหมู่บ้านโบราณ กำปงลามาที่เป็นตำนานของนักสู้กู้ชาติ  ในเรื่องมีความคิดใหม่แบบเสรีนิยมคล้ายๆ ว่าจะรับมาจากทางอินโดนีเซีย  เหมือนมีน้ำเสียงที่แสดงประเด็นความขัดแย้งอยู่ในเรื่อง ที่คนหนึ่งยึดในความคิดแบบเสรีนิยม  ส่วนอีกคนหนึ่งยึดถือความเป็นคนมลายูดั้งเดิมที่เป็นคนที่เคร่งครัดในศาสนาอิสลาม

-มีการพูดถึงอัตลักษณ์ทางสังคมของคนในพื้นที่ด้วย โดยคนรุ่นเก่าพยายามจะรักษาความเป็นอัตลักษณ์ไว้  สุดท้ายที่กำปงลามามันถูกเปลี่ยนไปสู่ความเป็นมายาคติ  ที่เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ตีความกันเอาเอง



อาจารย์ ดร.ธเนศ  - ขอถามคุณซากีร์ถึงบรรยากาศของวรรณกรรมในมาเลเซียตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?  เบื้องหลังและภาพรวมเป็นอย่างไรบ้าง?

คุณเอส. เอ็ม. ซากีร์ – นักเขียนรุ่นเก่าส่วนใหญ่จะเขียนเรื่องต่างๆ จากในทั้องถิ่นของตัวเอง  จากในหมู่บ้านของตัวเองรวมถึงพื้นที่นอกเมืองด้วย  แต่นักเขียนรุ่นใหม่จะออกทางเสรีนิยมเยอะ  โดยความเป็นอยู่ของหมู่บ้านที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นจะหายไป

อาจารย์ ดร.ธเนศ  - ขอถามคุณเค ว่ามีปัญหาในการแปลอย่างไรบ้าง? และปัญหาเรื่องการข้ามวัฒนธรรมมีความยากง่ายอย่างไรบ้าง?

มร.โมฮัมหมัด  คอยร์ งาดีรน หรือคุณเค – การทำโครงการหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่โครงการแรกที่ทางสถาบันการแปลแห่งชาติมาเลเซียเคยทำ  ที่ผ่านมาเคยทำโครงการร่วมกันระหว่างมาเลเซ๊ยกับอินโดนีเซีย , มาเลเซียกับสิงคโปร์ , มาเลเซียกับรัสเซีย ฯลฯ

-สำหรับปัญหาเรื่องการแปลสิ่งที่ยากคือภาษามันแตกต่างกัน อย่างเช่นจำนวนเรื่องสั้น 7 เรื่องเท่ากัน  แต่เรื่องสั้นของมาเลเซียดูว่าบางกว่า  ส่วนของไทยดูว่าหนากว่า  คือว่าภาษามันแตกต่างกัน  จำนวนพยัญชนะมันจึงต่างกันด้วย

อาจารย์ ดร.ธเนศ  - ขอถามต่อว่า  บรรยากาศของการเสพวรรณกรรมต่างชาติของมาเลเซียเป็นอย่างไรบ้าง?

มร.โมฮัมหมัด  คอยร์ งาดีรน หรือคุณเค – สำหรับวรรณกรรมต่างประเทศที่ชาวมาเลเซียอ่าน เราจะถนัดเรื่องที่มาจากภาษาอังกฤษมากกว่า  สำหรับที่มาเลเซียก็ต้องมีการโปรโมทหนังสือก่อนถึงจะมีคนอ่านเช่นกัน  คุณเคจะเอาหนังสือเล่มนี้ (กำปงลามา ฉบับภาษามาเลเซีย) ไปแจกจ่ายให้แก่โรงเรียนต่างๆ ในมาเลเซีย  เพื่อให้เด็กๆ ได้อ่านกันด้วย

คุณเอส. เอ็ม. ซากีร์ – มองว่าปัญหาจะเหมือนกับที่คุณเคบอกมา คือในมาเลเซียจะมีกลุ่มคนที่อ่านเฉพาะแต่เรื่องแปลเท่านั้น  ทางสถาบันการแปลแห่งชาติมาเลเซีย (ITBM) จึงต้องไปหาผลงานจากประเทศต่างๆ เอามาแปล  เช่นเรื่องจากทางไต้หวัน , เวเนซูเอล่า , รัสเซีย ฯลฯ   ต้องเอาเรื่องมาแปลให้คนกลุ่มนี้ได้อ่านกัน

อาจารย์ ดร.ธเนศ  - ขอถามอาจารย์ไพฑูรย์ ว่าอยากจะให้ฝากอะไรไว้กับสมาคมต่างๆ  มีประเด็นใดบ้างที่อยากจะฝากไว้

อาจารย์ไพฑูรย์ ธัญญา – ถ้าดูเรื่องสั้นในเล่มนี้จะเห็นว่าเนื้อหาไม่แตกต่างกันมากนัก  โดยเฉพาะถ้าไปอ่านเรื่องของนักเขียนมาเลเซียทางภาคเหนือ  บริบทในเรื่องจะคล้ายกับภาคใต้ของเรามากเลย  มีพูดถึงทั้งสะตอ ลูกเนียง  ฯลฯ  ซึ่งคล้ายกับของบ้านเรามาก

-แต่เรื่องสั้นของมาเลเซียยังไม่มีความซับซ้อนในการเล่าเรื่องเท่าของไทยเรา  ประเด็นคือนักเขียนไทยเรามีความเป็นสากลในการเล่าเรื่องมากกว่า  นักเขียนไทยเป็นนักเขียนที่มีความสามารถในการเล่าเรื่อง  แต่ของไทยเรายังไม่มีการสนับสนุนอย่างจริงจังในเรื่องของการแปล  นักเขียนไทยมีผลงานไม่ด้อยไปกว่าใครเลย แต่เรื่องของนักเขียนไทยไม่ได้รับการแปลเพื่อเผยแพร่ในระดับสากลเลย

-ทางสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยเคยจับมือร่วมกันกับหลายประเทศในอาเซียน  เพื่อแปลเรื่องเป็นวรรณกรรมร่วมกันสองภาษา  แต่เราไม่ได้ทำต่อเนื่องโดยตลอด  ดังนั้นถ้าเรายืมโมเดลสถาบันการแปลแห่งชาติมาเลเซียมาใช้ เรื่องของไทยคงได้รับการเผยแพร่มากกว่านี้แน่

-ซึ่งเรื่องพวกนี้ทางรัฐบาลควรจะทำการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทำเป็นแผนพัฒนาฯ แห่งชาติไปเลย  จะได้เป็นแนวรบด้านวรรณกรรม ด้านการแสดง  ด้านเพลง  เพื่อให้ผลงานของไทยมันออกไปในทิศทางเดียวกันให้ได้



อาจารย์ ดร.ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล  นายกสมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย - ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ทางสมาคมนักแปลฯ ได้พยายามทำเรื่องนี้มาแล้วตั้งแต่สมัยรัฐบาลของนายกชวน  แต่ตอนนี้เลิกทำไปแล้วเราจึงต้องทำต่อกันเอง  ต้องหาผู้สนับสนุน  ต้องหาเงินทุนกันเอง แต่พอทำแล้วต้องดูด้วยว่าหนังสือมันจะขายได้มากน้อยขนาดไหน

-จริงๆ แล้วเราต้องส่งเสริมการอ่านการเขียน  เพื่อให้การอ่านมันกลายเป็นนิสัยประจำตัวของเด็กไทยให้ได้  อย่างเช่นเรื่อง “นกกางเขน” ที่เป็นหนังสือดีซึ่งไม่ได้รับการเสนอให้เด็กได้อ่านกันอย่างต่ดเนื่อง  ตอนนี้ทางสมาคมนักแปลฯ ได้จัดพิมพ์เป็นสองภาษาออกมาเพื่ออยากให้เด็กไทยได้อ่านกัน  แต่ปรากฏว่าขายไม่ได้  เราจึงต้องไปใช้วิธีอื่นเพื่อให้เด็กหันมาอ่านให้ได้

-จริงๆ แล้วการสร้างนักอ่านเราต้องสร้างตั้งแต่เด็กๆ  แต่อุปสรรคสำคัญที่เราทุกคนรู้กันดีก็คือรัฐบาลไม่ได้ให้การสนับสนุนเลย  เราอยากให้ทุกสมาคมฯ รวมตัวกันเพื่อจัดตั้งเป็นสมาพันธ์ขึ้นมาเพื่อต่อสู้เรียกร้องจากรัฐบาล

-ตอนนี้ทางกระทรวงวัฒนธรรมมีโครงการคัดสรรหนังสือดีทุกช่วงวัย  เพื่อจะทำการเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบ  (แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องเลย)  โดยหนังสือที่แนะนำในแต่ละหมวดจะย้อนหลังได้ไม่จำกัดระยะเวลา  ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีสำหรับการส่งเสริมการอ่านในบ้านเรา

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่