หลายคนอาจเคยต้องลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก ก่อนจะไปทำธุระส่วนตัวต่างๆ นาๆ ตามความต้องการของร่างกาย แต่บางคน...แม้ลืมตาตื่นขึ้นมา แต่กลับขยับตัวไม่ได้ แม้เพียงปลายนิ้ว ไม่ว่าสมองจะสั่งการร่างกายสักเท่าไร ราวกับว่า...มี ‘บางสิ่ง’ ตรึงร่างของเราไว้ ไม่ให้ขยับ

ปรากฏการณ์ลึกลับนี้แพร่หลายมาตั้งแต่ครั้งโบราณในสังคมไทย จากความผิดพลาดทางการทำงานของร่างกาย สู่ความเชื่อในเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งเร้นกายอยู่ในโลกที่ทับซ้อนกับเราอีกคนละภพภูมิ ความเชื่อนี้ฝังลึกจนกลายเป็นสิ่งที่ฟังดูแล้วไม่ถึงกับงมงาย แต่ยากต่อการหาข้อพิสูจน์ จนในที่สุด เราเรียกปรากฏการณ์นี้กันอย่างติดปากว่า ‘ผีอำ’

ในบทความนี้ DEVA HELLBLAZER จะขอบอกเล่าถึงข้อเท็จจริงบางส่วนในปรากฏการณ์นี้ครับ…



บางครั้ง ผู้ที่มีอาการถูก ‘ผีอำ’ มักเห็นว่ามีร่างลึกลับเป็นงำสีดำ ,ผู้หญิงผมยาว ,ฤๅษีชราภาพ หรือชาย/หญิงที่แต่งองค์ทรงเครื่องราวกับเป็นเทพยดา มายืนอยู่ตรงปลายเตียง นั่งบนเตียงง...จนไปถึงมานั่งทับร่างของเรา ทำให้เราไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ไม่แม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้อง เลวร้ายกว่านั้น คือกรีดร้องสุดเสียงเท่าไหร่ คนที่อยู่รอบข้างก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเลย

กล่าวในแง่ของเรื่องเหนือธรรมชาติ แท้จริงแล้ว การที่มนุษย์ถูกผีอำ ไม่ได้หมายความว่ามีผีตนใดๆ มานั่งทับร่างกายของเราจริงๆ หากแต่เป็นการใช้ ‘จิต’ ที่มีความบริสุทธิ์และกล้าแกร่งกว่า สะกดจิตของมนุษย์ที่ยังกระจายอยู่ในอณูของกายเนื้อ จนร่างกายของมนุษย์นั้นถูกพันธนาการเอาไว้ ส่งผลให้การทำงานของร่างกายนั้นเกิดความบกพร่อง ตั้งแต่ระบบกล้ามเนื้อ ไปจนถึงระบบหายใจ ทำให้มนุษย์ที่ถูกผีอำบางคนอาจเสียชีวิตด้วยการขาดอากาศหายใจ หรือเป็นต้นเหตุให้เกิดการ ‘ไหลตาย’ ขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้

ทว่าส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ถูกผีอำ มักจะเป็นผู้ที่ถูกจัดอยู่ในประเภท ‘จิตอ่อน’ ซึ่งก็คือผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ขวัญอ่อน ขี้ตกใจ ดังนั้น การเสริมสร้างจิตให้แข็งแกร่งก่อนนอนนั้นถือเป็นเรื่องที่ควรกระทำ หากรู้ว่าตนอยู่ในประเภทของคนจิตอ่อน โดยการป้องกันทางจิตจากเหล่าภูติผีนั้นสามารถทำได้ด้วยการกราบหมอน 3 ครั้ง แล้วสวดมนต์ตามลำดับของบทสวด ดังนี้…



เนื้อหาของคาถาดังกล่าวนั้น มีความหมายถึงการขอบารมีจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านเรือน และบารมีของเหล่ากัลยาณมิตรมาช่วยปกปักษ์รักษาดวงจิตของเราให้ปลอดภัยในระหว่างการหลับใหล



ทว่าอาการ ‘ผีอำ’ นี้ ในบางกรณีอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างเช่นภูติผีเสมอไป ในทางการแพทย์ มีคำอธิบายไว้ว่า อาการผีอำเกิดจากภาวะ REMS (Rapid Eyes Movement Sleep) ของมนุษย์ ซึ่งจะมีการหลั่งฮอร์โมนยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ในขณะที่ร่างกายกำลังทำการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของตนเอง ร่างกายของเราจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวใดๆ ที่เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เราพบเจอในความฝัน เช่น การวิ่ง การกระโดด เพื่อป้องกันการเผาผลาญพลังงานในกล้ามเนื้อ จนนำไปสู่การสึกหรอเพิ่มเติม อาการผีอำจึงเรียกได้ว่า มีสาเหตุมาจากการควบคุมการทำงานที่ผิดพลาดของฮอร์โมน เมื่อร่างกายเราตื่นขึ้นมา แต่สมองหยุดหลั่งฮอร์โมนไม่ทัน จึงเกิดเป็นอาการ Sleep Paralysis (ผีอำ)

โดยอาการผีอำ ในทางการแพทย์จะถูกจำแนกออกเป็นสองประเภทได้ดังนี้
1.อาการผีอำโดยทั่วไป
ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้ เพื่อไม่ให้ร่างกายขยับตามความฝัน ซึ่งจะลดโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้ร่างกายได้รับอันตรายระหว่างหลับ ฮอร์โมนนี้จะหมดไปก่อนที่ฝันจะจบ บุคคลนั้นจะตื่นขึ้นมาในสภาพร่างกายที่เป็นปกติ ทว่าจะมีบางครั้งที่ฮอร์โมนยังคงยับยั้งการทำงานของร่างกายอยู่ เมื่อตื่นขึ้นมาจึงไม่สามารถขยับร่างกายได้ชั่วขณะ

2.อาการประสาทหลอนชั่วขณะ
ในประเภทนี้ร่างกายจะไม่สามารถขยับได้ระหว่างหลับ แต่จะรู้สึกเหมือนว่ามีบางคนอยู่ในห้องด้วย และสมองจะสร้างภาพตอบสนองต่อสิ่งที่เรากำลังคิดอยู่ในทันที ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดไปในทิศทางของสิ่งที่มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัว เช่น ผี หรือปีศาจ

พฤติกรรมที่มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผีอำ
1.การนอนหงาย
2.ความเครียดสะสม
3.วิถีการดำรงชีวิตต่างจากที่ร่างกายต้องการ เช่น การทำงานกลางคืน แต่นอนกลางวัน หรือ การเดินทางข้ามเขตเวลาระหว่างประเทศ
4.การรู้ตัวในระหว่างฝัน และควบคุมความฝันได้ (Lucid dream)
5.ความเหนื่อยล้าเกิดขีดจำกัดของกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ อาการผีอำยังสามารถเกิดขึ้นในระดับยีนเป็นกรรมพันธุ์ได้เช่นกัน เนื่องจากบางคนอาจมียีนที่บกพร่องในส่วนของฮอร์โมนที่จะหลั่งออกมาระหว่างการนอนหลับ

วิธีรักษา
โดยหลักๆ แล้วคือพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทว่าในบางกรณีแพทย์จะจ่ายยาที่ลดอาการหลับแบบตากระตุก เช่น imipramine (ยาอิมิพรามีน เม็ดละ 25 มิลลิกรัม) 1-2 เม็ดก่อนนอน แต่ในกรณีที่ต้องใช้ยา จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากแพทย์เท่านั้น



แต่อย่างไรก็ตาม อาการ ‘ผีอำ’ ก็ยังมีบางเหตุการณ์ที่ยังไม่สามารถอธิบายโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ อย่างเช่นกรณีที่เรายังพบเจอผีตนเดียวกับที่มาอำยังคงติดตามเราไปในชีวิตประจำวันเมื่อเราตื่นอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมจึงถือว่าสุดท้ายแล้ว ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่คนเราเลือกจะเชื่อครับ

และในวันที่ 29 มีนาคมนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมสัมผัสกับความสยองครั้งใหม่ในรูปแบบของภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาผสมผสานกันระหว่างวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ และไสยศาสตร์เหนือธรรมชาติได้อย่างลงตัว นั่นคือ SLUMBER (ผีอำผวา) [ไม่ใช่ผีอัมพวา] ที่เล่าถึงเรื่องราวของ ดร.อลิซ แพทย์สาวผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะการหลับใหลของมนุษย์ ซึ่งมักจะถูกหลอกหลอนด้วยภาพการเสียชีวิตอย่างน่าสยดสยองของพี่ชาย จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสเข้าทำการวินิจฉัยภาวะการละเมอให้กับลูกชายของครอบครัวหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่า...สิ่งที่ครอบครัวนี้กำลังประสบอยู่ จะไม่ใช่เพียงภาวะการทำงานที่ผิดพลาดของร่างกายเท่านั้น แต่มันคือการเผชิญหน้ากับบางสิ่ง ที่เล็ดลอดออกมาจากเงามืดแห่งขุมนรก หมายจะกระชากวิญญาณทั้งครอบครัวให้ตายทั้งเป็น

นอกจากเนื้อหาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ตัวของชีวิตประจำวันแล้ว SLUMBER ยังเป็นการกลับมาของ ‘แม็กกี้ คิว’ นักแสดงสาวมากความสามารถที่เคยฝากผลงานไว้ในภาพยนตร์แอ็คชั่นมากมาย ทว่าในครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ แม็กกี้ คิว จะทิ้งมาดสาวนักบู๊ มาสู่ห้วงแห่งความสยองขวัญอย่างเต็มตัว



#DevaHellblazer
    
ติดตามช่องทางสำหรับข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม
Deva Hellblazer : facebook.com/DevaHellblazer