หลังที่จากค้นหาที่เที่ยวมานานว่าช่วงต้นปีจะไปพักผ่อนเวเคชั่นที่ไหนดี จึงมาลงเอยที่
"น่าน" เมืองเหนือเมืองเล็กๆแต่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมอันเก่าแก่และธรรมชาติที่น่าค้นหา ตอนแรกผู้เขียนว่าจะไปต้นปีช่วงปลายหนาวกำลังดี แต่ล่วงเลยด้วยภารกิจหน้าที่เลยทำให้ลงเอยที่ช่วงเกือบเดือนต้นร้อน (15-18 มี.ค.)
จากนั้นจึงเริ่มวางแผนการเดินทาง แอบบอกว่าทริปนี้จะไปตามล่าหาทางช้างเผือกกันบนดอยด้วย เมื่อทุกอย่างลงตัว สมาชิกร่วมเดินทางพร้อมจึงเริ่มออกเดินทางกันเช้าตรู่ของวันที่ 15 ออกจาก กทม มุ่งสู่เหนือจังหวัดน่านดินแดนเล็กๆที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของชาวเมืองน่าน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชม. ถึงประมาณเย็นๆบ่าย 3 โมง
2 วันแรกสมาชิกวางแผนกันเที่ยวในเมืองน่าน จะสัมผัสบรรยากาศวิถีชีวิตชาวเมืองน่านกันให้เต็มอิ่ม โดย จขกท เลือกพักที่ลีลาวดีรีสอร์ทซึ่งห่างจากตัวเมืองน่านประมาณ 5 กิโล
หลังจากนำของเข้าที่พักแล้ว จึงออกมาหาข้าวเย็นกินในตัวเมืองน่านและเที่ยวเรียกน้ำย่อยนิดหน่อยสำหรับวันนี้ สะดุดตาเข้ากับร้านก๋วยเตี๋ยวไร้เทียมทาน หน้าโรงเรียนบ้านดอน ร้านนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวเสริฟพร้อมเล้งในตัวเนื้อนุ่มแน่นอร่อยย 10 10 10 ไปเลยจ้าา
ต่อไปจึงไปเที่ยว
วัดพระธาตุเขาน้อย ไหว้พระให้เป็นสิริมงคลท่องเที่ยวปลอดภัยตลอดทริปนี้กันหน่อย ก่อนกลับไปพาสมาชิกไปดูออเจ้าคืนนี้ 555
ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่บนดอยเขาน้อย อยู่ทางตะวันตกของเมืองน่าน สร้างในสมัยเจ้าปู่แข็ง เมื่อปี พ.ศ. 2030 องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่อ อิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา
มุมด้านหลังพระธาตุก็สง่างามไม่เบา
จากวัดพระธาตุเขาน้อย สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่าน ปัจจุบันบริเวณลานชมทิวทัศน์ ประดิษฐานพระพุทธมหา อุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตร บนยอดพระเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาท สร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ทรงเจริญ พระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542
เช้าวันที่ 2 ตื่นมาทานอาหารเช้าที่บ้านพักรีสอร์ท แอบบอกว่าอาหารเช้าอร่อยยยมากกกกจริงๆ พนักงานบริการดีสุดไม่ได้หน้าม้าแต่บอกต่อด้วยความประทับใจจริงนะเออ
10 โมงมุ่งหน้าออกเที่ยวในตัวเมืองให้เต็มที่โดยที่แรกที่ไปคือ
หอศิลป์ริมน่านห่างจากตัวเมืองราว 20 กม. เป็นคล้ายๆแหล่งรวมศิลปะและ วัฒนธรรมของชาวจังหวัดน่าน โดยเป็นก่อตั้งและดำเนินงานโดยศิลปินชาวน่าน คุณวินัย ปราบริปู ศิลปินชาวน่านที่ใช้เวลารังสรรค์สร้างขึ้นมากว่า 5 ปี ทำให้ได้สถานที่ท่องเที่ยวอาร์ทๆแบบนี้ให้ได้ชมและเที่ยวกัน
เดินเพลินไปหน่อยในหอศิลป์เลยแวะไปฝากท้องที่ ข้าวซอยบ้านไทลื้อ ไปถึงซะเย็นโชคดีที่อาหารพอสำหรับสมาชิกพอดิบพอดี
เรียกว่าเหมาปิดร้านไปเลย ฮ่าๆ เลยได้แบบจัดเต็ม อิ่มท้อง ข้าวซอยร้านนี้อร่อย น้ำข้นได้รสชาติอาหารเหนือยอดฮิตนี้ไปเต็มๆเลยยเจ้า
หลังจากฝากท้องร้านนี้เสร็จจึงไปเที่ยว
วัดศรีมงคล เป็นวัดเก่าแก่ที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2395 ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจอาทิเช่น วิหารหลวงที่มีภาพจิตกรรมบนฝาผนัง พิพิธภัณฑ์มงคลธรรมรังสี ที่รวมรวมของโบราณต่างๆให้ได้ชมกัน แอบบอกว่ามีของให้รำลึกความแก่เต็มเลยย ฮ่าๆ สวยงามเพลินมากๆ มีจุดถ่ายรูปเต็มไปหมดเลย
ไปเที่ยว
วัดภูเก็ต ชื่อวัดภูเก็ตไม่อยู่ใต้ แต่อยู่เหนือนะเอออ ไป Search หาข้อมูลมาจึงทำให้รู้ว่าวัดนี้ตั้งอยู่แถวๆหมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อว่าหมู่บ้านเก็ต และชาวเหนือเรียกเนินเขาว่า ภู หรือ ดอย จึงเป็นที่มาของวัดภูเก็ตนั่นเองงง อ๋ออออออ
ด้านล่างวัดข้างหมู่บ้าน เป็น
ตูบนาไทลื้อ สถานที่ให้ได้จิบกาแฟกันเบาๆ สไตล์ลูกทุ่งกันด้วยแหละ
เกือบเย็นแล้วก่อนกลับที่พักแวะเที่ยว
วัดภูมินทร์ในตัวเมืองใกล้กับพิพิธภัณฑสถาน-แห่งชาติน่าน กันสักหน่อย วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2139 โดยพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครอง เมืองน่าน
ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออก ด้านประตูทั้งสี่ทิศ หันเบื้องพระปฤษฏางค์ ชนกันประทับ นั่งบนฐานชุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ชม
พระอุโบสถจตุรมุข
ภาพจิตกรรมบนฝาผนังอันเลื่องลืน
"ปู่ม่านย่าม่าน" ตำนานกระซิบบรรลือโลกกันสักหน่อย ภาพแห่งความรักที่เป็นตัวบ่งบอกรักที่ยาวนานเป็นอมตะ เพราะเป็นภาพ “ปู่ม่านย่าม่าน” หรือ
“ภาพกระซิบรัก” ที่ถูกวาดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2410-2417 โดยหนานบัวผัน ศิลปินชาวไทลื้อ ที่แสดงออกถึงการแต่งกายเต็มยศของผู้ชาย ผู้หญิง ชาวไทลื้อ
เสร็จจากวัดนี้พลบค่ำพอดี ออกจากวัดมาเจอตลาดข้างๆวัด และลานหน้าวัดมีจัดกิจกรรม
ลานขันโตก ให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อของกินมานั่งกินบนลานขันโตก (น่าจะไปช่วงกีฬาจังหวัดน่านพอดี) กินลมชมบรรยากาศชาวเมืองน่านได้เต็มๆ อบอุ่นมากก
ข้อดีของจังหวัดนี้จากที่สัมผัสมาคือ ชาวน่าน
ใจดี วิถีชีวิตดำเนินไปอย่างสบายๆ สถานที่ท่องเที่ยววัฒนธรรมจำพวกวัดเก่าต่างๆ มีอยู่ตัวเมืองน่านกันมากมายทีเดียว ทำให้เที่ยวสนุกขับรถไม่เหนื่อยเลย
วันที่ 3 แล้ววววว อาหารเช้าที่พักยังคงอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงและเช็คเอ้าออกจากที่พักเพื่อเตรียมตัวขึ้นดอยไปล่าทางช้างเผือกกันในคืนนี้บน
ดอยเสมอดาววววว
เริ่มเลยท่องเที่ยวในตัวเมืองอีก ประเดิมวัดแรกของวันด้วย
วัดศรีพันต้น เป็นวัดที่สร้างโดยเจ้าผู้ครองนครน่าน แห่งราชวงศ์ภูคา ราว พ.ศ. 1960 - 1969 ภายในวัดมีวิหารที่สวยงาม ตั้งเด่นเป็นสง่ามีสีทองระยิบระยับ มีรูปปั้นพญานาคเจ็ดเศรียญอยู่ทั้งสองราวบันได สวยงามมากจริงๆ
ก่อนขึ้นดอยขอเที่ยวในตัวเมืองอีกนิดที่
ซุ้มลีลาวดี พิพิธภัณฑ์แห่งชาติน่าน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูป เช็คอิน ได้ฟินๆอีกหนึ่งที่
และตรงข้ามอุโมงค์ลีลาวดีเป็น
วัดพระธาตุช้างค้ำ เป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะสุโขทัย ภายในวัดประดิษฐานเจดีย์ช้างค้ำ ซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 เลยแวะเข้าไหว้พระกันอีกเสียหน่อย
และ
วัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวน่านอยู่ห่างจากตัวเมืองไปราว 2 กม. มีอายุราวกว่า 600 ปี พญาการเมืองโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1891 เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้มาจาก กรุงสุโขทัย
เที่ยวเพลินจนเกินบ่ายสองแล้วถึงเวลาต้องเตรียมเสบียงเพื่อขึ้นไปนอนพักค้างแรมแนวแอดเวนเจอร์กางเต้นกันบนดอยคืนนี้ หลังจากหาซื้อเสบียงกันเสร็จสับ สมาชิกจึงมุ่งหน้าขึ้นดอยเสมอดาวกันเลยยยยย
แต่ด้วยเดือนนี้สงสัยนักท่องเที่ยวน้อยดอยเสมอดาวจึงปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค แล้ว (ไม่ได้โทรสอบถามก่อนมา ก็แห้ววไปจ้า ฮ่าาา) แต่เจ้าหน้าที่อุทยานแนะนำให้ไปนอนพักกางเต้นที่ผาชู้แทนซึ่งห่างจากดอยเสมอดาวราว 2 กิโล ซึ่งบรรยากาศก็ไม่แพ้ดอยเสมอดาว แต่เป็นรองอยู่นะเอออ
แชะภาพวิวดอยเสมอดาวให้เสียดายเล่นๆ ที่ไม่ได้นอนค้างอ้างแรมกะเจ้านะออเจ้าเสมอดาว
ถึงแล้ว
ผาชู้ ถึงผาจะชู้ แต่ จขกท รักเดียวใจเดียวนะ (เกี่ยวมั้ย ฮ้าๆ) ไหนๆก้อไหนๆแล้วเอาตำนานผานี้มาฝากกัน เชิญเสพจ้าา
"ตามตำนานที่เล่ากันมาเกี่ยวกับผาชู้กล่าวว่า เจ้าเอื้องผึ้งซึ่งเป็นคู่รักกับเจ้าจันทน์ผา จำใจต้องแต่งงานกับเจ้าจ๋วง เจ้าเอื้องผึ้งเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากหน้าผา เจ้าจันทน์ผาตามมาพบว่าเจ้าเอื้องผึ้งได้กระโดดหน้าผาไปแล้ว จึงกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายตามคนรักตกไปอยู่ใกล้กัน และเจ้าจ๋วงได้เห็นหญิงที่ตนรักกระโดดหน้าผาไปจึงรู้สึกเสียใจและตัดสินใจกระโดดหน้าผาตามลงไปด้วยแต่กระเด็นห่างออกไป ด้วยความรักแท้ระหว่างเจ้าเอื้องผึ้งและเจ้าจันทน์ผา ในชาติต่อมาเจ้าเอื้องผึ้งจึงเกิดเป็นดอกกล้วยไม้เกาะอยู่ใต้ต้นจันทน์ผา และเจ้าจ๋วงก็เกิดเป็นต้นสน ณ จุดที่ตกไปนั้นเอง"
คืนนี้ถือว่าโชคดีมาก เพราะท้องฟ้าโล่ง กลางคืนเห็นดาวเต็มท้องฟ้า บรรยากาศไม่ร้อน เย็นๆกำลังดีไม่หนาวเกิน ฟินนมาก
ปฏิบัติการล่าทางช้างเผือกเริ่มขึ้น สมาชิกตื่นตอนตีสาม ตั้งกล้องถ่ายภาพดาว วิวที่ผาชู้ ครั้งแรกที่ได้ตามล่าหาช้าง และถ่ายภาพดาว ได้เท่านี้ถือว่าโชคดีเป็นประสบการณ์ อันแสนอบอุ่นที่มาเยือนเมืองนี้ เมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้ทั้งวัฒนธรรม และธรรชาติไปในตัว จะไม่ลืมไปอีกนาน แสนน่าน นาน
ก่อนกลับเก็บเต้นท์ลงดอยแชะภาพพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากันเสียหน่อยก่อนโบกมือลาาา
[CR] กระซิบรัก พักที่น่าน (4 วัน 3 คืน)
หลังที่จากค้นหาที่เที่ยวมานานว่าช่วงต้นปีจะไปพักผ่อนเวเคชั่นที่ไหนดี จึงมาลงเอยที่ "น่าน" เมืองเหนือเมืองเล็กๆแต่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมอันเก่าแก่และธรรมชาติที่น่าค้นหา ตอนแรกผู้เขียนว่าจะไปต้นปีช่วงปลายหนาวกำลังดี แต่ล่วงเลยด้วยภารกิจหน้าที่เลยทำให้ลงเอยที่ช่วงเกือบเดือนต้นร้อน (15-18 มี.ค.)
จากนั้นจึงเริ่มวางแผนการเดินทาง แอบบอกว่าทริปนี้จะไปตามล่าหาทางช้างเผือกกันบนดอยด้วย เมื่อทุกอย่างลงตัว สมาชิกร่วมเดินทางพร้อมจึงเริ่มออกเดินทางกันเช้าตรู่ของวันที่ 15 ออกจาก กทม มุ่งสู่เหนือจังหวัดน่านดินแดนเล็กๆที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของชาวเมืองน่าน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชม. ถึงประมาณเย็นๆบ่าย 3 โมง
2 วันแรกสมาชิกวางแผนกันเที่ยวในเมืองน่าน จะสัมผัสบรรยากาศวิถีชีวิตชาวเมืองน่านกันให้เต็มอิ่ม โดย จขกท เลือกพักที่ลีลาวดีรีสอร์ทซึ่งห่างจากตัวเมืองน่านประมาณ 5 กิโล
หลังจากนำของเข้าที่พักแล้ว จึงออกมาหาข้าวเย็นกินในตัวเมืองน่านและเที่ยวเรียกน้ำย่อยนิดหน่อยสำหรับวันนี้ สะดุดตาเข้ากับร้านก๋วยเตี๋ยวไร้เทียมทาน หน้าโรงเรียนบ้านดอน ร้านนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวเสริฟพร้อมเล้งในตัวเนื้อนุ่มแน่นอร่อยย 10 10 10 ไปเลยจ้าา
ต่อไปจึงไปเที่ยว วัดพระธาตุเขาน้อย ไหว้พระให้เป็นสิริมงคลท่องเที่ยวปลอดภัยตลอดทริปนี้กันหน่อย ก่อนกลับไปพาสมาชิกไปดูออเจ้าคืนนี้ 555
ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่บนดอยเขาน้อย อยู่ทางตะวันตกของเมืองน่าน สร้างในสมัยเจ้าปู่แข็ง เมื่อปี พ.ศ. 2030 องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่อ อิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา
มุมด้านหลังพระธาตุก็สง่างามไม่เบา
จากวัดพระธาตุเขาน้อย สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่าน ปัจจุบันบริเวณลานชมทิวทัศน์ ประดิษฐานพระพุทธมหา อุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตร บนยอดพระเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาท สร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ทรงเจริญ พระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542
เช้าวันที่ 2 ตื่นมาทานอาหารเช้าที่บ้านพักรีสอร์ท แอบบอกว่าอาหารเช้าอร่อยยยมากกกกจริงๆ พนักงานบริการดีสุดไม่ได้หน้าม้าแต่บอกต่อด้วยความประทับใจจริงนะเออ
10 โมงมุ่งหน้าออกเที่ยวในตัวเมืองให้เต็มที่โดยที่แรกที่ไปคือ หอศิลป์ริมน่านห่างจากตัวเมืองราว 20 กม. เป็นคล้ายๆแหล่งรวมศิลปะและ วัฒนธรรมของชาวจังหวัดน่าน โดยเป็นก่อตั้งและดำเนินงานโดยศิลปินชาวน่าน คุณวินัย ปราบริปู ศิลปินชาวน่านที่ใช้เวลารังสรรค์สร้างขึ้นมากว่า 5 ปี ทำให้ได้สถานที่ท่องเที่ยวอาร์ทๆแบบนี้ให้ได้ชมและเที่ยวกัน
เดินเพลินไปหน่อยในหอศิลป์เลยแวะไปฝากท้องที่ ข้าวซอยบ้านไทลื้อ ไปถึงซะเย็นโชคดีที่อาหารพอสำหรับสมาชิกพอดิบพอดี
เรียกว่าเหมาปิดร้านไปเลย ฮ่าๆ เลยได้แบบจัดเต็ม อิ่มท้อง ข้าวซอยร้านนี้อร่อย น้ำข้นได้รสชาติอาหารเหนือยอดฮิตนี้ไปเต็มๆเลยยเจ้า
หลังจากฝากท้องร้านนี้เสร็จจึงไปเที่ยว วัดศรีมงคล เป็นวัดเก่าแก่ที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2395 ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจอาทิเช่น วิหารหลวงที่มีภาพจิตกรรมบนฝาผนัง พิพิธภัณฑ์มงคลธรรมรังสี ที่รวมรวมของโบราณต่างๆให้ได้ชมกัน แอบบอกว่ามีของให้รำลึกความแก่เต็มเลยย ฮ่าๆ สวยงามเพลินมากๆ มีจุดถ่ายรูปเต็มไปหมดเลย
ไปเที่ยว วัดภูเก็ต ชื่อวัดภูเก็ตไม่อยู่ใต้ แต่อยู่เหนือนะเอออ ไป Search หาข้อมูลมาจึงทำให้รู้ว่าวัดนี้ตั้งอยู่แถวๆหมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อว่าหมู่บ้านเก็ต และชาวเหนือเรียกเนินเขาว่า ภู หรือ ดอย จึงเป็นที่มาของวัดภูเก็ตนั่นเองงง อ๋ออออออ
ด้านล่างวัดข้างหมู่บ้าน เป็น ตูบนาไทลื้อ สถานที่ให้ได้จิบกาแฟกันเบาๆ สไตล์ลูกทุ่งกันด้วยแหละ
เกือบเย็นแล้วก่อนกลับที่พักแวะเที่ยววัดภูมินทร์ในตัวเมืองใกล้กับพิพิธภัณฑสถาน-แห่งชาติน่าน กันสักหน่อย วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2139 โดยพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครอง เมืองน่าน
ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออก ด้านประตูทั้งสี่ทิศ หันเบื้องพระปฤษฏางค์ ชนกันประทับ นั่งบนฐานชุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ชม พระอุโบสถจตุรมุข
ภาพจิตกรรมบนฝาผนังอันเลื่องลืน "ปู่ม่านย่าม่าน" ตำนานกระซิบบรรลือโลกกันสักหน่อย ภาพแห่งความรักที่เป็นตัวบ่งบอกรักที่ยาวนานเป็นอมตะ เพราะเป็นภาพ “ปู่ม่านย่าม่าน” หรือ “ภาพกระซิบรัก” ที่ถูกวาดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2410-2417 โดยหนานบัวผัน ศิลปินชาวไทลื้อ ที่แสดงออกถึงการแต่งกายเต็มยศของผู้ชาย ผู้หญิง ชาวไทลื้อ
เสร็จจากวัดนี้พลบค่ำพอดี ออกจากวัดมาเจอตลาดข้างๆวัด และลานหน้าวัดมีจัดกิจกรรม ลานขันโตก ให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อของกินมานั่งกินบนลานขันโตก (น่าจะไปช่วงกีฬาจังหวัดน่านพอดี) กินลมชมบรรยากาศชาวเมืองน่านได้เต็มๆ อบอุ่นมากก
ข้อดีของจังหวัดนี้จากที่สัมผัสมาคือ ชาวน่านใจดี วิถีชีวิตดำเนินไปอย่างสบายๆ สถานที่ท่องเที่ยววัฒนธรรมจำพวกวัดเก่าต่างๆ มีอยู่ตัวเมืองน่านกันมากมายทีเดียว ทำให้เที่ยวสนุกขับรถไม่เหนื่อยเลย
วันที่ 3 แล้ววววว อาหารเช้าที่พักยังคงอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงและเช็คเอ้าออกจากที่พักเพื่อเตรียมตัวขึ้นดอยไปล่าทางช้างเผือกกันในคืนนี้บน ดอยเสมอดาววววว
เริ่มเลยท่องเที่ยวในตัวเมืองอีก ประเดิมวัดแรกของวันด้วย วัดศรีพันต้น เป็นวัดที่สร้างโดยเจ้าผู้ครองนครน่าน แห่งราชวงศ์ภูคา ราว พ.ศ. 1960 - 1969 ภายในวัดมีวิหารที่สวยงาม ตั้งเด่นเป็นสง่ามีสีทองระยิบระยับ มีรูปปั้นพญานาคเจ็ดเศรียญอยู่ทั้งสองราวบันได สวยงามมากจริงๆ
ก่อนขึ้นดอยขอเที่ยวในตัวเมืองอีกนิดที่ ซุ้มลีลาวดี พิพิธภัณฑ์แห่งชาติน่าน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูป เช็คอิน ได้ฟินๆอีกหนึ่งที่
และตรงข้ามอุโมงค์ลีลาวดีเป็น วัดพระธาตุช้างค้ำ เป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะสุโขทัย ภายในวัดประดิษฐานเจดีย์ช้างค้ำ ซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 เลยแวะเข้าไหว้พระกันอีกเสียหน่อย
และ วัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวน่านอยู่ห่างจากตัวเมืองไปราว 2 กม. มีอายุราวกว่า 600 ปี พญาการเมืองโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1891 เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้มาจาก กรุงสุโขทัย
เที่ยวเพลินจนเกินบ่ายสองแล้วถึงเวลาต้องเตรียมเสบียงเพื่อขึ้นไปนอนพักค้างแรมแนวแอดเวนเจอร์กางเต้นกันบนดอยคืนนี้ หลังจากหาซื้อเสบียงกันเสร็จสับ สมาชิกจึงมุ่งหน้าขึ้นดอยเสมอดาวกันเลยยยยย
แต่ด้วยเดือนนี้สงสัยนักท่องเที่ยวน้อยดอยเสมอดาวจึงปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค แล้ว (ไม่ได้โทรสอบถามก่อนมา ก็แห้ววไปจ้า ฮ่าาา) แต่เจ้าหน้าที่อุทยานแนะนำให้ไปนอนพักกางเต้นที่ผาชู้แทนซึ่งห่างจากดอยเสมอดาวราว 2 กิโล ซึ่งบรรยากาศก็ไม่แพ้ดอยเสมอดาว แต่เป็นรองอยู่นะเอออ
แชะภาพวิวดอยเสมอดาวให้เสียดายเล่นๆ ที่ไม่ได้นอนค้างอ้างแรมกะเจ้านะออเจ้าเสมอดาว
ถึงแล้ว ผาชู้ ถึงผาจะชู้ แต่ จขกท รักเดียวใจเดียวนะ (เกี่ยวมั้ย ฮ้าๆ) ไหนๆก้อไหนๆแล้วเอาตำนานผานี้มาฝากกัน เชิญเสพจ้าา
"ตามตำนานที่เล่ากันมาเกี่ยวกับผาชู้กล่าวว่า เจ้าเอื้องผึ้งซึ่งเป็นคู่รักกับเจ้าจันทน์ผา จำใจต้องแต่งงานกับเจ้าจ๋วง เจ้าเอื้องผึ้งเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากหน้าผา เจ้าจันทน์ผาตามมาพบว่าเจ้าเอื้องผึ้งได้กระโดดหน้าผาไปแล้ว จึงกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายตามคนรักตกไปอยู่ใกล้กัน และเจ้าจ๋วงได้เห็นหญิงที่ตนรักกระโดดหน้าผาไปจึงรู้สึกเสียใจและตัดสินใจกระโดดหน้าผาตามลงไปด้วยแต่กระเด็นห่างออกไป ด้วยความรักแท้ระหว่างเจ้าเอื้องผึ้งและเจ้าจันทน์ผา ในชาติต่อมาเจ้าเอื้องผึ้งจึงเกิดเป็นดอกกล้วยไม้เกาะอยู่ใต้ต้นจันทน์ผา และเจ้าจ๋วงก็เกิดเป็นต้นสน ณ จุดที่ตกไปนั้นเอง"
คืนนี้ถือว่าโชคดีมาก เพราะท้องฟ้าโล่ง กลางคืนเห็นดาวเต็มท้องฟ้า บรรยากาศไม่ร้อน เย็นๆกำลังดีไม่หนาวเกิน ฟินนมาก
ปฏิบัติการล่าทางช้างเผือกเริ่มขึ้น สมาชิกตื่นตอนตีสาม ตั้งกล้องถ่ายภาพดาว วิวที่ผาชู้ ครั้งแรกที่ได้ตามล่าหาช้าง และถ่ายภาพดาว ได้เท่านี้ถือว่าโชคดีเป็นประสบการณ์ อันแสนอบอุ่นที่มาเยือนเมืองนี้ เมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้ทั้งวัฒนธรรม และธรรชาติไปในตัว จะไม่ลืมไปอีกนาน แสนน่าน นาน
ก่อนกลับเก็บเต้นท์ลงดอยแชะภาพพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากันเสียหน่อยก่อนโบกมือลาาา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น