สวัสดีค่ะ [ยาวหน่อยนะคะ]
ปีนี้เราอายุ 28 แล้ว แต่ยังหาตัวเองไม่เจอเลย
ทำงานปีนี้ปีที่ 6 อยู่สายงานด้านบริการ ยังอยู่ตำแหน่งเดิมเพราะเปลี่ยนที่ทำงานบ่อย (เป็นคนเบื่อง่ายมากๆค่ะ ส่วนใหญ่คือเบื่อคน)
ความถนัดเดียวที่เรามีคือด้านภาษา แต่ตอนจบใหม่ๆ ภาษาอังกฤษยังไม่คล่อง อยากฝึกเยอะๆ เลยจับพลัดจับผลูมาทำงานโรงแรมเล็กๆ อยู่ได้เกือบๆ 2 ปี เริ่มเบื่อ อยากลองที่อื่น ตอนนั้นภาษาอังกฤษดีขึ้นมาก เพราะได้ใช้ทั้งวัน ทุกวัน แถมยังได้ภาษาจีนมาเพิ่มอีก (เคยเรียนจีนสมัยมหาลัยค่ะ ได้ใช้เยอะขึ้นเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวจีน แต่จะได้เฉพาะฟังพูดนะ อ่านเขียนนี่ต้องกลับไปเรียนใหม่)
งานใหม่คือตำแหน่งรับจองห้องพัก น่าเบื่อมาก ไม่ได้เจอผู้คน วันๆรับโทรศัพท์ อยู่แต่กับหน้าจอคอม ได้ใช้แต่ภาษาไทยคุยกับเอเจ้นท์ ต้องตามทวงเงิน (เป็นคนไม่ชอบตื๊อใคร) ไม่ชอบงานนี้มากๆ ก็เลยลาออก โดยให้เหตุผลว่าจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด (ช่วงนั้นเพื่อนมาทาบทามว่าให้ลองไปสมัครโรงแรมที่ภูเก็ตดูเพราะเงินดีมาก แต่ก็ไม่ได้ไปเพราะแม่ไม่อยากให้ไปอยู่คนเดียว)
ระหว่างนั้นก็มีคนติดต่อมาเรื่อยๆ ให้ไปสัมภาษณ์ตำแหน่งเดิม ทั้งโรงแรมน้อยใหญ่ แต่เราเบื่องานโรงแรม เราไม่อยากทำงานตอนกลางคืน เวลาเปลี่ยนกะมันบั่นทอนสุขภาพมาก นอนไม่เป็นเวลา ก็ปฏิเสธไปหมดทุกเจ้า
แล้วก็มีเจ้านึงติดต่อมา ตำแหน่งเดียวกันนี่แหละ ช่วงนั้นก็คิดแค่ว่าทำไปก่อนแล้วกัน เบื่อที่จะอยู่เฉยๆ ก็ทำไปเรื่อยๆได้ปีกว่า ที่นี่ให้เงินเยอะ งานสนุก สังคมดี แต่ไม่มีโอกาสได้เติบโต อายุก็เริ่มมากขึ้น เพื่อนที่ทำงานหลังเราได้ขึ้นตำแหน่งแล้ว เรายังอยู่ที่เดิม ก็เลยตัดสินใจลาออก เพราะได้โรงแรมเชน โอกาสเติบโตมันเยอะกว่า
พอไปทำโรงแรมเชน ก็เหมือนไปเริ่มต้นใหม่อีก โรงแรมนี้เป็นโรงแรมแรกที่เราต้องยืนตลอดทั้งวัน ยืนวันละเป็น 10 ชั่วโมง ปวดหลัง ปวดเท้ามากเวลาเลิกงาน แล้วเงินน้อยด้วย แต่ก็ทนทำ เพราะคิดว่าถ้าครบปี เราจะย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ (มีโอกาสย้ายไปประจำที่อื่นๆ หรือไปขึ้นตำแหน่งที่อื่น) เราก็แพลนไว้ดิบดี แต่พอทำไปครึ่งปี โรงแรมถอนตัวออกจากเชนจ้า เหมือนฝันสลาย แล้วทีนี้จะยังไงต่อล่ะ เงินก็ไม่พอ เท้ากับหลังก็ปวดขึ้นทุกวี่วัน คิดไปคิดมาว่าจะทนให้ครบปี แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เหมือนต้องนับหนึ่งใหม่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออก (ให้เหตุผลเดิมว่าจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด แต่รอบนี้ไปจริง เพราะแพลนจริงจังมาก) หัวหน้าก็ไม่อยากให้ออก ก็มาคุยประมาณว่าถ้าครบปีจะปรับตำแหน่งให้ เราก็คิดในใจ ตำแหน่งที่จะปรับขึ้นมันก็มีคนอยู่แล้ว เขาจะเอาระดับหัวหน้ามาทำไมตั้งสองคน ก็เลยไม่ตกลงอยู่ต่อ
หลังจากนั้นก็ย้ายตัวเองไปหางานทำที่ภูเก็ต คิดว่าตัวเองเก่ง เจ๋ง แน่เสียเต็มประดา ร่อนใบสมัครไปเกือบ 50 โรง เรียกไปสัมภาษณ์ไม่ถึง 10 โรง (แอบเสียน้ำตาเล็กน้อย เงินเก็บก็ใกล้จะหมดแล้ว คือโรงแรมที่ภูเก็ตส่วนใหญ่เขาอยากได้คนที่มีประสบการณ์ 5 ดาวมาก่อน แล้วเราผ่านมาแค่ 2-4 ดาว)
ในที่สุดก็ได้งาน ทำไปได้อาทิตย์นึง รู้สึกชอบมาก คิดในใจว่าคงไม่ไปไหนแล้วล่ะ แม้จะต้องยืนทั้งวันก็เถอะ เพื่อนร่วมทีมค่อนข้างโอเคเลย แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งอ่ะ อยู่ดีๆหัวหน้าก็ถูกบีบให้ออก แล้วคนใหม่ก็ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แถมยังเป็นประเภทไม่ฟังใครอีก คนในทีมก็พากันลาออกกันหมด (เหลืออยู่ 2 คน) เราเองก็มีความคิดเป็นของตัวเอง อะไรที่เขาบอกให้ทำ เราไม่ทำ อะไรที่เขาไม่ให้ทำ เราทำหมดเลย สุดท้ายก็ลาออกอีก (ให้เหตุผลว่าเข้ากับหัวหน้าไม่ได้)
คราวนี้ได้งานโรงแรม 5 ดาวที่เคยฝันว่าจะต้องเข้าให้ได้เมื่อสองปีที่แล้ว โรงแรมสวยมาก หัวหน้าเป็นชาวต่างชาติด้วย บรรยากาศก็ดี๊ดี พอมาทำจริงๆ อ้าวเห้ย.. ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้นี่หว่า ระบบมั่วมาก ในทีมไม่คุยกัน ไม่ถูกกัน ต่างคนต่างทำ ไปคนละทิศละทาง หัวไปทาง หางไปทาง คุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วอะไรๆก็มาให้ฟร้อนรับผิดชอบ โดยเฉพาะเรื่องเงิน ซึ่งไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน (อย่างเช่นลูกค้าทุบประตูพัง แล้วไม่ยอมจ่ายเงิน จะให้ฟร้อนจ่ายถ้าปล่อยลูกค้าออกไป..งงเจ้าค่ะ) พอเจอแบบนี้เราก็ walk out กลับกรุงเทพเลยจ้า (เงินหมดแล้ว)
ไปอยู่ภูเก็ตได้ 2 เดือน กลับมาทำงานที่เก่า ที่ไม่มีโอกาสเติบโต เพราะขอเงินเดือนไปเยอะมาก แล้วเจ้านายก็ดันให้ซะด้วย
ช่วงที่หางานทำ เพื่อนลองแนะนำให้ไปทำอย่างอื่น เช่น เลขา (รู้ตัวว่าทำไม่ได้แน่เพราะเป็นค่อนข้างหงุดหงิดง่าย) จัดซื้อต่างประเทศ (ทุกบริษัทต้องการคนที่มีประสบการณ์) โรงแรม 5 ดาวในเมือง (เราเข็ดกับสังคมที่เพื่อนร่วมงานขี้อิจฉา ขี้เกียจ แก่งแย่งกันมากๆ เราปั้นหน้าไม่เก่ง ใส่หน้ากากไม่เป็น เลียแข้งเลียขาไม่เป็น แล้วชอบพูดตรง บางครั้งเพื่อนก็ไม่ชอบ) บริษัททัวร์ (เราชอบเดินทาง วันหยุดชอบออกไปท่องเที่ยว แต่บริษัททัวร์ก็ต้องการคนที่มีประสบการณ์เช่นกัน)
ตอนนี้ตั้งใจว่าจะทำงานที่นี่ไปเรื่อยๆก่อน (ที่อยู่ได้เพราะลูกค้าน่ารัก ทำให้เราสามารถแสดงศักยภาพในด้านการบริการออกมาได้อย่างเต็มที่ ถามว่าชอบงานนี้มั้ย เราชอบนะ แต่มันยังไม่ใช่ที่สุด) เพื่อนกับหัวหน้าเก่าก็ชวนไปทำด้วยกันนะคะ (ระดับหัวหน้างาน) แต่เราไม่ไป (ใจก็รู้ว่าตัวเองยังเจ๋งไม่พอ)
เราไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปทางไหน เวลาถูกสัมภาษณ์คำถามส่วนใหญ่คือ เรามองตัวเองในอนาคตอีก 5 ปีว่ายังไง เราตอบว่า ในอีก 5 ปี เราต้องได้ขึ้นตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้างาน ได้ร่วมงานกับองค์กรที่มีความมั่นคง มีสวัสดิการที่ดีจนไม่คิดอยากไปที่ไหนอีกแล้ว ส่วนใหญ่คนสัมภาษณ์จะบอกว่าเราเดินช้า บางคนได้ขึ้นตำแหน่งตั้งแต่อายุยังน้อย ใช่ค่ะ เราเดินช้า เพราะเรายังไม่แน่ใจในทางเดินของตัวเอง เราไม่ได้คิดจะทำงานนี้ไปจนตาย ไม่อยากเห็นตัวเองยืนแก่หงำเหงือกอยู่หน้าเคาท์เตอร์ ตอนนี้แค่อยากทำงานให้มีเงินเยอะๆจะได้พัฒนาความรู้ความสามารถของตัวเองต่อไป
เราชอบภาษามากค่ะ นอกจากอังกฤษ จีน แล้วตอนนี้เรายังเรียนภาษาสเปนด้วยตัวเองอยู่ เผื่ออนาคตอยากไปทำสายงานท่องเที่ยว เราชอบพูดชอบคุยกับลูกค้า ชอบแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อยากเป็นไกด์นะคะ คิดว่าวันนึงจะไปอบรมไกด์ แต่ก็ลังเลเพราะเราไม่ใช่คนเฟรนด์ลี่มากมายอะไร เราเอ็นเตอร์เทนคนได้นะ แต่ก็ค่อนข้างขี้อายระดับนึง (บุคลิกเราจะเป็นคนเงียบๆนิ่งๆกับคนแปลกหน้า แต่จะเฮฮา บ้าบอกับคนรู้จัก)
อีกอย่างที่เราไม่แน่ใจคือ ระหว่างภาษาสเปนกับภาษาจีน อันไหนมันจะต่อยอดได้มากกว่ากัน ในเรื่องของการทำงานที่ไม่ใช่สายงานโรงแรม เราอยากจะลงเรียนจริงๆจังๆไปเลย เอาให้อ่านออกเขียนได้ ไม่ใช่ได้แค่ถูๆไถๆเฉพาะในสายงานนี้
ส่วนตัวชอบภาษาสเปนมากกว่าค่ะ แต่ก็คิดว่าภาษาจีนมันจะไปรอดกว่า
ใครพอมีคำแนะนำดีๆรบกวนหน่อยนะคะ
ขอบพระคุณมากค่ะที่อ่านมาจนถึงตรงนี้
อายุ 28 แล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอ
ปีนี้เราอายุ 28 แล้ว แต่ยังหาตัวเองไม่เจอเลย
ทำงานปีนี้ปีที่ 6 อยู่สายงานด้านบริการ ยังอยู่ตำแหน่งเดิมเพราะเปลี่ยนที่ทำงานบ่อย (เป็นคนเบื่อง่ายมากๆค่ะ ส่วนใหญ่คือเบื่อคน)
ความถนัดเดียวที่เรามีคือด้านภาษา แต่ตอนจบใหม่ๆ ภาษาอังกฤษยังไม่คล่อง อยากฝึกเยอะๆ เลยจับพลัดจับผลูมาทำงานโรงแรมเล็กๆ อยู่ได้เกือบๆ 2 ปี เริ่มเบื่อ อยากลองที่อื่น ตอนนั้นภาษาอังกฤษดีขึ้นมาก เพราะได้ใช้ทั้งวัน ทุกวัน แถมยังได้ภาษาจีนมาเพิ่มอีก (เคยเรียนจีนสมัยมหาลัยค่ะ ได้ใช้เยอะขึ้นเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวจีน แต่จะได้เฉพาะฟังพูดนะ อ่านเขียนนี่ต้องกลับไปเรียนใหม่)
งานใหม่คือตำแหน่งรับจองห้องพัก น่าเบื่อมาก ไม่ได้เจอผู้คน วันๆรับโทรศัพท์ อยู่แต่กับหน้าจอคอม ได้ใช้แต่ภาษาไทยคุยกับเอเจ้นท์ ต้องตามทวงเงิน (เป็นคนไม่ชอบตื๊อใคร) ไม่ชอบงานนี้มากๆ ก็เลยลาออก โดยให้เหตุผลว่าจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด (ช่วงนั้นเพื่อนมาทาบทามว่าให้ลองไปสมัครโรงแรมที่ภูเก็ตดูเพราะเงินดีมาก แต่ก็ไม่ได้ไปเพราะแม่ไม่อยากให้ไปอยู่คนเดียว)
ระหว่างนั้นก็มีคนติดต่อมาเรื่อยๆ ให้ไปสัมภาษณ์ตำแหน่งเดิม ทั้งโรงแรมน้อยใหญ่ แต่เราเบื่องานโรงแรม เราไม่อยากทำงานตอนกลางคืน เวลาเปลี่ยนกะมันบั่นทอนสุขภาพมาก นอนไม่เป็นเวลา ก็ปฏิเสธไปหมดทุกเจ้า
แล้วก็มีเจ้านึงติดต่อมา ตำแหน่งเดียวกันนี่แหละ ช่วงนั้นก็คิดแค่ว่าทำไปก่อนแล้วกัน เบื่อที่จะอยู่เฉยๆ ก็ทำไปเรื่อยๆได้ปีกว่า ที่นี่ให้เงินเยอะ งานสนุก สังคมดี แต่ไม่มีโอกาสได้เติบโต อายุก็เริ่มมากขึ้น เพื่อนที่ทำงานหลังเราได้ขึ้นตำแหน่งแล้ว เรายังอยู่ที่เดิม ก็เลยตัดสินใจลาออก เพราะได้โรงแรมเชน โอกาสเติบโตมันเยอะกว่า
พอไปทำโรงแรมเชน ก็เหมือนไปเริ่มต้นใหม่อีก โรงแรมนี้เป็นโรงแรมแรกที่เราต้องยืนตลอดทั้งวัน ยืนวันละเป็น 10 ชั่วโมง ปวดหลัง ปวดเท้ามากเวลาเลิกงาน แล้วเงินน้อยด้วย แต่ก็ทนทำ เพราะคิดว่าถ้าครบปี เราจะย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ (มีโอกาสย้ายไปประจำที่อื่นๆ หรือไปขึ้นตำแหน่งที่อื่น) เราก็แพลนไว้ดิบดี แต่พอทำไปครึ่งปี โรงแรมถอนตัวออกจากเชนจ้า เหมือนฝันสลาย แล้วทีนี้จะยังไงต่อล่ะ เงินก็ไม่พอ เท้ากับหลังก็ปวดขึ้นทุกวี่วัน คิดไปคิดมาว่าจะทนให้ครบปี แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เหมือนต้องนับหนึ่งใหม่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออก (ให้เหตุผลเดิมว่าจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด แต่รอบนี้ไปจริง เพราะแพลนจริงจังมาก) หัวหน้าก็ไม่อยากให้ออก ก็มาคุยประมาณว่าถ้าครบปีจะปรับตำแหน่งให้ เราก็คิดในใจ ตำแหน่งที่จะปรับขึ้นมันก็มีคนอยู่แล้ว เขาจะเอาระดับหัวหน้ามาทำไมตั้งสองคน ก็เลยไม่ตกลงอยู่ต่อ
หลังจากนั้นก็ย้ายตัวเองไปหางานทำที่ภูเก็ต คิดว่าตัวเองเก่ง เจ๋ง แน่เสียเต็มประดา ร่อนใบสมัครไปเกือบ 50 โรง เรียกไปสัมภาษณ์ไม่ถึง 10 โรง (แอบเสียน้ำตาเล็กน้อย เงินเก็บก็ใกล้จะหมดแล้ว คือโรงแรมที่ภูเก็ตส่วนใหญ่เขาอยากได้คนที่มีประสบการณ์ 5 ดาวมาก่อน แล้วเราผ่านมาแค่ 2-4 ดาว)
ในที่สุดก็ได้งาน ทำไปได้อาทิตย์นึง รู้สึกชอบมาก คิดในใจว่าคงไม่ไปไหนแล้วล่ะ แม้จะต้องยืนทั้งวันก็เถอะ เพื่อนร่วมทีมค่อนข้างโอเคเลย แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งอ่ะ อยู่ดีๆหัวหน้าก็ถูกบีบให้ออก แล้วคนใหม่ก็ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แถมยังเป็นประเภทไม่ฟังใครอีก คนในทีมก็พากันลาออกกันหมด (เหลืออยู่ 2 คน) เราเองก็มีความคิดเป็นของตัวเอง อะไรที่เขาบอกให้ทำ เราไม่ทำ อะไรที่เขาไม่ให้ทำ เราทำหมดเลย สุดท้ายก็ลาออกอีก (ให้เหตุผลว่าเข้ากับหัวหน้าไม่ได้)
คราวนี้ได้งานโรงแรม 5 ดาวที่เคยฝันว่าจะต้องเข้าให้ได้เมื่อสองปีที่แล้ว โรงแรมสวยมาก หัวหน้าเป็นชาวต่างชาติด้วย บรรยากาศก็ดี๊ดี พอมาทำจริงๆ อ้าวเห้ย.. ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้นี่หว่า ระบบมั่วมาก ในทีมไม่คุยกัน ไม่ถูกกัน ต่างคนต่างทำ ไปคนละทิศละทาง หัวไปทาง หางไปทาง คุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วอะไรๆก็มาให้ฟร้อนรับผิดชอบ โดยเฉพาะเรื่องเงิน ซึ่งไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน (อย่างเช่นลูกค้าทุบประตูพัง แล้วไม่ยอมจ่ายเงิน จะให้ฟร้อนจ่ายถ้าปล่อยลูกค้าออกไป..งงเจ้าค่ะ) พอเจอแบบนี้เราก็ walk out กลับกรุงเทพเลยจ้า (เงินหมดแล้ว)
ไปอยู่ภูเก็ตได้ 2 เดือน กลับมาทำงานที่เก่า ที่ไม่มีโอกาสเติบโต เพราะขอเงินเดือนไปเยอะมาก แล้วเจ้านายก็ดันให้ซะด้วย
ช่วงที่หางานทำ เพื่อนลองแนะนำให้ไปทำอย่างอื่น เช่น เลขา (รู้ตัวว่าทำไม่ได้แน่เพราะเป็นค่อนข้างหงุดหงิดง่าย) จัดซื้อต่างประเทศ (ทุกบริษัทต้องการคนที่มีประสบการณ์) โรงแรม 5 ดาวในเมือง (เราเข็ดกับสังคมที่เพื่อนร่วมงานขี้อิจฉา ขี้เกียจ แก่งแย่งกันมากๆ เราปั้นหน้าไม่เก่ง ใส่หน้ากากไม่เป็น เลียแข้งเลียขาไม่เป็น แล้วชอบพูดตรง บางครั้งเพื่อนก็ไม่ชอบ) บริษัททัวร์ (เราชอบเดินทาง วันหยุดชอบออกไปท่องเที่ยว แต่บริษัททัวร์ก็ต้องการคนที่มีประสบการณ์เช่นกัน)
ตอนนี้ตั้งใจว่าจะทำงานที่นี่ไปเรื่อยๆก่อน (ที่อยู่ได้เพราะลูกค้าน่ารัก ทำให้เราสามารถแสดงศักยภาพในด้านการบริการออกมาได้อย่างเต็มที่ ถามว่าชอบงานนี้มั้ย เราชอบนะ แต่มันยังไม่ใช่ที่สุด) เพื่อนกับหัวหน้าเก่าก็ชวนไปทำด้วยกันนะคะ (ระดับหัวหน้างาน) แต่เราไม่ไป (ใจก็รู้ว่าตัวเองยังเจ๋งไม่พอ)
เราไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปทางไหน เวลาถูกสัมภาษณ์คำถามส่วนใหญ่คือ เรามองตัวเองในอนาคตอีก 5 ปีว่ายังไง เราตอบว่า ในอีก 5 ปี เราต้องได้ขึ้นตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้างาน ได้ร่วมงานกับองค์กรที่มีความมั่นคง มีสวัสดิการที่ดีจนไม่คิดอยากไปที่ไหนอีกแล้ว ส่วนใหญ่คนสัมภาษณ์จะบอกว่าเราเดินช้า บางคนได้ขึ้นตำแหน่งตั้งแต่อายุยังน้อย ใช่ค่ะ เราเดินช้า เพราะเรายังไม่แน่ใจในทางเดินของตัวเอง เราไม่ได้คิดจะทำงานนี้ไปจนตาย ไม่อยากเห็นตัวเองยืนแก่หงำเหงือกอยู่หน้าเคาท์เตอร์ ตอนนี้แค่อยากทำงานให้มีเงินเยอะๆจะได้พัฒนาความรู้ความสามารถของตัวเองต่อไป
เราชอบภาษามากค่ะ นอกจากอังกฤษ จีน แล้วตอนนี้เรายังเรียนภาษาสเปนด้วยตัวเองอยู่ เผื่ออนาคตอยากไปทำสายงานท่องเที่ยว เราชอบพูดชอบคุยกับลูกค้า ชอบแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อยากเป็นไกด์นะคะ คิดว่าวันนึงจะไปอบรมไกด์ แต่ก็ลังเลเพราะเราไม่ใช่คนเฟรนด์ลี่มากมายอะไร เราเอ็นเตอร์เทนคนได้นะ แต่ก็ค่อนข้างขี้อายระดับนึง (บุคลิกเราจะเป็นคนเงียบๆนิ่งๆกับคนแปลกหน้า แต่จะเฮฮา บ้าบอกับคนรู้จัก)
อีกอย่างที่เราไม่แน่ใจคือ ระหว่างภาษาสเปนกับภาษาจีน อันไหนมันจะต่อยอดได้มากกว่ากัน ในเรื่องของการทำงานที่ไม่ใช่สายงานโรงแรม เราอยากจะลงเรียนจริงๆจังๆไปเลย เอาให้อ่านออกเขียนได้ ไม่ใช่ได้แค่ถูๆไถๆเฉพาะในสายงานนี้
ส่วนตัวชอบภาษาสเปนมากกว่าค่ะ แต่ก็คิดว่าภาษาจีนมันจะไปรอดกว่า
ใครพอมีคำแนะนำดีๆรบกวนหน่อยนะคะ
ขอบพระคุณมากค่ะที่อ่านมาจนถึงตรงนี้