▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เรียนภาษาที่ต่างประเทศ
เรียนภาษาระยะยาว
เรียนภาษาระยะสั้น
ภาษาจีน
ประเทศจีน
รีวิว เรียนภาษาจีน ณ ฮาร์บิน มนต์เสน่ห์แห่งเมืองหิมะ
สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวเองอย่างคร่าว ๆ ก่อนนะครับ ผมจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รหัส 55 ซึ่งหลังจากสำเร็จการศึกษาไป ก็ได้ลองผิดลองถูกกับชีวิตนอกรั้วมหาลัยมาพอสมควร มีทั้งที่เป็นไปตามแพลนที่ตั้งไว้และในทางตรงข้าม จนเมื่อผมทำงานได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ได้กลับมานั่งทบทวนว่าเป้าหมายที่นอกเหนือไปจากการเป็นหนูปั่นจักรทำอะไรซ้ำ ๆ ในแต่ละวัน เราอยากทำอะไร แล้วความฝันตอนสมัยเรียนซึ่งเป็นช่วงที่ไฟในตัวกำลังพุ่งพล่านอยู่นั้นเราอยากเดินไปทางไหน จนได้คำตอบว่า เราอยากกลับมารื้อฟื้นภาษาจีนที่เราได้ห่างหายไปนานหลายปีตั้งแต่จบมัธยมปลาย จึงเริ่มหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เพจ ต่าง ๆ รวมไปถึงรีวิวต่าง ๆ จนได้รายชื่อเมืองที่ต้องการไปเรียน มีทั้ง เซี่ยเหมิน หางโจว และฮาร์บิน จะเห็นว่าสามเมืองที่เลือกมาสภาพภูมิอากาศและบ้านเมืองค่อนข้างแตกต่างกัน มีทั้งที่อากาศใกล้เคียงไทยและตรงกันข้าม มีทั้งเมืองธรรมชาติและเมืองหลวง ซึ่งหลาย ๆ อย่างลองเปรียบเทียบแล้วทั้งในด้านค่าเรียน สำเนียงภาษา การคมนาคม และค่าครองชีพ จึงตัดสินใจเลือกฮาร์บิน
ในตอนแรกได้ลองหาข้อมูลในกระทู้ของพันทิปมีคนมารีวิวเกี่ยวกับฮาร์บินพอสมควรซึ่งส่วนใหญ่บอกว่า ฮาร์บินเป็นเมืองที่น่าอยู่ การศึกษาของมหาวิทยาลัยมีความเข้มข้น ไม่มีสำเนียงท้องถิ่น และค่าครองชีพไม่แพงกว่าไทย ผมจึงอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฮาร์บินจึงไปเจอเพจหนึ่งที่แนะนำการศึกษาต่อที่ฮาร์บินนั่นคือเพจ ‘Study in Harbin เรียนภาษาจีนกลาง’ จึงทำให้ได้รู้จักกับพี่เอ็ม พี่เอ็มเป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งของมณฑลเฮย์หลงเจียงและติดอันดับ Top 10 ของจีน นั่นคือ Harbin Institute of Technology (HIT) ซึ่งถูกเรียกสั้น ๆ ว่า ฮากงต้า (哈工大) พี่เอ็มได้ให้คำแนะนำและรายระเอียดของการสมัครเรียนรวมไปถึงคู่มือเบื้องต้นของการใช้ชีวิตในฮาร์บิน Study In Harbin ไม่ได้เป็นบริษัทเอเจนซี่ศึกษาต่อต่างประเทศ แต่พี่เอ็มเขาเป็น representative ของ Harbin institute of technology โดยตรง ซึ่งนอกเหนือไปจากพี่เอ็มก็มีพี่ ๆ ที่ได้รับทุนของรัฐบาลจีน CSC ทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกคอยให้ความช่วงเหลือกับน้อง ๆ ที่สมัครมาเรียนด้วยตลอด
ในขั้นตอนแรกพี่เอ็มได้ส่งรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการสมัครเรียน ซึ่งผมได้เลือกสมัครเรียนระยะเวลา 1 ปี ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมยืนยันว่าพี่เอ็มไม่มีเก็บเพิ่ม ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นไปตามที่แจ้งมาจากไทย และไม่มีค่าดำเนินการต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยประสานงานกับมหาวิทยาลัยทำให้นักเรียนไทยมีความสะดวกในการลงทะเบียนเรียนวันแรก ผมเห็นได้ชัดว่านวันลงทะเบียนเรียนนักเรียนจากประเทศอื่นจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่านักเรียนไทย ทั้งการกรอกเอกสาร และเข้าแถวมอบเอกสาร แต่ด้วยความที่พี่เอ็มจัดการเอกสารให้ทั้งหมดแล้ว พวกเราจึงไปแค่ยื่นเอกสารลงทะเบียนและสอบวัดระดับชั้น
ก่อนวันเดินทางได้มีการจัดแบ่งกลุ่ม กับคนที่เดินทางไฟร์ทเดียวกันใน wechat และพี่เอ็มจะคอยสแตนบายให้ความช่วยเหลือน้อง ๆ ตลอด ตั้งแต่การออกจากประเทศไทย ต่อเครื่องระหว่างการเดินทาง จนถึงเดินทางถึงสนามบินฮาร์บิน
กลุ่มของพวกเราได้เดินทางด้วยเที่ยวบินที่ CZ606 ของสายการบิน China Southern Airline เวลา 05.45 กรุงเทพ-ฉางซา หลังจากนั้นรอพักที่ฉางซาเพื่อต่อเครื่องไปฮาร์บิน ระหว่างที่พวกเรารอเที่ยวบินไปฮาร์บินที่ฉางซา ด้วยความที่มีระยะเวลาในการรอที่ค่อนข้างนาน และหิวพร้อมอยากออกไปเดินสำรวจภายนอก จึงได้วีแชทไปหาพี่เอ็ม พี่เอ็มจึงช่วยคุยกับพนักงานภาคพื้นให้จนเขาพาเราไปเข้าพักที่โรงแรมเพื่อพักผ่อนพร้อมมีรถรับส่งโรงแรม-สนามบินทั้งไปและกลับโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย รู้สึกแฮปปี้มากเราไม่ต้องนั่งเหี่ยวเฉาในสนามบินแล้ว
เมื่อพวกเราพักผ่อนที่โรงแรมจนถึงใกล้เวลา check-in ก็ได้กลับไปยังโรงแรมเพื่อนั่งรถมาสนามบิน พวกเรารู้สึกตื่นเต้นปนความเหนื่อยล้านิด ๆ ใกล้จะได้ถึงฮาร์บินแล้ว พวกเราเดินทางด้วยเที่ยวบิน CZ6272 เวลา 18.25 ฉางซา-ฮาร์บิน
หลังจากที่นอนหลบอย่างสงบเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมก็ลืมปรับเวลาให้เป็นเวลาแบบจีน เพราะที่จีนจะเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ตอนนั้นแบบรู้สึกผิดมารีบวิ่งลงไปหาพี่ ๆ ที่พักอยู่ที่พักเดียวกันเพื่อเดินทางไปหาพี่เอ็มซึ่งรออยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย Meeting Point ของพวกเราคือ KFC และประตูซีหยวน วันนั้นถือเป็นวันที่รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นวันที่หิมะตก อุณหภูมิประมาณ -26 ชีวิตที่ผ่านมายังไม่เคยสัมผัสอากาศแบบนี้เลยฮ่า ๆ เรียกได้ว่าหนาวแข็งเลยทีเดียว
เมื่อจัดการเรื่องเอกสารและเงิน ๆ ทอง ๆ กับพี่เอ็มเรียบร้อยผมก็ได้เพื่อนใหม่เป็นกลุ่มคนไทยที่เดินทางมาด้วยกันและพักห้องใกล้เคียงกัน พวกเราก็ได้ไปผจญภัยฮาร์บินด้วยกัน ไปโบสถ์เซนโซเฟียซึ่งถือว่าเป็นจุด land mark ของฮาร์บินเลยก็ว่าได้ รวมถึงเดินเที่ยวถนนจงยางต้าเจีย ถนนสายสำคัญและแหล่งช็อปปิ้งของฮาร์บิน ในช่วงที่พวกเราไปติดกับช่วงหยุดยามของเทศกาลตรุษจีนพอดีจึงทำให้ผู้คนไม่ค่อยแออัดมากนัก
เมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้งในฮาร์บิน ถนนจงยางเป็นอีกหนึ่งก็แลนด์มาร์คที่สำคัญ ถนนจงยาง หรือ 中央大街 ได้ถูกสร้างขึ้นในค.ศ. 1898 มีระยะทางประมาณ 1.45 กิโลเมตร โดยมีจุดเริ่มต้นจากจัตุรัสซินหยางทอดเส้นทางยาวไปจนถึงอนุสาวรีย์น้ำท่วม ซึ่งในอดีตถนนเส้นนี้ได้ถูกใช้ในเพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมต่อของการค้าทางเรือ ถนนจงยางได้ถูกพัฒนาและเก็บรักษารูปแบบดั้งเดิมยาวนานกว่า 300 ปีไว้จนมาถึงปัจจุบัน ถนนสายนี้นอกจากจะเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญแล้วยังเป็นแหล่งที่เก็บรวบรวมศิลปะแนวตะวันตกจากรูปแบบสถาปัตยกรรมสองข้างทางไว้อีกด้วย ทำให้เมื่อผู้คนเดินทางมาท่องเที่ยวถนนสายนี้จะได้สัมผัสกับกลิ่นอายของความเป็นยุโรปผสมผสานกับความเป็นจีน ยิ่งในช่วงฤดูหนาวนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศที่โรแมนติกท่ามกลางหิมะโปรยปราย พร้อมด้วยการตกแต่งสีสันของถนน และรูปปั้นแกะสลักจากน้ำแข็ง นอกจากนี้ถนนจงยางยังอยู่ใกล้กับโบสถ์เซนโซเฟียที่อยู่อีกฝั่งหนึางของถนนอีกด้วย หากได้มาลองสัมผัสบรรยากาศในช่วงฤดูหนาวของถนนจงยาง ดูวิถีชีวิตของผู้คน รับชมสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จูงมือกับคนที่คุณรัก จะทำให้คุณหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของเมืองฮาร์บินอย่างแน่นอน
***สำหรับใครที่อ่านรีวิวจากหลาย ๆ คนที่ได้เขียนไว้เกี่ยวกับผับรัสเซียที่นักศึกษาต่างชาติเข้าฟรีไม่ต้องเสียเงินและดื่มฟรีขอบอกว่าตั้งอยู่ในโซนโบสถ์เซนโซเฟียนี้แหละ เกาหลี รัสเซีย เยอะมาก ๆ ***
กลางคืนเป็นคนบาปตอนเช้าก็เป็นคนดีหน่อยนิดนึง สถานที่อีกหนึ่งที่ที่รู้สึกประทับใจมาก ๆ คือวัดจี๋เล่อ 极乐寺 ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาฮากงเฉิง คือไปไหว้พระขอพร เหมือนแต้มบุญที่สั่งสมมาทวีคูณและส่งผลทันตาหลังจากนั้นก็ได้พบรักกับเขาคนหนึ่งที่ต้องนี้กำลังคุย ๆ กันอยู่ แต้มบุญส่งผลทันตาไหมละ ถ้ามาฮาร์บินอย่าลืมมาไหว้นะพวกเธอ
การคมนาคมในเมืองฮาร์บินถือว่าไม่เลวร้ายเท่าเมืองใหญ่ ๆ ในไทย เพราะมีทั้งแท็กซี่ รถเมล์ รถไฟใต้ดิน ซึ่งทุกอย่างราคาถูกกว่าไทยมาก แท็กซี่เริ่มต้นที่ 8 หยวน และนี่ก็เป็นการขึ้นรถเมล์ครั้งแรกของทุกคน ค่ารถเมล์ที่จีนคือ 1-2 หยวนตลอดสาย 1 หยวน คือรถที่ไม่มีเครื่องฮีทเตอร์ แต่ถ้ามีก็ 2 หยวน การขึ้นรถเมล์คือขึ้นทางด้านหน้า ลงรถทางด้านหลัง สำหรับการขึ้นรถไฟใต้ก็เช่นเดียวกัน ค่าบริการเริ่มต้น 2 หยวนเช่นกัน แอบเหลือบตามองบนนึกถึงรสไฟฟ้าที่ไทย
และแล้วก็มาถึงวันลงทะเบียนเรียน พวกเราก็ต่อแถวยื่นเอกสารพร้อมสอบพูดเพื่อวัดระดับชั้น ก่อนที่จะต้องสอบข้อเขียนอีกรอบ ผมเคยเรียนภาษาจีนสมัยที่เรียนห้องศิลป์-จีนตอนมัธยมปลาย แล้วหลังจากนั้นจนเรียนจบและทำงานก็แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษาจีนเลย แต่ในใบสมัครเขียนว่าให้สอบเข้าระดับ B ตอนแรกก็กังวลว่า B จะยากไปไหม เพราะอยากเริ่มต้นใหม่ที่ A แต่ก็ไม่อยากไปนั่งท่อง โบ โพ โม โพ ฮ่า ๆ มีความย้อนแย้งในตัวเองสูงมาก
จนถึงวันสอบก็สอบวัดระดับเสร็จเรียบร้อยก็เป็นไปตามที่คาดว่าได้อยู่ระดับ B จะขออธิบายการเรียนภาษาของฮากงต้า ที่นี้จะมีระดับชั้นตั้งแต่เริ่มต้นไปถึงขั้นสูง A B C D E F G
การเรียนของแต่ระดับชั้นจะแตกต่างกัน ของผมได้เรียนห้อง B4 จะมีวิชา 综合เรียนเกี่ยวกับไวยากรณ์口语เรียนการพูด听力เรียนการฟัง ในห้องมีนักเรียนทั้งหมด 9 คน เป็นคนไทย 4 คน รัสเซีย 3 คน และเกาหลี 2 คน ด้วยความหลากหลายทำให้ได้ยินสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป อย่างรัสเซียก็จะพูดเร็ว ๆ เกาหลีจะออกเสียงสั้น ๆ และพี่ไทยของเราด้วยความที่ภาษาไทยเหมือนเสียงดนตรี ก็จะมาหมดเลยจ้า สามารถออกเสียงแบบจีนได้แต่ก็มีแบบขั้นกว่าของจีนด้วย ถือเป็นความสนุกสนานในห้องเรียนอย่างหนึ่ง ฮ่า ๆ