ในวงสนทนา....ในวงเล่า(เหล้า)ก็ด้วย พอเข้าโหมดเรื่องเล่าสยองขวัญ หลายคนต้องเคยถูกถามแบบนี้กันใช่มั้ย?
"เชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณป่าววะ" "แกว่าผีมีจริงมั้ย" "เคยเจอผีหลอกป่าว?"
แล้วถ้าคุณเป็นพวกที่มีอาชีพที่ต้องเดินทางไปค้างคืนตามสถานที่ต่างๆ อยู่ตลอด มันก็จะมีคำถามแบบนี้มาเรื่อยๆ
จนบางทีเราก็พลอยถามตัวเองด้วยเหมือนกัน!
นี่เราเคยเจอยังวะ? ไอ้ที่ได้ยิน ที่รู้สึกได้ ที่เห็นเลือนลาง มันใช่ๆ มั้ย? หรือแค่บรรยากาศพาไป จิตปรุงแต่งไปเองรึเปล่า?
มันจะถามตัวเองแบบนี้ ยิ่งถ้าเชื่อในวิทยาศาสตร์ เราก็จะยิ่งพยายามหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่เราเจอให้จงได้
หรืออาจบางที เป็นกลไกในการปลุกปลอบใจตัวเองให้ผ่อนคลายก็เป็นได้
เข้าเรื่องราวหลอนๆ ในความทรงจำเลยละกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานกว่า 30 ปีแล้ว...แทบไม่ต้องเดาอายุกันเลยทีเดียว

ตอนนั้นเราเป็นเพิ่งนักข่าวใหม่ๆ สมัยก่อนนักข่าวต้องทำหน้าที่เป็นช่างภาพเองด้วย บก.มอบหมายให้ไปงานไหนก็ไป
หน้าที่เราส่วนมากคือประจำสายบันเทิง ก็ต้องไปตามกองถ่าย ไปตามทัวร์คอนเสิร์ตศิลปินนักร้องดังๆ ซึ่งยุคนั้นนิตยสารบันเทิงเฟื่องฟูมาก
บางสำนักก็จะมีการออกนิตยสารที่เรียกว่า "ฉบับพิเศษ" เป็นการทำเรื่องราวของนักร้องศิลปินดังแบบทั้งเล่ม เช่น ฉบับพิเศษเบิร์ด ธงไชย เป็นต้น
ปีนั้นมีศิลปินร็อกสองพี่น้องที่ออกอัลบั้มมาดังมากๆ ค่ายต้นสังกัดก็จะมีงานเดินสายออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ
เราได้รับมอบหมายให้ตามติดศิลปินร็อกคู่นี้ เพื่อเก็บภาพบรรยากาศคอนฯ มาลงในฉบับพิเศษ
จำได้ว่า โปรแกรมทัวร์คอนเสิร์ตมันเริ่มจากภาคกลางแล้วขึ้นเหนือ โดยแวะเล่นในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ
และเหตุการณ์มันเกิดขึ้นตอนไปทัวร์จังหวัดใหญ่ทางภาคเหนือนี่แหละ
คอนเสิร์ตเล่นที่สนามกีฬากลาง (ถ้าจำไม่ผิด) เราก็เก็บภาพบนเวทีและบรรยากาศคนดูไปเรื่อยๆ จนคอนเสิร์ตจบ
เราเก็บสัมภาระกระเป๋ากล้อง กะว่าค่อยสัมภาษณ์พี่ๆ ศิลปินต่อเช้าวันพรุ่งนี้ คงจะพอมีเวลาช่วงหลังเบรคฟาสต์
โรงแรมที่เราเช็คอินเข้าพัก เป็นโรงแรมเล็กๆ ไม่ได้เก่ามากแต่ราคาถูก นักข่าวตระเวณยุคนั้นไปทำงานก็ต้องเซฟงบ
เราอายุแค่ 20 กว่าๆ ไฟแรงสนุกกับงาน ก็ไม่ได้คิดไรมาก นอนยังไงก็ได้ ด้วยความเหนื่อยล้าก็อยากอาบน้ำอาบท่า อยากรีบนอน
ที่นั่นเป็นโรงแรมกลางเมือง เราได้ห้องพักหมายเลข 304 จำไม่ลืมจนถึงวันนี้!
เป็นห้องสแตนดาร์ดเล็กๆ เปิดไปก็เจอเตียงนอนเดี่ยวอยู่ทางขวามือ ติดกับผนังห้อง ปลายเตียงเป็นห้องน้ำที่ติดกับระเบียง
ตรงหน้าห้องน้ำมีตู้เสื้อผ้าที่บานประตูมันปิดไม่สนิท เราก็จัดเสื้อผ้าแขวนไว้ เอาเป้วางในตู้ ปิดแง้มๆ ไว้
แล้วห้องพักที่มีแอร์สมัยก่อน ถ้าโรงแรมเก่านิดนึง ราคาถูกหน่อย เวลาเปิดทีจะมีเสียงดังกระหึ่มมาก
สมัยก่อนยังไม่มีเน็ต ไม่มีโน้ตบุค ไม่มีสมาร์ทโฟนให้เล่น สิ่งที่คนยุคนั้นทำเวลาออกตจว.คือ เอาพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วติดตัวไปทำงานด้วย
แต่ทริปนั้นเราไม่ได้เอาไป เพราะหนักเกินจะแบกสัมภาระไหว พออาบน้ำเสร็จเลยเผาเวลาไปกับการอ่านหนังสือเพื่อให้ง่วงหลับไปเอง
ความสงัดเงียบของโรงแรม และบรรยากาศของเมืองในยุคนั้น มันเงียบกว่ายุคนี้มาก ยิ่งดึกก็ยิ่งวังเวง เพราะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยว
โรงแรมนี้น่าจะเปิดมาได้ประมาณ 10 กว่าปี ณ ตอนนั้น นักท่องเที่ยวยังไม่ได้คึกคักเท่าปัจจุบัน ชั้นที่เราอยู่ก็น่าจะมีคนเข้าพักเพียงไม่กี่ห้อง
รู้สึกได้ถึงความเงียบ ได้ยินเสียงเดียวที่ดังสุดคือ เสียงเครื่องแอร์...มันดังหึ่งๆ อยู่ตลอด
คงเพราะความเพลีย ทำให้หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่คงดึกดื่นค่อนคืนมากแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก เป็นอาการแบบที่เรียกว่า "ผีอำ"
มันขยับตัวไม่ได้ หลายคนคงเคยเป็น จากนั้นก็มีเสียงบานประตูตู้เสื้อผ้าเปิดออก มันเป็นเสียงเอี๊ยดๆ ที่ดังตั้งแต่ตอนเอาเสื้อผ้าแขวนเก็บแล้ว
ประตูตู้เสื้อผ้ามันปิดไม่สนิทแต่แรก อย่างที่บอกนั่นแหละ ในขณะที่อยู่ในอาการหลับๆ ตื่นๆ อึดอัดหายใจลำบากอยู่นั้น
เราได้ยินเสียงบานตู้เสื้อผ้าใช่แน่ๆ ไม่ใช่ความฝัน แต่สักพักอาการก็หนักกว่านั้น คือตัวแข็งทื่อไปดื้อๆ เราพยายามลืมตาดูในความมืด
ได้แต่กลอกตาไปมาในความสลัว แต่ไหนแต่ไรมา เป็นคนไม่กลัวอะไรที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ใครถามว่ากลัวผีมั้ย ก็ตอบได้ไม่ต้องคิดนานว่าไม่กลัว
ที่ไม่กลัวก็คงเพราะไม่เคยเจอนั่นแหละ แต่ครั้งนั้นยอมรับเลยว่า กลัวสุดขีด เป็นความกลัวจากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายที่ประเดประดังเข้ามา
และกลัวเพราะขยับตัวช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ด้วย พอบังคับตัวเองไม่ได้ แล้วลืมตามองผ่านความมืด ก็ดันรู้สึกถึงการถูกจ้องกลับ
เสียงจากตู้เสื้อผ้าเงียบไป แต่ต่อมาเสียงแปลกๆ มาอยู่ที่พื้น เป็นเสียงเหมือนลากบางอย่างไปตามพื้น แคร็กๆ...
ที่แย่สุดคือเสียงมันมาหยุดอยู่ข้างเตียง หยุดตรงที่เรานอนอยู่นั่นแหละ แล้วจู่ก็มีลมเป่ามาที่หน้า เราหลับตาปี๋ทันที
ความกลัวเป็นแบบนี้เอง---เป็นความรู้สึกกลัวแบบประหลาดๆ ครั้งแรกในชีวิต!
ความรู้สึกถึงลมที่เป่ามาที่หน้า เหมือนใครมาหายใจรด หรืออาจจะเป็นลมจากแอร์เป่าเข้าหน้าก็เป็นได้
แต่ตอนนั้นสิ่งที่เราทำคือ พยายามขืนตัว ขยับตัวให้ได้ จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่รู้สึกถึงความทรมานชัดเจนมาก
แล้วพอขยับตัวได้เราก็ฉวยผ้าห่มมาคลุมโปงอย่างไว หันตัวกลับเข้าผนังห้อง แค่คิดว่าให้พ้นจาก "ลมที่เป่าใส่หน้า" แค่นั้นเลย
ตัวเกร็งแข็งขืนอยู่ในผ้าห่มอยู่อย่างนั้น จนเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว ทั้งที่เปิดแอร์ ในหัวก็ได้แต่สวดนะโมไปเรื่อยๆ อยากให้ฟ้าสว่างเร็วๆ
บอกตัวเองว่า นี่ไม่ใช่ฝันแน่ๆ เพราะเรารู้สึกตัวตลอด นอนเกร็งจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่ไม่กล้าขยับเลย
ต่อมาก็นึกให้กำลังใจตัวเองว่ามันคงจบแล้ว...สิ่งลึกลับนั้นคืออะไรไม่รู้ แต่คิดเอาเองว่ามันไปแล้วมั้ง พอแล้วเหอะ กูเหนื่อย...คิดอยู่อย่างนี้วนไป
แต่ไม่ใช่เลย! สักพักผ้าห่มที่คลุมโปงอยู่มันเหมือนมีอะไรสักอย่างลูบ(หรือกลิ้ง)ไปตามตัวเรา จากปลายเท้า ค่อยๆ ขึ้นมาที่หัวไหล่
เราอยู่ในท่านอนตะแคงขวา หัวไหล่ซ้ายใต้ผ้าห่มสัมผัสได้ถึงการลูบไล้ ในหัวตอนนั้นคือ หรือว่าจะเป็นคนที่แอบเข้ามาทางระเบียงห้องรึเปล่า?
เรากลั้นใจแล้วคิดว่า สิ่งที่จะทำต่อจากนี้คือ ทางเดียวที่ต้องทำให้เร็วที่สุด แรงที่สุด เพื่อจบมันซะที
ค่ะ....อิชั้นคว้าหมอนที่หนุนอยู่ปาใส่ ---ใส่อะไรก็ไม่รู้แหละ แต่เขวี้ยงหมอนออกไปอย่างแรง แล้วพยายามลุกขึ้นให้ไว (ถ้าเป็นตอนนี้คงความดันขึ้น)
ตามมาด้วยกระโดดลงจากเตียงในความมืด จากนั้นพุ่งไปเปิดสวิตช์ไฟที่หัวเตียง คิดแค่ว่าเป็นไงเป็นกัน พอแล้ว ขอจบซะที กูเหนื่อยแล้ว
พอไฟเปิดเรามองไปที่ระเบียงทันที แต่ปกติ...ประตูที่ระเบียงปิดอยู่ กวาดตาไปรอบห้อง ทุกอย่างดูสงบ....เงียบ พึลึกมากความรู้สึกตอนนั้น
มีแค่ที่พื้นห้อง หมอนที่เขวี้ยงออกไปนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น เราตัดสินใจแบบไวๆ อีกรอบคือ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าให้รู้แล้วรู้รอดไปซะ
ทำแบบเดิม...เปิดให้ไว ทำเสียงให้ดังเอะอะเข้าไว้
เดินพรวดๆ ไปเปิดตู้เสื้อผ้า (เป็นตู้แบบมีบานเปิด 2 บาน) เปิดมันค้างไว้นั่นแหละ แล้วเอาเสื้อออกจากไม้แขวนแบบเร็วๆ
เก็บลงกระเป๋าเป้สิ จะรอไร....อารมณ์ขณะนั้นมันแปรเปลี่ยนจากความกลัว หายไปฉับพลัน เป็นความโมโหมาแทนที่
มันทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย ทั้งเมื่อย เพราะนอนเกร็งตัวนานหลายชั่วโมง
พอฟ้าสว่างรำไรก็ไม่เอาแล้ว คิดแต่ว่าพอกันทีไอ้ห้องบ้านี่ ลงมานั่งสงบสติอารมณ์ที่ล็อบบี้ (ซึ่งก็วังเวงมากเพราะยังเช้าจัด)
นั่งคิดย้อนไปว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน พยายามหาเหตุผลเป็นข้อๆ ได้ว่า
1. ฉันเหนื่อยและเพลียร่างกายจึงอ่อนล้า อาจเกิดอาการอัมพาตแบบฉับพลันทำให้ร่างกายคล้ายถูกผีอำ ซึ่งมันมีคำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์
ที่อธิบายอาการนี้ว่าเป็น ภาวะที่ร่างกายเข้าสู่ห้วงการหลับ แต่จิตสำนึกยังคงตื่นอยู่ เลยทำให้รู้สึกขยับตัวไม่ได้และมีอาการอึดอัด
2. ประตูตู้เสื้อผ้าที่เปิดเอง ก็เพราะมันปิดไม่ได้สนิทตั้งแต่แรกแล้ว
3. เสียงลากที่พื้น อาจจะหูแว่วผสมกับเสียงเครื่องแอร์ที่ดัง ก็มโนเพราะความหลอนไปเองก็เป็นได้
4. ลมที่เป่าใส่หน้า อืม....ก็แอร์มันทำงานนั่นแหละ
5. สัมผัสที่ผ้าห่มไล่ตามตัวก็ แรงลมจากแอร์มันเป่านั่นแหละ
สรุปว่า จำเลยในคดีนี้คือ แอร์ไปเลยละกัน จบแยกย้าย....
เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในห้อง 304 นั้น ความจริงคืออะไร แต่มันหลอนจริง รู้สึกทำให้ขนลุกได้จริงๆ
ซึ่งจากครั้งนั้นทำให้ต่อมากลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของเราไปเลย เวลาไปนอนค้างตามโรงแรมรีสอร์ตที่ไหนก็ตาม
เราจะเปิดโคมไฟหรือดีมไฟเอาไว้ดวงหนึ่งเสมอ ไม่ปิดไฟนอนมืดๆ แบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ในแง่ความปลอดภัยก็ ok ด้วย
หลังจากไป "ตามหาฟักทอง" แบบหลอนๆ ครั้งนั้น เราก็ปิดเล่มฉบับพิเศษได้ หนังสือออกมาขายดีหมดเกลี้ยงแผง
ในเวลาต่อมาเราก็ได้ทำฉบับพิเศษอีกหลายเล่มของศิลปินอีกหลายคน เป็นความทรงจำของนักข่าวสาวในยุค 80
ที่นึกย้อนกลับไปทีไร ก็คิดว่าเราสู้ชีวิตมาก สนุกกับชีวิตและใช้มันเกินคุ้มจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามในห้องนั้น เราขอบคุณนะ.
เรื่องหลอนในความทรงจำของอดีตนักข่าวที่ต้องไปค้างคืน ณ โรงแรมเก่า...กับคืนสยองที่ห้อง 304
"เชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณป่าววะ" "แกว่าผีมีจริงมั้ย" "เคยเจอผีหลอกป่าว?"
แล้วถ้าคุณเป็นพวกที่มีอาชีพที่ต้องเดินทางไปค้างคืนตามสถานที่ต่างๆ อยู่ตลอด มันก็จะมีคำถามแบบนี้มาเรื่อยๆ
จนบางทีเราก็พลอยถามตัวเองด้วยเหมือนกัน!
นี่เราเคยเจอยังวะ? ไอ้ที่ได้ยิน ที่รู้สึกได้ ที่เห็นเลือนลาง มันใช่ๆ มั้ย? หรือแค่บรรยากาศพาไป จิตปรุงแต่งไปเองรึเปล่า?
มันจะถามตัวเองแบบนี้ ยิ่งถ้าเชื่อในวิทยาศาสตร์ เราก็จะยิ่งพยายามหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่เราเจอให้จงได้
หรืออาจบางที เป็นกลไกในการปลุกปลอบใจตัวเองให้ผ่อนคลายก็เป็นได้
เข้าเรื่องราวหลอนๆ ในความทรงจำเลยละกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานกว่า 30 ปีแล้ว...แทบไม่ต้องเดาอายุกันเลยทีเดียว
ตอนนั้นเราเป็นเพิ่งนักข่าวใหม่ๆ สมัยก่อนนักข่าวต้องทำหน้าที่เป็นช่างภาพเองด้วย บก.มอบหมายให้ไปงานไหนก็ไป
หน้าที่เราส่วนมากคือประจำสายบันเทิง ก็ต้องไปตามกองถ่าย ไปตามทัวร์คอนเสิร์ตศิลปินนักร้องดังๆ ซึ่งยุคนั้นนิตยสารบันเทิงเฟื่องฟูมาก
บางสำนักก็จะมีการออกนิตยสารที่เรียกว่า "ฉบับพิเศษ" เป็นการทำเรื่องราวของนักร้องศิลปินดังแบบทั้งเล่ม เช่น ฉบับพิเศษเบิร์ด ธงไชย เป็นต้น
ปีนั้นมีศิลปินร็อกสองพี่น้องที่ออกอัลบั้มมาดังมากๆ ค่ายต้นสังกัดก็จะมีงานเดินสายออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ
เราได้รับมอบหมายให้ตามติดศิลปินร็อกคู่นี้ เพื่อเก็บภาพบรรยากาศคอนฯ มาลงในฉบับพิเศษ
จำได้ว่า โปรแกรมทัวร์คอนเสิร์ตมันเริ่มจากภาคกลางแล้วขึ้นเหนือ โดยแวะเล่นในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ
และเหตุการณ์มันเกิดขึ้นตอนไปทัวร์จังหวัดใหญ่ทางภาคเหนือนี่แหละ
คอนเสิร์ตเล่นที่สนามกีฬากลาง (ถ้าจำไม่ผิด) เราก็เก็บภาพบนเวทีและบรรยากาศคนดูไปเรื่อยๆ จนคอนเสิร์ตจบ
เราเก็บสัมภาระกระเป๋ากล้อง กะว่าค่อยสัมภาษณ์พี่ๆ ศิลปินต่อเช้าวันพรุ่งนี้ คงจะพอมีเวลาช่วงหลังเบรคฟาสต์
โรงแรมที่เราเช็คอินเข้าพัก เป็นโรงแรมเล็กๆ ไม่ได้เก่ามากแต่ราคาถูก นักข่าวตระเวณยุคนั้นไปทำงานก็ต้องเซฟงบ
เราอายุแค่ 20 กว่าๆ ไฟแรงสนุกกับงาน ก็ไม่ได้คิดไรมาก นอนยังไงก็ได้ ด้วยความเหนื่อยล้าก็อยากอาบน้ำอาบท่า อยากรีบนอน
ที่นั่นเป็นโรงแรมกลางเมือง เราได้ห้องพักหมายเลข 304 จำไม่ลืมจนถึงวันนี้!
เป็นห้องสแตนดาร์ดเล็กๆ เปิดไปก็เจอเตียงนอนเดี่ยวอยู่ทางขวามือ ติดกับผนังห้อง ปลายเตียงเป็นห้องน้ำที่ติดกับระเบียง
ตรงหน้าห้องน้ำมีตู้เสื้อผ้าที่บานประตูมันปิดไม่สนิท เราก็จัดเสื้อผ้าแขวนไว้ เอาเป้วางในตู้ ปิดแง้มๆ ไว้
แล้วห้องพักที่มีแอร์สมัยก่อน ถ้าโรงแรมเก่านิดนึง ราคาถูกหน่อย เวลาเปิดทีจะมีเสียงดังกระหึ่มมาก
สมัยก่อนยังไม่มีเน็ต ไม่มีโน้ตบุค ไม่มีสมาร์ทโฟนให้เล่น สิ่งที่คนยุคนั้นทำเวลาออกตจว.คือ เอาพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วติดตัวไปทำงานด้วย
แต่ทริปนั้นเราไม่ได้เอาไป เพราะหนักเกินจะแบกสัมภาระไหว พออาบน้ำเสร็จเลยเผาเวลาไปกับการอ่านหนังสือเพื่อให้ง่วงหลับไปเอง
ความสงัดเงียบของโรงแรม และบรรยากาศของเมืองในยุคนั้น มันเงียบกว่ายุคนี้มาก ยิ่งดึกก็ยิ่งวังเวง เพราะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยว
โรงแรมนี้น่าจะเปิดมาได้ประมาณ 10 กว่าปี ณ ตอนนั้น นักท่องเที่ยวยังไม่ได้คึกคักเท่าปัจจุบัน ชั้นที่เราอยู่ก็น่าจะมีคนเข้าพักเพียงไม่กี่ห้อง
รู้สึกได้ถึงความเงียบ ได้ยินเสียงเดียวที่ดังสุดคือ เสียงเครื่องแอร์...มันดังหึ่งๆ อยู่ตลอด
คงเพราะความเพลีย ทำให้หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่คงดึกดื่นค่อนคืนมากแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก เป็นอาการแบบที่เรียกว่า "ผีอำ"
มันขยับตัวไม่ได้ หลายคนคงเคยเป็น จากนั้นก็มีเสียงบานประตูตู้เสื้อผ้าเปิดออก มันเป็นเสียงเอี๊ยดๆ ที่ดังตั้งแต่ตอนเอาเสื้อผ้าแขวนเก็บแล้ว
ประตูตู้เสื้อผ้ามันปิดไม่สนิทแต่แรก อย่างที่บอกนั่นแหละ ในขณะที่อยู่ในอาการหลับๆ ตื่นๆ อึดอัดหายใจลำบากอยู่นั้น
เราได้ยินเสียงบานตู้เสื้อผ้าใช่แน่ๆ ไม่ใช่ความฝัน แต่สักพักอาการก็หนักกว่านั้น คือตัวแข็งทื่อไปดื้อๆ เราพยายามลืมตาดูในความมืด
ได้แต่กลอกตาไปมาในความสลัว แต่ไหนแต่ไรมา เป็นคนไม่กลัวอะไรที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ใครถามว่ากลัวผีมั้ย ก็ตอบได้ไม่ต้องคิดนานว่าไม่กลัว
ที่ไม่กลัวก็คงเพราะไม่เคยเจอนั่นแหละ แต่ครั้งนั้นยอมรับเลยว่า กลัวสุดขีด เป็นความกลัวจากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายที่ประเดประดังเข้ามา
และกลัวเพราะขยับตัวช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ด้วย พอบังคับตัวเองไม่ได้ แล้วลืมตามองผ่านความมืด ก็ดันรู้สึกถึงการถูกจ้องกลับ
เสียงจากตู้เสื้อผ้าเงียบไป แต่ต่อมาเสียงแปลกๆ มาอยู่ที่พื้น เป็นเสียงเหมือนลากบางอย่างไปตามพื้น แคร็กๆ...
ที่แย่สุดคือเสียงมันมาหยุดอยู่ข้างเตียง หยุดตรงที่เรานอนอยู่นั่นแหละ แล้วจู่ก็มีลมเป่ามาที่หน้า เราหลับตาปี๋ทันที
ความกลัวเป็นแบบนี้เอง---เป็นความรู้สึกกลัวแบบประหลาดๆ ครั้งแรกในชีวิต!
ความรู้สึกถึงลมที่เป่ามาที่หน้า เหมือนใครมาหายใจรด หรืออาจจะเป็นลมจากแอร์เป่าเข้าหน้าก็เป็นได้
แต่ตอนนั้นสิ่งที่เราทำคือ พยายามขืนตัว ขยับตัวให้ได้ จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่รู้สึกถึงความทรมานชัดเจนมาก
แล้วพอขยับตัวได้เราก็ฉวยผ้าห่มมาคลุมโปงอย่างไว หันตัวกลับเข้าผนังห้อง แค่คิดว่าให้พ้นจาก "ลมที่เป่าใส่หน้า" แค่นั้นเลย
ตัวเกร็งแข็งขืนอยู่ในผ้าห่มอยู่อย่างนั้น จนเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว ทั้งที่เปิดแอร์ ในหัวก็ได้แต่สวดนะโมไปเรื่อยๆ อยากให้ฟ้าสว่างเร็วๆ
บอกตัวเองว่า นี่ไม่ใช่ฝันแน่ๆ เพราะเรารู้สึกตัวตลอด นอนเกร็งจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่ไม่กล้าขยับเลย
ต่อมาก็นึกให้กำลังใจตัวเองว่ามันคงจบแล้ว...สิ่งลึกลับนั้นคืออะไรไม่รู้ แต่คิดเอาเองว่ามันไปแล้วมั้ง พอแล้วเหอะ กูเหนื่อย...คิดอยู่อย่างนี้วนไป
แต่ไม่ใช่เลย! สักพักผ้าห่มที่คลุมโปงอยู่มันเหมือนมีอะไรสักอย่างลูบ(หรือกลิ้ง)ไปตามตัวเรา จากปลายเท้า ค่อยๆ ขึ้นมาที่หัวไหล่
เราอยู่ในท่านอนตะแคงขวา หัวไหล่ซ้ายใต้ผ้าห่มสัมผัสได้ถึงการลูบไล้ ในหัวตอนนั้นคือ หรือว่าจะเป็นคนที่แอบเข้ามาทางระเบียงห้องรึเปล่า?
เรากลั้นใจแล้วคิดว่า สิ่งที่จะทำต่อจากนี้คือ ทางเดียวที่ต้องทำให้เร็วที่สุด แรงที่สุด เพื่อจบมันซะที
ค่ะ....อิชั้นคว้าหมอนที่หนุนอยู่ปาใส่ ---ใส่อะไรก็ไม่รู้แหละ แต่เขวี้ยงหมอนออกไปอย่างแรง แล้วพยายามลุกขึ้นให้ไว (ถ้าเป็นตอนนี้คงความดันขึ้น)
ตามมาด้วยกระโดดลงจากเตียงในความมืด จากนั้นพุ่งไปเปิดสวิตช์ไฟที่หัวเตียง คิดแค่ว่าเป็นไงเป็นกัน พอแล้ว ขอจบซะที กูเหนื่อยแล้ว
พอไฟเปิดเรามองไปที่ระเบียงทันที แต่ปกติ...ประตูที่ระเบียงปิดอยู่ กวาดตาไปรอบห้อง ทุกอย่างดูสงบ....เงียบ พึลึกมากความรู้สึกตอนนั้น
มีแค่ที่พื้นห้อง หมอนที่เขวี้ยงออกไปนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น เราตัดสินใจแบบไวๆ อีกรอบคือ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าให้รู้แล้วรู้รอดไปซะ
ทำแบบเดิม...เปิดให้ไว ทำเสียงให้ดังเอะอะเข้าไว้
เดินพรวดๆ ไปเปิดตู้เสื้อผ้า (เป็นตู้แบบมีบานเปิด 2 บาน) เปิดมันค้างไว้นั่นแหละ แล้วเอาเสื้อออกจากไม้แขวนแบบเร็วๆ
เก็บลงกระเป๋าเป้สิ จะรอไร....อารมณ์ขณะนั้นมันแปรเปลี่ยนจากความกลัว หายไปฉับพลัน เป็นความโมโหมาแทนที่
มันทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย ทั้งเมื่อย เพราะนอนเกร็งตัวนานหลายชั่วโมง
พอฟ้าสว่างรำไรก็ไม่เอาแล้ว คิดแต่ว่าพอกันทีไอ้ห้องบ้านี่ ลงมานั่งสงบสติอารมณ์ที่ล็อบบี้ (ซึ่งก็วังเวงมากเพราะยังเช้าจัด)
นั่งคิดย้อนไปว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน พยายามหาเหตุผลเป็นข้อๆ ได้ว่า
1. ฉันเหนื่อยและเพลียร่างกายจึงอ่อนล้า อาจเกิดอาการอัมพาตแบบฉับพลันทำให้ร่างกายคล้ายถูกผีอำ ซึ่งมันมีคำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์
ที่อธิบายอาการนี้ว่าเป็น ภาวะที่ร่างกายเข้าสู่ห้วงการหลับ แต่จิตสำนึกยังคงตื่นอยู่ เลยทำให้รู้สึกขยับตัวไม่ได้และมีอาการอึดอัด
2. ประตูตู้เสื้อผ้าที่เปิดเอง ก็เพราะมันปิดไม่ได้สนิทตั้งแต่แรกแล้ว
3. เสียงลากที่พื้น อาจจะหูแว่วผสมกับเสียงเครื่องแอร์ที่ดัง ก็มโนเพราะความหลอนไปเองก็เป็นได้
4. ลมที่เป่าใส่หน้า อืม....ก็แอร์มันทำงานนั่นแหละ
5. สัมผัสที่ผ้าห่มไล่ตามตัวก็ แรงลมจากแอร์มันเป่านั่นแหละ
สรุปว่า จำเลยในคดีนี้คือ แอร์ไปเลยละกัน จบแยกย้าย....
เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในห้อง 304 นั้น ความจริงคืออะไร แต่มันหลอนจริง รู้สึกทำให้ขนลุกได้จริงๆ
ซึ่งจากครั้งนั้นทำให้ต่อมากลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของเราไปเลย เวลาไปนอนค้างตามโรงแรมรีสอร์ตที่ไหนก็ตาม
เราจะเปิดโคมไฟหรือดีมไฟเอาไว้ดวงหนึ่งเสมอ ไม่ปิดไฟนอนมืดๆ แบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ในแง่ความปลอดภัยก็ ok ด้วย
หลังจากไป "ตามหาฟักทอง" แบบหลอนๆ ครั้งนั้น เราก็ปิดเล่มฉบับพิเศษได้ หนังสือออกมาขายดีหมดเกลี้ยงแผง
ในเวลาต่อมาเราก็ได้ทำฉบับพิเศษอีกหลายเล่มของศิลปินอีกหลายคน เป็นความทรงจำของนักข่าวสาวในยุค 80
ที่นึกย้อนกลับไปทีไร ก็คิดว่าเราสู้ชีวิตมาก สนุกกับชีวิตและใช้มันเกินคุ้มจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามในห้องนั้น เราขอบคุณนะ.