ก่อนอื่นต้องท้าวความก่อนว่าทั้งพ่อและแม่ของจขกท เป็นพวก gen B (baby boomer) ทั้งสองท่านรับราชการ คุณแม่เป็นครู สังคมของทั้งคู่ค่อนข้างแคบ มีแต่เพื่อนๆจากที่ทำงานและเพื่อนสมัยเรียนไม่มาก วันๆก็ไม่ได้ออกไปไหน เอาแต่เล่นไลน์ มีความคิด ความเชื่อมั่น และยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่งหน้าที่การงาน การศึกษาและเงิน ตามประสา gen B
จขกท ตั้งแต่เด็กก็เป็นคนที่อยู่ในกรอบ ไม่ค่อยเกเร โตมากับโรงเรียนกวดวิชา อยู่ในโอวาสของทั้งสองมาตลอด ด้วยความที่พ่อแม่คาดหวังกับเราไว้มาก และไม่อยากทำให้ท่านเสียใจ ก็เลือกอาชีพ และทางเดินต่างๆในชีวิตให้ท่านพอใจ
กระทั่งอายุย่างเข้า 30 มีความสุขกับชีวิตโสดดีๆ พ่อแม่ก็กดดันให้รีบหาแฟน รีบแต่งงาน โชคดีที่ได้เจอคนที่ใช่เข้ามาในชีวิต งานแต่งก็จัดให้พ่อแม่ ทั้งๆที่จขกทไม่ได้อยากจัด แต่พ่อแม่ก็ต้องการเชิญแขกและจัดงานใหญ่ตามโรงแรม ให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นประธาน จขกท พยายามเท่าไหร่ พ่อแม่ก็จะมีวิธีพูดให้เรารู้สึกผิดว่าเราเป็นลูกที่อกตัญญู เลยยอมๆไป พอมีหลานจะให้เรียนพิเศษกวดวิชาเข้าโรงเรียนชื่อดังและวางแผนจะส่งไปเรียนต่อต่างประเทศอีก เรารู้สึกเครียดแทนลูก อยากให้ลูกใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างมีความสุข ไม่อยากให้ลูกมีชะตาชีวิตแบบเรา
ทีนี้เข้าเรื่องเลยนะคะ วิธีการแก้ปัญหาของ จขกท คือ อยู่ห่างจากบ้านให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ ให้พ่อแม่รู้ข้อมูลในชีวิตของเราน้อยที่สุด จะได้ไม่เข้ามาก้าวก่ายกับชีวิต ซึ่งจขกท ทำแบบนี้ตั้งแต่เด็ก เลือกมหาลัยและที่ทำงานไกลบ้าน แต่เกือบทุกครั้งที่กลับบ้านก็จะพบคำพูดที่กดดัน และทำให้เรารู้สึกว่ายังดีไม่พอตามที่พ่อแม่เราต้องการ
กลับบ้านแล้วเครียดก็เลยไม่อยากกลับ ไม่ค่อยอินเวลาวันพ่อ วันแม่ แต่ให้ของขวัญและพาท่านออกไปกินข้าวตามหน้าที่ที่ลูกพึงกระทำ ไม่แค่เฉพาะจขกทนะคะ พี่น้องของ จขกท ก็ใช้วิธีเดียวกัน ปัจจุบันพ่อแม่อยู่กันสองคนกับคนงาน เนื่องจากลูกๆอยู่ไกลกันทั้งนั้นค่ะ
เลยอยากเตือนท่านทั้งหลายในวัยเกษียณให้ปล่อยวาง คิดบวก และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ออกไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมกับผู้สูงวัยด้วยกัน หากเรามีความสุขก็จะมีพลังบวกดึงดูดให้ทุกคนอยากอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ หรือ ลูกหลาน
สำหรับวัย baby boomer อาจจะเป็นการยากที่จะไม่ตัดสินคนจาก profile ภายนอก และเปิดรับอะไรใหม่ๆ แต่อย่างน้อยจงภูมิใจที่มีลูกเป็นคนดี มีอาชีพสุจริต และไม่ยากจนแค่นี้ไม่ได้เหรอคะ
บ้านที่อยู่แล้วร้อนก็ไม่มีคนไหนอยากอยู่
ปล. กระทู้นี้อาจจะล่อเป้า ว่า จขกท เป็นลูกอกตัญญูที่คิดแบบนี้กับพ่อแม่ แต่จขกทก็ทำหน้าที่ลูกที่ดีมาตลอด ไม่รบกวนค่าใช้จ่าย (ทั้งคู่ไม่ได้เดือดร้อนทางการเงิน) พาไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง พาหลานไปเยี่ยมและพาไปทานข้าวนอกบ้านวันเสาร์อาทิตย์ และพร้อมที่จะดูแลท่านในยามแก่เมื่อท่านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว แต่จะให้มาอยู่ด้วยกันในบ้านเดียวกันอีกคงอกแตกตาย ไม่ไหวจริงๆค่ะ
อยากให้ผู้ใหญ่ในวัย baby boomer อ่าน "ทำไมลูกหลานจึงไม่อยากอยู่กับผู้ใหญ่หัวโบราณ"
จขกท ตั้งแต่เด็กก็เป็นคนที่อยู่ในกรอบ ไม่ค่อยเกเร โตมากับโรงเรียนกวดวิชา อยู่ในโอวาสของทั้งสองมาตลอด ด้วยความที่พ่อแม่คาดหวังกับเราไว้มาก และไม่อยากทำให้ท่านเสียใจ ก็เลือกอาชีพ และทางเดินต่างๆในชีวิตให้ท่านพอใจ
กระทั่งอายุย่างเข้า 30 มีความสุขกับชีวิตโสดดีๆ พ่อแม่ก็กดดันให้รีบหาแฟน รีบแต่งงาน โชคดีที่ได้เจอคนที่ใช่เข้ามาในชีวิต งานแต่งก็จัดให้พ่อแม่ ทั้งๆที่จขกทไม่ได้อยากจัด แต่พ่อแม่ก็ต้องการเชิญแขกและจัดงานใหญ่ตามโรงแรม ให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นประธาน จขกท พยายามเท่าไหร่ พ่อแม่ก็จะมีวิธีพูดให้เรารู้สึกผิดว่าเราเป็นลูกที่อกตัญญู เลยยอมๆไป พอมีหลานจะให้เรียนพิเศษกวดวิชาเข้าโรงเรียนชื่อดังและวางแผนจะส่งไปเรียนต่อต่างประเทศอีก เรารู้สึกเครียดแทนลูก อยากให้ลูกใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างมีความสุข ไม่อยากให้ลูกมีชะตาชีวิตแบบเรา
ทีนี้เข้าเรื่องเลยนะคะ วิธีการแก้ปัญหาของ จขกท คือ อยู่ห่างจากบ้านให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ ให้พ่อแม่รู้ข้อมูลในชีวิตของเราน้อยที่สุด จะได้ไม่เข้ามาก้าวก่ายกับชีวิต ซึ่งจขกท ทำแบบนี้ตั้งแต่เด็ก เลือกมหาลัยและที่ทำงานไกลบ้าน แต่เกือบทุกครั้งที่กลับบ้านก็จะพบคำพูดที่กดดัน และทำให้เรารู้สึกว่ายังดีไม่พอตามที่พ่อแม่เราต้องการ
กลับบ้านแล้วเครียดก็เลยไม่อยากกลับ ไม่ค่อยอินเวลาวันพ่อ วันแม่ แต่ให้ของขวัญและพาท่านออกไปกินข้าวตามหน้าที่ที่ลูกพึงกระทำ ไม่แค่เฉพาะจขกทนะคะ พี่น้องของ จขกท ก็ใช้วิธีเดียวกัน ปัจจุบันพ่อแม่อยู่กันสองคนกับคนงาน เนื่องจากลูกๆอยู่ไกลกันทั้งนั้นค่ะ
เลยอยากเตือนท่านทั้งหลายในวัยเกษียณให้ปล่อยวาง คิดบวก และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ออกไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมกับผู้สูงวัยด้วยกัน หากเรามีความสุขก็จะมีพลังบวกดึงดูดให้ทุกคนอยากอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ หรือ ลูกหลาน
สำหรับวัย baby boomer อาจจะเป็นการยากที่จะไม่ตัดสินคนจาก profile ภายนอก และเปิดรับอะไรใหม่ๆ แต่อย่างน้อยจงภูมิใจที่มีลูกเป็นคนดี มีอาชีพสุจริต และไม่ยากจนแค่นี้ไม่ได้เหรอคะ
ปล. กระทู้นี้อาจจะล่อเป้า ว่า จขกท เป็นลูกอกตัญญูที่คิดแบบนี้กับพ่อแม่ แต่จขกทก็ทำหน้าที่ลูกที่ดีมาตลอด ไม่รบกวนค่าใช้จ่าย (ทั้งคู่ไม่ได้เดือดร้อนทางการเงิน) พาไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง พาหลานไปเยี่ยมและพาไปทานข้าวนอกบ้านวันเสาร์อาทิตย์ และพร้อมที่จะดูแลท่านในยามแก่เมื่อท่านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว แต่จะให้มาอยู่ด้วยกันในบ้านเดียวกันอีกคงอกแตกตาย ไม่ไหวจริงๆค่ะ