อยากจะเสริมความเข้าใจละคร "บุพเพสันนิวาส" สำหรับคนไม่รู้หรือจำประวัติไม่ได้นะครับ
ฉากแม่มะลิทำขนม แฟนละครหลายคนคงรู้กันดีว่า แม่มะลิหรือ ท้าวทองกีบม้า (มารี กีมาร์) เป็นราชินีแห่งขนมไทย ผู้คิดค้นทองหยิบ ทองหยอด หม้อแกง ทองม้วน คงไม่ต้องอธิบาย
ส่วนฝอยทองในเรื่องมีแอบให้เกศสุรางค์ เป็นคนบอกชื่อซะงั้น เป็นมุขละครที่ใช้ได้ครับ ( ขอเขียนมุข ข ไข่นะ
)
แต่ตอนนี้อยากนำเสนอ บางสิ่งในละครที่ทำให้แฟนละครหลายคนงง สำหรับคนที่รู้ประวัติอยู่แล้วก็เข้าใจกันดี แต่คนมาไม่ทันหรือบางคนไม่รู้ประวัติก็มีงงๆ เท่าที่ตามคอมเมนต์ในโซเชียลครับ
เช่นว่า อ.ชีปะขาว ดูน่ากลัวจัง เป็นตัวร้ายรึเปล่า ?
ก็ต้องบอกสำหรับคนไม่ได้ดูตอนแรกๆ ว่า ชีปะขาวทั้งตามประวัติศาสตร์และตามเนื้อหาในละคร ไม่มีพิษภัยครับ แล้วในละครก็รับนางเอกเป็นศิษย์ถ่ายทอดวิชาตั้งแต่แรกเจอด้วย คู่นี้ถูกชะตากัน
และข้อสงสัยอื่นๆเกี่ยวกับ "เดื่อ" และ "พระเพทราชา" ว่าทำไมนางเอกการะเกด (เกศสุรางค์) ถึงได้มองด้วยสายตาไม่สู้ดี ?
หรืองงว่า
ทำไมหลวงศรียศ ต้องแต่งหน้าให้เข้ม ?
เอาตรงนี้ก่อน
เพราะหลวงศรียศเป็นคนเชื้อสายเปอร์เซีย คือละครพยามแต่งให้เป็นแขกขาว
เปอร์เซียเป็นมุสลิมกลุ่มแรกๆในอยุธยา ชาวเปอร์เซียเป็นเชื้อสายอารยัน (จากคำนี้ต่อมาจึงมีชื่อว่าประเทศอิหร่าน) นำวัฒนธรรมลิเกเข้าอินเดีย นำเครื่องเทศ วัฒนธรรมการเดินเรือใหญ่ แกงมัสมั่น และผ้ากามาร์ (ผ้าขาวม้า) เข้าไทย
ด้วยเดินเรือเก่ง ชาวแขกจึงเป็นฝ่ายดูแลกองเรือหลวงเรื่อยมา เป็นตำแหน่ง "พระยาราชบังสัน" ซึ่งทุกสมัยจะเป็นชาวแขกดูแลกองเรือหลวง
หลวงศรียศหรือ "ออกญาจุฬาราชมนตรี" หรือเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 1 เป็นที่ปรึกษาฝ่ายศาสนาอิสลามของพระมหากษัตริย์ (จุฬาราชมนตรีคนปัจจุบัน เป็นคนที่ 18 โดยในสมัยอยุธยามี 4 คน รัตนโกสินทร์ 14 คน)
มาเรื่องฉากที่การะเกดเหล่ตามองเดื่อ และฉากตกใจเมื่อพบพระเพทราชา เมื่อประชุมอยู่กับชีปะขาว การะเกดมองหน้าพระเพทราชาด้วยสายตาไม่ค่อยดี ก่อนหน้านั้นก็ถึงกับตกใจ ที่ได้เจอพระเพทราชา (ตอน 12)
ในตอนเดิม (ตอน 11) ขณะที่การะเกดเล่าสิ่งที่ตนรู้ และกล่าวถึงโอรสพระนารายณ์ว่ามีสิทธิ์ในราชบังลังก์ ก็เหล่ตาไปมองเดื่อ ระวังว่าพูดเรื่องรัชทายาทแล้วเดื่อจะไม่พอใจ
(EP 11)
เพราะรู้ว่าตามประวัติศาสตร์ พระเพทราชาก่อกบฏประหัตประหารรัชทายาทของพระนารายณ์ และขึ้นครองราชย์ การะเกดจึงสีหน้าไม่ดีเมื่อพบพระเพทราชา
(EP 12)
โดยพระเพทราชาให้หลวงสรศักดิ์ เป็นผู้สังหาร และกระทั่งพระปีย์ก็ถูกสังหารด้วย (เก่ง ธชย)
เดื่อ หรือหลวงสรศักดิ์ บุตรชาย หรืออาจจะเป็นบุตรบุญธรรม (เพราะมีบางประวัติรายงานว่าเป็นบุตรพระนารายณ์กับสนม) รวมถึงพระเพทราชา ตามเนื้อเรื่องก็เป็นพรรคพวกพระเอก เพราะอยู่ฝ่ายต้านคอนสแตนติน ฟอลคอน และต่อต้านการรุกรานทางวัฒนธรรมของตะวันตก
แต่เมื่อฉากที่หลวงสรศักดิ์บ่นพึมพำว่า "กูจะบอกให้
ลูกชายขุนหลวงนารายณ์ไม่ได้มีแค่คนเดียวเว้ย"
นั่นหมายความว่า ตามเนื้อเรื่อง หลวงสรศักดิ์เป็นบุตรพระนารายณ์ และการะเกดก็เหล่มองในฉากนี้ เพราะรู้ว่า หลวงสรศักดิ์คือผู้ที่จะสังหารบรรดารัชทายาท และตนเองก็ได้ครองราชย์ด้วยต่อจากพระเพทราชา เป็นสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8
ตามประวัติศาสตร์ นับได้ว่าเป็นบิดาแห่งแม่ไม้มวยไทยก็ว่าได้ แต่ด้านลบก็มีเยอะ ถึงแม้ตามในละครยังไม่ออกลาย แต่ทางประวัติศาสตร์รายงานว่า เป็นคนเก่งกาจและดุร้าย ใจเหี้ยม จึงมีอีกนามว่า "พระเจ้าเสือ" และยังชอบหลับนอนกับเด็กๆสาวๆด้วย โดยเฉพาะเด็กวัยก่อนมีประจำเดือน รวมถึงชอบหลับนอนกับเมียขุนนางต่างๆ ซึ่งเหล่านี้ถือว่าผิดธรรมเนียมของอยุธยา (ชายสามารถมีเมียวัยเด็กๆได้ ร่วมหลับนอนกับเด็กๆหรือหญิงใดก็ได้ แต่ห้ามขืนใจ นอกจากเป็นบ่าวของตน และห้ามเล่นชู้กับเมียคนอื่น ซึ่งธรรมเนียมนี้ มีมาถึงรัตนโกสินทร์)
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) บันทึกประวัติพระเจ้าเสือว่า
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีสตรีเด็กอายุ 11-12 ปี ถ้าสตรีใดดิ้นโครงไป ให้ขัดเคืองจะลงพระราชอาชญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใด ไม่ดิ้นโครงนิ่งอยู่ ชอบพระอัชฌาสัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล
"ประการหนึ่ง ถ้าเสด็จไปประพาสมัจฉาชาติฉนากฉลามในชลมารคทางทะเลเกาะสีชังเขาสามมุขแลประเทศที่ใด ย่อมเสวยน้ำจัณฑ์พลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางในแลมหาดเล็ก ชาวที่ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไป มิได้มีพระวิจารณะ ปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดทิ้งลงไปกลางทะเล ให้ปลาฉนากฉลามกินเป็นอาหาร
"ประการหนึ่ง ปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาพระนามปรากฏเรียกว่า พระเจ้าเสือ"
ส่วนใน
พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม บันทึกไว้ทำนองเดียวกันว่า
"ครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชหฤทัยกักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ร้ายกาจ ปราศจากกุศลสุจริต ทรงพระประพฤติผิดพระราชประเพณี มิได้มีหิริโอตัปปะ และพระทัยหนาไปด้วยอกุศลลามก มีวิตกในโทสโมหมูลเจือไปในพระสันดานเป็นนิรันดร์มิได้ขาด แลพระองค์เสวยน้ำจัณฑ์ขาวอยู่เป็นนิจ แล้วมักยินดีในการอันสังวาสด้วยนางกุมารีอันยังมิได้มีระดู ถ้าและนางใดอุตส่าห์อดทนได้ ก็พระราชทานรางวัลเงินทองผ้าแพรพรรณต่าง ๆ แก่นางนั้นเป็นอันมาก ถ้านางใดอดทนมิได้ไซร้ ทรงพระพิโรธ และทรงประหารลงที่ประฉิมุราประเทศให้ถึงแก่ความตาย แล้วให้เอาโลงเข้ามาใส่ศพนางนั้นออกไปทางประตูพระราชวังข้างท้ายสนมนั้นเนือง ๆ และประตูนั้นก็เรียกว่า ประตูผีออก มีมาตราบเท่าทุกวันนี้"
ส่วนหลังจากนี้ ละครจะเล่าถึงแค่ไหน มิอาจรู้ได้
#บุพเพสันนิวาส
การะเกดสตั๊น เมื่อพบพระเพทราชา (ประวัติศาสตร์บุพเพสันนิวาส)
ฉากแม่มะลิทำขนม แฟนละครหลายคนคงรู้กันดีว่า แม่มะลิหรือ ท้าวทองกีบม้า (มารี กีมาร์) เป็นราชินีแห่งขนมไทย ผู้คิดค้นทองหยิบ ทองหยอด หม้อแกง ทองม้วน คงไม่ต้องอธิบาย
ส่วนฝอยทองในเรื่องมีแอบให้เกศสุรางค์ เป็นคนบอกชื่อซะงั้น เป็นมุขละครที่ใช้ได้ครับ ( ขอเขียนมุข ข ไข่นะ )
แต่ตอนนี้อยากนำเสนอ บางสิ่งในละครที่ทำให้แฟนละครหลายคนงง สำหรับคนที่รู้ประวัติอยู่แล้วก็เข้าใจกันดี แต่คนมาไม่ทันหรือบางคนไม่รู้ประวัติก็มีงงๆ เท่าที่ตามคอมเมนต์ในโซเชียลครับ
เช่นว่า อ.ชีปะขาว ดูน่ากลัวจัง เป็นตัวร้ายรึเปล่า ?
ก็ต้องบอกสำหรับคนไม่ได้ดูตอนแรกๆ ว่า ชีปะขาวทั้งตามประวัติศาสตร์และตามเนื้อหาในละคร ไม่มีพิษภัยครับ แล้วในละครก็รับนางเอกเป็นศิษย์ถ่ายทอดวิชาตั้งแต่แรกเจอด้วย คู่นี้ถูกชะตากัน
และข้อสงสัยอื่นๆเกี่ยวกับ "เดื่อ" และ "พระเพทราชา" ว่าทำไมนางเอกการะเกด (เกศสุรางค์) ถึงได้มองด้วยสายตาไม่สู้ดี ?
หรืองงว่า
ทำไมหลวงศรียศ ต้องแต่งหน้าให้เข้ม ?
เอาตรงนี้ก่อน
เพราะหลวงศรียศเป็นคนเชื้อสายเปอร์เซีย คือละครพยามแต่งให้เป็นแขกขาว
เปอร์เซียเป็นมุสลิมกลุ่มแรกๆในอยุธยา ชาวเปอร์เซียเป็นเชื้อสายอารยัน (จากคำนี้ต่อมาจึงมีชื่อว่าประเทศอิหร่าน) นำวัฒนธรรมลิเกเข้าอินเดีย นำเครื่องเทศ วัฒนธรรมการเดินเรือใหญ่ แกงมัสมั่น และผ้ากามาร์ (ผ้าขาวม้า) เข้าไทย
ด้วยเดินเรือเก่ง ชาวแขกจึงเป็นฝ่ายดูแลกองเรือหลวงเรื่อยมา เป็นตำแหน่ง "พระยาราชบังสัน" ซึ่งทุกสมัยจะเป็นชาวแขกดูแลกองเรือหลวง
หลวงศรียศหรือ "ออกญาจุฬาราชมนตรี" หรือเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 1 เป็นที่ปรึกษาฝ่ายศาสนาอิสลามของพระมหากษัตริย์ (จุฬาราชมนตรีคนปัจจุบัน เป็นคนที่ 18 โดยในสมัยอยุธยามี 4 คน รัตนโกสินทร์ 14 คน)
มาเรื่องฉากที่การะเกดเหล่ตามองเดื่อ และฉากตกใจเมื่อพบพระเพทราชา เมื่อประชุมอยู่กับชีปะขาว การะเกดมองหน้าพระเพทราชาด้วยสายตาไม่ค่อยดี ก่อนหน้านั้นก็ถึงกับตกใจ ที่ได้เจอพระเพทราชา (ตอน 12)
ในตอนเดิม (ตอน 11) ขณะที่การะเกดเล่าสิ่งที่ตนรู้ และกล่าวถึงโอรสพระนารายณ์ว่ามีสิทธิ์ในราชบังลังก์ ก็เหล่ตาไปมองเดื่อ ระวังว่าพูดเรื่องรัชทายาทแล้วเดื่อจะไม่พอใจ
(EP 11)
เพราะรู้ว่าตามประวัติศาสตร์ พระเพทราชาก่อกบฏประหัตประหารรัชทายาทของพระนารายณ์ และขึ้นครองราชย์ การะเกดจึงสีหน้าไม่ดีเมื่อพบพระเพทราชา
(EP 12)
โดยพระเพทราชาให้หลวงสรศักดิ์ เป็นผู้สังหาร และกระทั่งพระปีย์ก็ถูกสังหารด้วย (เก่ง ธชย)
เดื่อ หรือหลวงสรศักดิ์ บุตรชาย หรืออาจจะเป็นบุตรบุญธรรม (เพราะมีบางประวัติรายงานว่าเป็นบุตรพระนารายณ์กับสนม) รวมถึงพระเพทราชา ตามเนื้อเรื่องก็เป็นพรรคพวกพระเอก เพราะอยู่ฝ่ายต้านคอนสแตนติน ฟอลคอน และต่อต้านการรุกรานทางวัฒนธรรมของตะวันตก
แต่เมื่อฉากที่หลวงสรศักดิ์บ่นพึมพำว่า "กูจะบอกให้
ลูกชายขุนหลวงนารายณ์ไม่ได้มีแค่คนเดียวเว้ย"
นั่นหมายความว่า ตามเนื้อเรื่อง หลวงสรศักดิ์เป็นบุตรพระนารายณ์ และการะเกดก็เหล่มองในฉากนี้ เพราะรู้ว่า หลวงสรศักดิ์คือผู้ที่จะสังหารบรรดารัชทายาท และตนเองก็ได้ครองราชย์ด้วยต่อจากพระเพทราชา เป็นสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8
ตามประวัติศาสตร์ นับได้ว่าเป็นบิดาแห่งแม่ไม้มวยไทยก็ว่าได้ แต่ด้านลบก็มีเยอะ ถึงแม้ตามในละครยังไม่ออกลาย แต่ทางประวัติศาสตร์รายงานว่า เป็นคนเก่งกาจและดุร้าย ใจเหี้ยม จึงมีอีกนามว่า "พระเจ้าเสือ" และยังชอบหลับนอนกับเด็กๆสาวๆด้วย โดยเฉพาะเด็กวัยก่อนมีประจำเดือน รวมถึงชอบหลับนอนกับเมียขุนนางต่างๆ ซึ่งเหล่านี้ถือว่าผิดธรรมเนียมของอยุธยา (ชายสามารถมีเมียวัยเด็กๆได้ ร่วมหลับนอนกับเด็กๆหรือหญิงใดก็ได้ แต่ห้ามขืนใจ นอกจากเป็นบ่าวของตน และห้ามเล่นชู้กับเมียคนอื่น ซึ่งธรรมเนียมนี้ มีมาถึงรัตนโกสินทร์)
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) บันทึกประวัติพระเจ้าเสือว่า
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีสตรีเด็กอายุ 11-12 ปี ถ้าสตรีใดดิ้นโครงไป ให้ขัดเคืองจะลงพระราชอาชญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใด ไม่ดิ้นโครงนิ่งอยู่ ชอบพระอัชฌาสัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล
"ประการหนึ่ง ถ้าเสด็จไปประพาสมัจฉาชาติฉนากฉลามในชลมารคทางทะเลเกาะสีชังเขาสามมุขแลประเทศที่ใด ย่อมเสวยน้ำจัณฑ์พลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางในแลมหาดเล็ก ชาวที่ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไป มิได้มีพระวิจารณะ ปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดทิ้งลงไปกลางทะเล ให้ปลาฉนากฉลามกินเป็นอาหาร
"ประการหนึ่ง ปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาพระนามปรากฏเรียกว่า พระเจ้าเสือ"
ส่วนใน พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม บันทึกไว้ทำนองเดียวกันว่า
"ครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชหฤทัยกักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ร้ายกาจ ปราศจากกุศลสุจริต ทรงพระประพฤติผิดพระราชประเพณี มิได้มีหิริโอตัปปะ และพระทัยหนาไปด้วยอกุศลลามก มีวิตกในโทสโมหมูลเจือไปในพระสันดานเป็นนิรันดร์มิได้ขาด แลพระองค์เสวยน้ำจัณฑ์ขาวอยู่เป็นนิจ แล้วมักยินดีในการอันสังวาสด้วยนางกุมารีอันยังมิได้มีระดู ถ้าและนางใดอุตส่าห์อดทนได้ ก็พระราชทานรางวัลเงินทองผ้าแพรพรรณต่าง ๆ แก่นางนั้นเป็นอันมาก ถ้านางใดอดทนมิได้ไซร้ ทรงพระพิโรธ และทรงประหารลงที่ประฉิมุราประเทศให้ถึงแก่ความตาย แล้วให้เอาโลงเข้ามาใส่ศพนางนั้นออกไปทางประตูพระราชวังข้างท้ายสนมนั้นเนือง ๆ และประตูนั้นก็เรียกว่า ประตูผีออก มีมาตราบเท่าทุกวันนี้"
ส่วนหลังจากนี้ ละครจะเล่าถึงแค่ไหน มิอาจรู้ได้
#บุพเพสันนิวาส